เซียนหมากข้ามมิติ 471 ถ้าทำได้ข้ายอมกราบเจ้าเป็นอาจารย์

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 471 ถ้าทำได้ข้ายอมกราบเจ้าเป็นอาจารย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 471 ถ้าทำได้ข้ายอมกราบเจ้าเป็นอาจารย์

ความจริงทะเลคันฉ่องระหว่างเกาะจันทร์เสี้ยวใหญ่เล็กสองแห่งนั้นไม่เล็ก ยามเรือเหาะข้ามแดนของจวนเร้นจิตอยู่ในนั้นเหมือนงาเม็ดหนึ่งกลางน้ำหนึ่งชาม

เรือไม่ได้ล่องต่อ หากแต่ถึงตรงกลางทะเลคันฉ่องแล้วหยุดลง นอกจากการหยุดเรือสองสามวันกลางทะเลคลั่งก่อนหน้านี้ นี่คือการหยุดเรือตามแผนล่วงหน้าครั้งแรกหลังจากเรือเหาะเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือยอดเขามา

เดิมเรือเหาะเสถียรมากแล้ว แต่ผืนทะเลตรงนี้ปราศจากคลื่นมากกว่า ในรัศมีทะเลสามจั้งลมสงบ ทำให้จี้หยวนอดนึกถึงตอนเขาฝึกปราณไม่ได้ ยามเขาสร้างเกาะลมสงบขึ้นมาเพื่อปกป้องเรือประมงกลางทะเล

แต่เกาะลมสงบเทียบกับทะเลคันฉ่องปราศจากคลื่นตรงหน้าแล้วห่างกันไกล แน่นอนว่าถ้ากล่าวตามจริงแบบยกยอตัวเอง จี้หยวนพูดได้ว่าเกาะลมสงบสอดคล้องกับท่วงทำนองสวรรค์มากกว่า

หลังจากหยุดเรือผู้ดูแลเรือเหาะจวนเร้นจิตหนึ่งในนั้นลอยออกจากดาดฟ้า เหาะเหินไปทางเกาะซึ่งค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนไปแจ้งเรื่องกับคนของหอสมุทรเร้นคันฉ่อง ไม่นานก็กลับมา ดูจากสถานการณ์แล้วคิดว่าไม่ได้ดื่มน้ำชาแม้แต่ถ้วยเดียว นอกจากนี้แล้วไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีก

ตรงระเบียงชั้นสามของหอสุราแห่งหนึ่งบนดาดฟ้า จี้หยวนกับคนจากเขาล้อมหยกแยกนั่งสามโต๊ะ บนโต๊ะมีกลิ่นหอมของสุราอาหารเตะจมูก

ทุกคนกินพลางชมทิวทัศน์งามข้างนอก ถือว่ามีรสชาติอีกแบบ

อาหารบนโต๊ะนี้คนจากเขาล้อมหยกเป็นผู้จ่าย ทั้งอาหารที่สั่งยังราคาไม่ถูก รสชาติไม่เลวเช่นกัน อาศัยแค่อาหารมื้อเดียวนี้ อารมณ์ของจี้หยวนเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาก ด้านการใช้ชีวิตเขาถือว่าเป็นผู้พึงพอใจกับสิ่งเรียบง่ายตลอด

“เอ๋ ตรงนั้นมีคนตกปลาด้วย!”

เว่ยหยวนเซิงเพิ่งกลืนหมูทอดคำหนึ่งลงคอ ทันใดนั้นพลันเห็นว่าบนผืนทะเลราวกับกระจกที่ห่างออกไปมีเรือเล็กลำหนึ่ง บนเรือมีคนผู้หนึ่งถือคันเบ็ดตกปลา

ซ่างอีอีทอดมองเล็กน้อย ทั้งมองความใสกระจ่างของผืนทะเลใกล้เคียง

“ที่นี่มีปลาด้วยหรือ”

น้ำที่นี่สะอาดและโปร่งใสมากเกินไปจริงๆ ดังคำกล่าวว่าน้ำใสเกินไปย่อมไร้ปลา แม้ว่าส่วนลึกใต้น้ำมองไม่ชัดเจนเพราะการเปลี่ยนแปลงของแสงสี แต่ยังรู้สึกเหมือนว่าที่นี่น่าจะไม่มีปลา มิฉะนั้นชั่วพริบตาก็คงมองเห็นแล้ว

“ไม่แน่ว่าอาจมีปลาจริงๆ”

“จริงหรือ ปลาใต้ทะเลคันฉ่องแห่งนี้น่าจะไม่ใช่ปลาธรรมดากระมัง”

“ใครจะรู้เล่า…”

จี้หยวนยกจอกมองเบื้องล่าง ทั้งมองคนนั่งถือคันเบ็ดบนเรือเล็กห่างไกลพลางครุ่นคิด

คล้ายว่าเขาคนแซ่จี้ก็มีคันเบ็ด ทั้งไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว

จี้หยวนนึกถึงตรงนี้ก่อนหันกลับมาคีบอาหารเพิ่ม กินเหมือนปัญญาชนแต่การเคลื่อนไหวรวดเร็วว่องไว จากนั้นค่อยจากไป บอกว่าจะไปหาคนของจวนเร้นจิตเพื่อถามอะไรหน่อย

แน่นอนว่าการตามหาคนจวนเร้นจิตซึ่งสะดวกที่สุดคือการไปตรงเสากระโดง แต่จี้หยวนคิดว่าไปหาผู้ดูแลเรือเหาะดีกว่า

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในลานสวนแห่งหนึ่งบนดาดฟ้าชั้นสอง จี้หยวนบอกจุดประสงค์การมากับผู้ดูแลแซ่ตู้แห่งจวนเร้นจิต ฝ่ายหลังฟังจบแล้วเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

“ท่านจี้อยากตกปลาหรือ”

จี้หยวนยิ้มพลางพยักหน้ากล่าว

“ใช่ คนของหอสมุทรเร้นคันฉ่องไม่ได้พูดว่าห้ามตกปลากระมัง”

“เอ่อ พวกเขาไม่ได้บอก แต่…”

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดเรื่องนี้ ผู้ดูแลแซ่ตู้คงไม่สนใจแน่ เขาอาจหาทางปลีกตัวอย่างสุภาพ แต่สำหรับจี้หยวนต่างออกไป ต่อให้มีโอกาสเป็นเรื่องยุ่งยากก็ต้องลองดูก่อน

“เอาอย่างนี้ ท่านรอสักครู่ ข้าขอไปถามคนของหอสมุทรเร้นคันฉ่องหน่อย หากไม่มีปัญหา ท่านค่อยตกปลาย่อมไม่สาย”

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นย่อมดียิ่ง รบกวนผู้ดูแลตู้แล้ว!”

จี้หยวนอยากตกปลาขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ไม่กลัวรบกวนคนอื่น ถึงอย่างไรเมื่อก่อนยามตกปลา ส่วนใหญ่ใต้แม่น้ำทะเลสาบมีอะไรเขาล้วนรู้ดี ความจริงการตกปลาเช่นนี้น่าเบื่อนัก แต่ข้างล่างนี้มีอะไรล้วนเห็นไม่ชัด เขาจึงรู้สึกคาดหวังกับการตกปลามาก

“ไม่รบกวนๆ แค่ทำธุระแทนเท่านั้น ท่านโปรดรอสักครู่”

ผู้ดูแลคนนี้พูดพลางขึ้นมาบนดาดฟ้าพร้อมจี้หยวน จากนั้นค่อยเหาะเหินไปทางเทือกเขาจันทร์เสี้ยวแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ส่วนจี้หยวนยืนมองอยู่ริมกาบเรือ

เวลาการรอครั้งนี้นานกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้รู้สึกเหมือนไปพบหน้า จากนั้นค่อยกลับมา ตอนนี้รอมาครู่ใหญ่ยังไม่เห็นผู้ดูแลตู้คนนี้กลับมา

จี้หยวนยังเห็นว่ามีผู้ฝึกปราณสองคนขี่ลมลอยมาบนทะเลคันฉ่อง ลอยมาใกล้เรือเล็กของคนตกปลาลำนั้น คล้ายกำลังพูดอะไรกับอีกฝ่าย จากนั้นเห็นชัดว่าพวกเขาพากันมองมาทางเรือเหาะ

คนบนเรือเล็กคุยจบแล้วลอยกลับเกาะ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ผู้ดูแลตู้แห่งจวนเร้นจิตกลับมายังเรือเหาะ โรยตัวลงบนดาดฟ้า ก่อนประสานมือมาทางจี้หยวน

“ภารกิจลุล่วง ท่านเหวี่ยงคันเบ็ดได้ตามสะดวก ต้องการให้ข้าน้อยเตรียมเรือเล็กกับคันเบ็ดให้ท่านหรือไม่”

“ไม่ต้องๆ ข้าตกปลาบนเรือลำนี้ก็ได้ ส่วนคันเบ็ดข้าคนแซ่จี้เตรียมเอง ขอบคุณผู้ดูแลตู้ที่ช่วยเหลือ!”

จี้หยวนรีบคารวะตอบพลางกล่าวขอบคุณ

“หึๆ ท่านจี้ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน ถ้ามีธุระมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

“ได้ ผู้ดูแลเดินกลับปลอดภัย!”

ผู้ดูแลแซ่ตู้พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นค่อยจากไปช้าๆ แต่เมื่อเลี้ยวผ่านอาคารแห่งหนึ่งบนดาดฟ้าเห็นชัดว่าเขาผ่อนฝีเท้าลง หันกลับมามองจี้หยวน บังเอิญเห็นจี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ คันเบ็ดไม้ไผ่เขียวขจีลอยออกมาจากในนั้น

ปกติการตกปลาต้องมีเหยื่อ จี้หยวนหยิบคันเบ็ดออกมา แต่ไม่รู้ว่าควรใช้อะไรเป็นเหยื่อ ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไร ใช้เมล็ดขาวธรรมดาคงไม่ได้แน่

หลังจากคิดหน้าคิดหลังเรียบร้อย จี้หยวนหยิบเมล็ดพุทราออกมาจากแขนเสื้อ

ต่อให้พุทราทั่วไปผ่าเมล็ดออกมาไม่มีเนื้อเหมือนผลซิ่ง แต่กลับมีเยื่อหุ้มชุ่มน้ำหวานละมุนชั้นหนึ่ง เมล็ดพุทราของจี้หยวนมาจากผลพุทราเรือนสันติ แน่นอนว่าย่อมแตกต่างอยู่บ้าง

จี้หยวนไม่คิดนำเนื้อเมล็ดพุทรามาเป็นเหยื่อล่อ หากแต่เกี่ยวเบ็ดตกปลากับเมล็ดพุทรา ทำให้กลิ่นหอมจากเนื้อเมล็ดพุทราแผ่ออกมาเล็กน้อย

“แบบนี้ค่อยเข้าทีหน่อย!”

ดาดฟ้าเรือเหาะสูงเหนือผิวน้ำมาก แต่สายคันเบ็ดในมือจี้หยวนกลับทอดยาวตลอด คล้ายไม่มีสิ้นสุด จากนั้นเบ็ดตกปลาค่อยกระทบน้ำดังตุ้บ

จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเบี่ยงตัวนั่งบนกาบเรือ จับราวมือเดียวมองผิวน้ำราบเรียบดุจคันฉ่อง กวาดสายตามองไปไกล คนตกปลาบนเรือเล็กตรงนั้นเหมือนกำลังมองการเคลื่อนไหวของจี้หยวน

หลังจากเบ็ดตกปลาดิ่งลงน้ำ เส้นเอ็นยังทอดยาวไม่หยุด ดิ่งลงน้ำสามสิบจั้งคือระยะเหมาะสมซึ่งจี้หยวนแน่ใจ

สายเบ็ดนี้คนเลี้ยงไหมนำใยมาปั่นดึงเป็นเส้นยาวก่อนผึ่งแห้ง เดิมความหนาใกล้เคียงกับไม้จิ้มฟันซึ่งทำจากไผ่ช่วงยุคหลัง แต่ความหนาของเส้นไหมย่อมบางกว่าไม่ใช่แค่ร้อยพันเท่า

คันเบ็ดซึ่งผ่านการหลอมโดยจี้หยวน เส้นเอ็นเหมือนยาวราวหนึ่งจั้งเท่าเดิม ความจริงผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจึงบางดุจเส้นไหม ระยะห่างนั้นแม้แต่จี้หยวนยังไม่เคยลองวัด ถึงอย่างไรก็ถนอมรักษาเป็นปกติ แค่ยังไม่มีโอกาสใช้งาน

ดังนั้นสายเบ็ดหย่อนลงน้ำสามสิบจั้ง สำหรับคันเบ็ดไผ่เขียวของจี้หยวนถือว่าเป็นเรื่องเล็กจ้อย

ส่วนปัญหาเรื่องความแข็งแรงของเส้นเอ็น ด้านหนึ่งขึ้นอยู่กับคันเบ็ดซึ่งเหมือนอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ อีกด้านหนึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้อย่างจี้หยวน อาศัยพลังบริสุทธิ์เชื่อมต่อ ไม่สิ้นพลังเส้นเอ็นไม่ขาด ถ้าไม่ไหวจริงค่อยใช้วิธีโก่งเบ็ดเหมือนชาติก่อน

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เว่ยหยวนเซิงวิ่งมาข้างกายจี้หยวนเงียบๆ คล้ายเด็กหนุ่มช่างสงสัยทั่วไปคนหนึ่ง เขามองคันเบ็ดจี้หยวน ทั้งมองเส้นเอ็นซึ่งไม่มีแม้แต่ทุ่นลอยพลางเอ่ยถาม

“ท่านจี้ ท่านตกปลาหรือ”

“พูดมากความ”

เว่ยหยวนเซิงเกาหัวเล็กน้อยง

“แต่ข้างล่างนี้มีปลาหรือ”

จี้หยวนชี้เรือเล็กที่อยู่ห่างออกไป

“ถ้าไม่มีปลาเขาตกอะไรเล่า”

เว่ยหยวนเซิงมองไปไกลพลางกล่าว

“ผ่านมาตั้งนานยังไม่เห็นเขาตกอะไรขึ้นมาได้เลย”

“ต่อให้เหวี่ยงแหยังต้องรอครู่หนึ่ง นับประสาอะไรกับการตกปลาเล่า”

จี้หยวนพูดพลางรู้สึกถึงคลื่นเล็กน้อยใต้น้ำผ่านสายเบ็ดตกปลา แม้ว่าผิวน้ำยังราบเรียบราวคันฉ่อง แม้ว่าตอนนี้นอกจากกระแสน้ำแล้วจี้หยวนไม่รู้สึกถึงอะไร แต่คลื่นกระแสน้ำต้องเกิดจากสิ่งมีชีวิตแน่ แสดงว่ามีบางอย่างอยู่ใกล้เบ็ดตกปลา

‘มีปลาจริงด้วย!’

จี้หยวนเผยรอยยิ้ม เฝ้ารอปลาติดเบ็ด

บนเรือเล็กที่ห่างไกล ผู้ฝึกปราณถือคันเบ็ดคนนั้นนอกจากจับตามองคันเบ็ดของตนแล้ว เขายังสนใจจี้หยวนตลอดเช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีแค่พวกเขาสองคนกำลังตกปลา แต่เขารู้ดีว่าคนบนเรือเหาะลำนั้นแค่เล่นสนุก

เขามองครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพลันเห็นจี้หยวนที่อยู่บนเรือเหาะเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นลุกขึ้นมา คล้ายเตรียมตัวยกคันเบ็ด

‘หึๆ ถ้าเจ้าตกขึ้นมาได้ ข้ายอมกราบเจ้าเป็นอาจารย์!’

ผู้ฝึกปราณคนนี้เพิ่งเผยสีหน้าเย้ยหยัน แต่ครู่ต่อมาลูกตาแทบถลนออกมา

ข้างเรือเหาะ จี้หยวนยกคันเบ็ดเขียวขจีขึ้น สายวาววามส่องประกายทุกกระเบียดถูกจี้หยวนดึงจนตึง

ซ่า… ซ่า…

ทะเลคันฉ่องราบเรียบถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตใต้น้ำซึ่งติดเบ็ดรั้งสายไปทั่ว กระแสน้ำปั่นป่วนรุนแรงเบื้องล่างส่งผลถึงเบื้องบน ทำให้ทะเลคันฉ่องเกิดคลื่นวาวระยับเป็นระลอก

“มีปลาจริงด้วย! ท่านจี้ตกได้แล้ว! ท่านร้ายกาจนัก!”

หยวนเซิงดีใจจนตะโกนลั่น ทำให้คนไม่น้อยโดยรอบมองมา ตอนนี้จี้หยวนกุมคันเบ็ดไม่อาจแบ่งสมาธิ สายเบ็ดถูกสัตว์ใต้น้ำลากไปไกล เขาคอยดึงกลับเป็นครั้งคราว

‘ตัวอะไร แรงเยอะนัก!’

อย่างน้อยจี้หยวนก็เป็นผู้ฝึกเซียนซึ่งพลังปราณพอใช้ได้ แม้ว่าไม่ได้หลอมกายเป็นหลัก แต่ฝึกปราณมานาน กายเนื้อหล่อหลอมด้วยพลังวิญญาณ กอปรกับมีวิชาคอยหนุน แรงย่อมไม่มีทางน้อย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเปลืองแรง บ่งบอกว่าข้างใต้ไม่ใช่ปลาธรรมดาดังคาด

“สหายยุทธ์! ปลาตัวนี้ฝืนดึงไม่ได้ มิฉะนั้นต่อให้สายเบ็ดศักดิ์สิทธิ์ไม่ขาดปลาก็แหว่งวิ่น จำเป็นต้องปล่อยมันลากเรือไป!”

คนตกปลาตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของจี้หยวนพัง ทั้งปล่อยปลาหนีไป นั่นคงปวดใจและเสียดาย แต่หากจี้หยวนวิชาแกร่งกล้าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทรงพลัง ถ้าอย่างนั้นปลาย่อมเสียหายแน่ เสียของเปล่าๆ

“โธ่เอ๋ย สหายยุทธ์ท่านรีบทะยานฟ้าเร็ว เคลื่อนไหวตามสายเบ็ด!”

คนตกปลาร้อนรนแค่ไหน จี้หยวนยังแน่นิ่งไม่ขยับ แค่เหวี่ยงแขนซ้ายขวาตามคันเบ็ด สายแผ่แสงธรรมคลุมเครือตลอด

เมื่อครู่ยังเปลืองแรง ตอนนี้จี้หยวนกลับหาจังหวะเจอ ยามดึงปล่อยสาย คันเบ็ดกระตุกเบาๆ หลังจากผ่อนหนักผ่อนเบา เขาแผ่แสงอสนีละเอียดดุจใยแมงมุมออกมาเล็กน้อย

แสงอสนีนี้คือผลจากการที่จี้หยวนต้านเคราะห์อสนีมานาน เกือบทุกเสี้ยวไม่มีทางทำให้ปลาข้างล่างรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อสะสมทีละน้อยจนมากเข้าจะทำให้มันอ่อนเพลียตัวชาช้าๆ แรงดึงที่สัมผัสได้อ่อนกำลังลงไม่น้อยภายในเวลาอันสั้น

หลังจากนั้นครู่หนึ่งจี้หยวนเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีแล้ว ปรับเป็นดึงสายมากผ่อนสายน้อย

“โธ่สหายยุทธ์ ท่านทำให้เสียของแล้ว!”

ผู้ฝึกปราณตรงนั้นร้อนรนแล้ว เงาร่างทะยานสู่ฟากฟ้า เหยียบสายลมเย็นลอยมาทางเรือใหญ่

“สหายยุทธ์…”

ไม่ทันกล่าวประโยคนี้ออกมาก็เห็นจี้หยวนสีหน้าจริงจัง สะบัดแขนเสื้อข้างขวา ครู่ต่อมาพลันยกคันเบ็ด

ปึง…

ละอองน้ำทะลวงฟ้า ดีดตัวสูงสามจั้ง ปลาใหญ่ทองอร่ามตัวหนึ่งถูกยกขึ้นมาเหนือผิวน้ำตามสายเบ็ดอบอวลแสงธรรม ละอองน้ำนับไม่ถ้วนเรืองแสงราวดอกไม้ไฟเจิดจรัส

ผู้ฝึกปราณคนนั้นเหยียบสายลมเย็นพลางอ้าปากค้างเล็กน้อย สูดลมหายใจดังเฮือก

“เฮือก… อาจารย์!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด