เซียนหมากข้ามมิติ 406 ปริศนากลับชาติ

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 406 ปริศนากลับชาติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 406 ปริศนากลับชาติ

ซ่งซื่อชางก้าวเข้าเรือนสันติ มองบ่อน้ำกลางลานคราหนึ่งตามจิตใต้สำนึก หวนนึกถึงผีร้ายในบ่อตอนนั้นอย่างอดไม่ได้ จากนั้นค่อยมองลำต้นของต้นพุทรากลางลาน

“ต้นพุทรานี้ควบรวมปราณวิญญาณลมวิญญาณล้อมรอบนานปี ทั้งชะล้างปราณสกปรกได้ เรือนสันติของท่านไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

จี้หยวนปิดประตูเรือนก่อนยิ้มพลางกล่าวตอบ

“ต้นพุทรานี้ไม่ธรรมดาต่างหาก ไม่ใช่เรือนสันติของข้าไม่ธรรมดา เทพหลักเมืองเชิญนั่ง ถือว่าท่านกับข้าเชิญดาราจันทรามาร่วมดื่มพอดี”

“ฮ่าๆ ท่านจี้เชิญ ข้าคนแซ่ซ่งไม่กล้าขัดศรัทธา!”

ซ่งซื่อชางยืนอยู่หน้าโต๊ะหิน รอจี้หยวนปิดประตูเดินกลับมา เขาค่อยนั่งลงหน้าโต๊ะพร้อมจี้หยวนอย่างเป็นธรรมชาติ ฝ่ายหลังวางจอกสุราไว้ให้ซ่งซื่อชางแล้ว รินสุราสลักบุปผากรุ่นกลิ่นเข้มข้นจอกหนึ่ง

“เทพหลักเมืองซ่งเชิญ!”

“ท่านจี้เชิญ!”

หลังจากดื่มร่วมกันจอกหนึ่ง ความประหม่าของซ่งซื่อชางหายไปเล็กน้อย จี้หยวนยังคงเป็นจี้หยวน กลับกลายเป็นว่าเขาคิดมากอยู่บ้าง

“หลายสิบปีมานี้อำเภอหนิงอันราบเรียบไร้คลื่นลม นอกจากเสถียรภาพบนโลกมนุษย์ การดูแลของปรโลกยังสำคัญยิ่ง เทพหลักเมืองมีส่วนช่วยอย่างมากเช่นกัน”

“ไม่หรอก หยางอยู่โดดเดี่ยวไม่ก่อเกิด หยินอยู่เดียวดายไม่เติบโต แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเสริมส่งกันและกัน”

เทพหลักเมืองกล่าวถ่อมตัว หยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาลิ้มรส

จี้หยวนไม่ค่อยแน่ใจว่าวันนี้เทพหลักเมืองมาเยือนด้วยเหตุใด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดา แนวคิดเรื่องเวลาต่างกัน ไม่เจอกันสิบกว่ายี่สิบปีไม่เป็นไร แต่เขาเองไม่รีบร้อน ถึงอย่างไรย่อมบอกจุดประสงค์การมาอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจแค่มาเยี่ยมเยียนจริงๆ

ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อย ซ่งซื่อชางพูดว่าอำเภอหนิงอันไม่ถือว่าเปลี่ยนแปลงนัก ส่วนจี้หยวนเลือกประสบการณ์ซึ่งไม่ถือว่าโอ้อวดเกินไปบางส่วนมาเล่า

เวลาล่วงเลยจนเกือบเที่ยงคืนโดยไม่รู้ตัว ซ่งซื่อชางเงยหน้ามองฟ้าดารา รู้สึกว่ามีพลังฟ้าดาราทิ้งตัวลงมาอยู่รางๆ ท่ามกลางความพร่าเลือนยังรู้สึกว่าบนตัวจี้หยวนมีแสงดาวรายรอบ แต่ใช้ตาทิพย์มองโดยละเอียดกลับไม่พิเศษแม้แต่น้อย

“ท่านจี้ อำเภอหนิงอันอยู่กันอย่างสงบสุข ในฐานะเทพหลักเมืองของอำเภอ ข้าคนแซ่ซ่งโลกทัศน์แคบความรู้ตื้นเขิน ทราบความยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินน้อยนัก เคยเห็นความงามตระการนานัปการเพียงผาดเผิน ท่านถือเป็นผู้มากอภินิหารที่สุดในบรรดาคนที่ข้าคนแซ่ซ่งรู้จัก”

คำพูดนี้จี้หยวนไม่คัดค้าน ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว ด้วยนี่ก็คือเรื่องจริง

“ครั้งนี้ข้าคนแซ่ซ่งมาหาถึงที่ ความจริงมีคำถามอยากขอคำชี้แนะจากท่านจี้”

“เชิญเทพหลักเมืองซ่งว่ามาเถิด”

“อืม!”

ซ่งซื่อชางพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าวอย่างเนิบช้า

“ข้าซ่งซื่อชางเป็นเทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันมานานแล้ว ราชวงศ์ก่อนดับสิ้นแต่ยังโชคดี ตอนนี้อยู่มาสามร้อยกว่าปี แม้ว่าพลังปราณตื้นเขิน แต่รู้จักพอย่อมสุขยั่งยืน การปกป้องปรโลกและโลกมนุษย์ของอำเภอหนิงอันคือความปรารถนาของข้าคนแซ่ซ่ง”

“ใต้เท้าหลักเมืองคุณธรรมสูงส่ง!”

จี้หยวนประสานมือแสดงความนับถือ ซ่งซื่อชางไม่กล้ารับการคารวะ ยามจี้หยวนประสานมือเขาคารวะตอบทันที

“ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว หน้าที่ของศาลหลักเมืองเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ การพูดถึงเรื่องพวกนี้ไม่ได้อยากบอกว่าข้าคนแซ่ซ่งร้ายกาจอย่างไร แต่เอ่ยถึงกาลเวลา การเป็นเทพหลักเมืองหลักร้อยปีมานี้ เห็นความเป็นตายของผู้คนมากมายกับตา เป็นพยานการซ่านสลายของภูตผีนับไม่ถ้วน ในใจเกิดข้อสงสัยทีละน้อย”

ซ่งซื่อชางมองจี้หยวนพลางทำท่าเคร่งขรึมช้าๆ รวบรวมคำพูดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ

“หลังตายคนทั่วไปเข้าศาลมืด มีครอบครัวเซ่นไหว้ผ่านชีวิตปลอดภัยตามอายุขัยปรโลก ถ้าไม่มีครอบครัวดูแลย่อมน่าเศร้าอยู่บ้าง แต่หากไม่มีสถานการณ์ผิดปกติ ไม่ช้าก็เร็ววิญญาณย่อมซ่านสลาย ยามสิ้นอายุขัยปรโลกวิญญาณจะแบ่งเป็นสามดวงจิตก่อน จิตมนุษย์ดับสลาย จิตฟ้าจิตดินแทรกซึมปฐพีทะยานนภา หายไปกลางฟ้าดิน”

“อืม”

จี้หยวนพยักหน้าตอบรับแสดงออกว่าตนฟังอยู่ ความจริงคือเขาตั้งใจฟังมาก เปรียบเทียบแล้วความรู้เฉพาะทางเช่นนี้ เขาย่อมสู้เทพหลักเมืองซ่งซื่อชางไม่ได้

ซ่งซื่อชางไม่ได้เอ่ยปัญหาที่อยากถามออกมาทันที แต่เล่าเรื่องวิญญาณบางส่วนจากบันทึกศาลมืดช่วงหลายปีมานี้เป็นตัวอย่างให้จี้หยวนฟังโดยละเอียด

ภายในนั้นมีคนชั่ว คนดี ทั้งมีคนธรรมดา ถึงขั้นมีหลายคนซึ่งสุดท้ายเป็นผีทหารเจ้าหน้าที่ผีเนิ่นนานอย่างหาได้ยาก

จี้หยวนเพิ่งเคยคุยเรื่องวิญญาณทั่วไปในปรโลกกับเทพผีศาลมืดโดยละเอียดเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าร่างกายตายไป แต่ปรโลกยังเป็นสังคมหนึ่ง ทั้งการใช้ชีวิตยังต้องพึ่งพาโลกมนุษย์ สุดท้ายชะตากรรมก็เหมือนกัน

พูดมามากแต่จี้หยวนไม่รำคาญสักนิด เมื่อฟังนานเข้าเขาถึงขั้นพอเดาปัญหาซึ่งเทพหลักเมืองอยากถามออก

“วิญญาณสลายดุจตะเกียงดับมอด จิตมนุษย์มอดดับ ส่วนจิตฟ้าดินเกี่ยวข้องกับท้องฟ้าปฐพี แทรกซึมปฐพีทะยานนภาถือเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าคนแซ่ซ่งกลับค้นพบโดยไม่ตั้งใจ บางครั้งจิตฟ้าถึงกับนำกลิ่นอายเศษเสี้ยวจิตมนุษย์ไปด้วย!”

จี้หยวนนั่งตัวตรง กล่าวตัดบทเป็นครั้งแรก

“ขอถามเทพหลักเมืองว่าเคยเจอเรื่องเช่นนี้กี่ครั้ง”

ซ่งซื่อชางรำลึกเล็กน้อยก่อนกล่าว

“เรื่องเช่นนี้หายากยิ่ง สองร้อยกว่าปีก่อนบังเอิญเจอครั้งหนึ่ง ข้าคนแซ่ซ่งจับตามองวิญญาณปรโลกซ่านสลายตลอด ถึงขั้นว่าหลังจากพบเจออีกครั้ง ข้าส่งเจ้ากรมสองคนไปประจำเมืองผี ตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ ถ้านับรวมครั้งแรกด้วย สองร้อยกว่าปีมานี้มีทั้งหมดเจ็ดครั้ง แน่นอนว่าพวกเราไม่กล้าพูดว่าไม่มีตกหล่น”

“เจ็ดครั้ง”

จี้หยวนขมวดคิ้วใคร่ครวญ ไม่รู้ว่าสองร้อยกว่าปีมานี้มีคนตายและกลายเป็นผีเท่าไหร่ จำนวนยิ่งใหญ่มหาศาลเช่นนี้ ทั้งอยู่ภายใต้การสังเกตของศาลมืดยังเจอแค่เจ็ดครั้ง แสดงว่าเหตุการณ์นี้หายากมากจริงๆ

“ความจริงไม่ได้มีเพียงเท่านี้”

ซ่งซื่อชางดื่มสุราในจอกจนหมดอีกครั้ง ปราณสุราถูกดูดไอน้ำซ่านสลาย คล้ายว่าเมาเล็กน้อย จากนั้นค่อยกล่าวต่อ

“ประมาณหกปีก่อน ข้าคนแซ่ซ่งเคยเจอคนผู้หนึ่งที่ศาลหลักเมือง”

“ผู้ฝึกปราณหรือ”

จี้หยวนเอ่ยถามเช่นนี้ ซ่งซื่อชางส่ายหัวตอบ

“ไม่ใช่ คนธรรมดา ทั้งเป็นพ่อค้าหน้าเลือด สิ่งที่ขอคือทรัพย์สิน ตัวเขาไม่มีอะไรพิเศษ แต่คนผู้นี้เกี่ยวกับรูปวิญญาณที่เป็นข้อยกเว้นซึ่งซ่านสลายไปเมื่อหลายสิบปีก่อน…”

ซ่งซื่อชางเว้นช่วงไปก่อนมองจี้หยวน ส่วนจี้หยวนพอเดาออกเช่นกัน

จริงดังคาด สิ่งที่ซ่งซื่อชางกล่าวต่อไม่หลุดจากกรอบการคาดเดาของจี้หยวน

“ถึงขั้นคล้ายคลึงแปดเก้าส่วน หรือกล่าวว่าหากไม่มีความต่างด้านอายุ ความเหมือนอาจมากถึงสิบส่วน!”

คนเรามีรูปลักษณ์กับรูปวิญญาณ อย่างแรกยังปลอมแปลงได้ บ้างอาจสืบทอดทางเชื้อสาย หน้าตาคล้ายกันไม่แปลก แต่รูปวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง ทั้งเป็นหนึ่งในวิธียามเทพผีมองคน เช่นนี้คงมีวิธีมองปราณคาดเดากลั่นกรองน้อยลง

ซ่งซื่อชางนึกถึงความตกตะลึงเมื่อตอนนั้น แต่เห็นสีหน้าจี้หยวนไม่ตกใจเกินไป เขาอึ้งงันเล็กน้อย คิดว่าท่านจี้คงรู้แล้ว

“ปีนั้นพ่อค้านั่นพักโรงเตี๊ยมกลางอำเภอ ข้าอยากหาข้อพิสูจน์ คืนนั้นยังเข้าฝันเขาด้วย ยืนยันว่าเขาไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับผีเมื่อปีนั้น หากแต่เป็นคนจากเมืองหลวง มาอำเภอหนิงอันเพื่อรับเอกสาร แต่รูปวิญญาณของเขา… เรื่องนี้สะเทือนข้ามาก ข้าคนแซ่ซ่งเคยถือโอกาสถามเทพหลักเมืองจังหวัดเต๋อเซิ่ง แต่เขาไม่แน่ใจเช่นกัน”

ซ่งซื่อชางมองจี้หยวนซึ่งเงียบฟังและไม่เผยสีหน้าตกใจมากเกินไปมาตลอด

“ท่านจี้เป็นผู้มากอภินิหาร ปีนั้นตื่นจากฝันไม่ทราบวันเวลาบนโลก ไขข้อสงสัยเรื่องนี้ให้ข้าคนแซ่ซ่งได้หรือไม่”

บนโลกนี้ไม่มีการกล่าวถึงวัฏจักร แต่ใช่ว่าไม่มีการดำรงอยู่ของวัฏจักร ความจริงเมื่อพลังปราณล้ำลึกถึงระดับหนึ่ง ย่อมมีโอกาสทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่ยากลำบากอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูตผีทั่วไป

ความจริงจี้หยวนไม่ได้นิ่งสงบเหมือนภายนอก แต่ชาติก่อนฟังเรื่องการจุติชาติภพมามาก สุดท้ายยังต่อต้านอยู่บ้าง

จี้หยวนครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนเอ่ยปาก

“ไม่ทราบว่าเทพหลักเมืองซ่งเคยได้ยินเรื่องการท่องวารีสองแบบของพวกมังกรหรือไม่”

“ท่องวารี? สองแบบ?”

ซ่งซื่อชางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“หากมังกรเจียวฝึกปราณจนอยากแปลงมังกร ย่อมหาทางน้ำและโอกาสเหมาะสม ดูว่าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ก่อนก่อคลื่นลมจากไปเพื่อท่องวารี ส่วนอีกแบบข้าคนแซ่ซ่งไม่ทราบ”

“อืม ก็ถูก อีกประเภทพอฝืนนับว่าเป็นความลับของเผ่ามังกร หึๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ความลับที่ต้องปิดบังอะไร”

จี้หยวนยิ้มพลางกล่าวอธิบาย

“ความจริงยามมังกรใกล้ตาย กว่าครึ่งไม่มีทางยอมให้จิตมังกรกลายเป็นผี พวกมังกรเจียวส่วนใหญ่จะเลือกท่องวารีในฉากสุดท้ายของชีวิต วิวัฒน์จิตวิญญาณปราณดั้งเดิมของตนไปด้วย…”

จี้หยวนเชื่อมโยงกับเรื่องมังกรเจียวดำท่องวารีซึ่งเคยเจอเมื่อปีนั้น รวมถึงเหตุการณ์ยามสอบถามเรื่องนี้กับมังกรเฒ่าด้วย เขาอธิบายให้ซ่งซื่อชางฟังโดยละเอียด ฝ่ายหลังทำหน้าเข้าใจกระจ่างเช่นกัน

“ดังนั้นหากมังกรตัวหนึ่งมีโชคกับพรสวรรค์จริง ถือว่ามีโอกาสปรากฏตัวอีกครั้งในอนาคต แม้ว่าร่างมังกรอาจต่างกัน แต่กลับมีนิสัยและความทรงจำส่วนใหญ่เหมือนตอนนั้น ถือเป็นการกลับชาติมาฝึกใหม่อย่างหนึ่ง”

“กลับชาติมาฝึกใหม่ กลับชาติมาฝึกใหม่…”

ซ่งซื่อชางพึมพำเอ่ยคำใหม่สองครั้ง ส่วนจี้หยวนกลับกล่าวต่อ

“ความจริงพวกพลังปราณสูงส่งอาจมีวิธีการผิดทำนองคลองธรรมยิ่งกว่า สำหรับพวกผู้ฝึกเซียนข้าไม่คาดเดาชั่วคราว แต่พวกมารกลับมีบางส่วนชำนาญเรื่องนี้ พวกเขาเรียกกันว่าการหลงเข้าสู่ด่านมาร แต่ความจริงมีเพียงสถานการณ์บางส่วนเหมาะสมกับวิธีนี้ แต่ส่วนน้อย… น่าจะเรียกว่าการถอดจิต”

แม้ว่าคำที่จี้หยวนเอ่ยออกมาซ่งซื่อชางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่กลับเรียบง่ายชัดเจนอย่างยิ่ง เชื่อมโยงกับเนื้อหาคำพูดก่อนหน้า แค่ฟังก็พอเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร

“ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ที่ข้าเจอก็คล้ายคลึงกันหรือ”

“อืม หากรูปวิญญาณคล้ายกันขนาดนั้นจริง ถ้าอย่างนั้นคงถือเป็นการกลับชาติแล้ว”

จี้หยวนไม่กล่าวถึง ‘การจุติ’ ด้วยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบางครั้ง ทั้งการจุติยังเป็นเรื่องที่เกิดจากการเลือกเองอย่างหนึ่ง

เรื่องนี้ค้างคาในใจซ่งซื่อชางมานาน ตอนนี้เมื่อได้ยินคำอธิบายของจี้หยวน เขารู้ว่าถือเป็นเหตุการณ์ปกติอย่างหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นพวกผีที่จิตฟ้าพากลิ่นอายจิตมนุษย์ไปด้วยล้วนกลับชาติได้หรือไม่”

จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย

“พวกมังกรเจียวอาศัยพลังปราณทั้งชีวิตถึงชิงจุดเปลี่ยนเสี้ยวหนึ่งได้ เทพหลักเมืองคิดว่ายามผีธรรมดาตนหนึ่งวิญญาณสลายพลังแห้งเหือด ถือว่ามีโอกาสแน่นอนหรือไม่”

ซ่งซื่อชางเข้าใจกระจ่าง

“ก็ถูก ขอบคุณท่านจี้ที่แถลงไข”

เมื่อได้รับคำตอบจากจี้หยวน ซ่งซื่อชางถือว่าสบายใจยิ่ง การพูดคุยต่อจากนั้นเปลี่ยนเป็นเรื่องผ่อนคลายสบายๆ

เวลาล่วงเลยจวบจนฟ้าใกล้สว่าง เทพหลักเมืองค่อยลุกขึ้นเตรียมบอกลา ส่วนจี้หยวนไปส่งเขาถึงตรงประตู

ทั้งสองฝ่ายคารวะก่อนแยกจากกัน กระทั่งไม่เห็นเงาหลังเทพหลักเมือง แต่จี้หยวนยังยืนครุ่นคิดอยู่หน้าประตูเรือน

ภูตผีซึ่งพลังแห้งเหือด อาศัยกลิ่นอายจากจิตมนุษย์เพียงเศษเสี้ยว ตามดวงจิตกลับสวรรค์ มีโอกาสกลับชาติได้หรือ นี่ไม่ใช่เรื่องวัฏจักรหกภพภูมิเหมือนเมื่อชาติก่อน ความยากลำบากนั้นย่อมไม่ธรรมดาแน่ มังกรเจียวยังมีโอกาสเพียงเสี้ยว นับประสาอะไรกับวิญญาณมนุษย์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด