เซียนหมากข้ามมิติ 479 ราชวงศ์ต้าซิ่ว

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 479 ราชวงศ์ต้าซิ่ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 479 ราชวงศ์ต้าซิ่ว

ขอทานชราเห็นฝุ่นดินทางนั้นนิ่งสงัดจึงเสนอกับจี้หยวน

“ท่านจี้ ทางนั้นหยุดมือแล้วเช่นกัน ปลดปล่อยโทสะด้วยการต่อสู้แล้ว กอปรกับคนจากเขาเก้ายอดอยู่ด้วย แน่นอนว่าวิวาทกันไม่ได้อีก พวกเราไปกันเถอะ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราออกหน้าแล้ว”

ถึงจะพูดเช่นนั้น ทว่าผู้ฝึกปราณสองกลุ่มทางนั้นและผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดสังเกตเห็นจี้หยวนกับขอทานชราแล้ว

เดิมทีกลิ่นอายของสองคนไม่ชัดเจน ระหว่างการประชันมรรคมีลมคลั่ง สายฟ้า และฟ้าร้อง ยิ่งไม่ถูกสังเกตเห็นได้ง่าย ตอนนี้เมฆสลายฟ้าสดใส เมฆขาวที่ไม่สลายไปด้วยทางนั้นจึงเตะตาขึ้นมา อีกทั้งมองเห็นสองคนยืนอยู่บนนั้น จึงยากยิ่งที่จะไม่สังเหตเห็น

“อาจารย์ปู่น้อย! อาจารย์ปู่น้อย!”

ขอทานชรายังไม่ทันบังคับเมฆจากไปก็มีเสียงเรียกดังมาไกลๆ แล้ว ก่อนที่ผู้อาวุโสสองคนจะบังคับภาชนะมรรคเข้ามาใกล้

ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งของสำนักฟ้าดั้งเดิมถึงบริเวณใกล้เคียงขอทานชราและจี้หยวนตามการนำกลุ่มของผู้อาวุโส จากนั้นประสานมือคารวะ

“ผู้น้อยสำนักฟ้าดั้งเดิมคารวะอาจารย์ปู่น้อย!”

ขอทานชราหันกายไปทว่าไม่ได้รับการคารวะนี้ ชำเลืองมองพวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็โบกมือ

“ไอ้หยา อย่าคารวะขอทานแก่อย่างข้าเลย สำนักฟ้าดั้งเดิมสูงส่ง พวกเจ้าคารวะคนผิดแล้ว ท่านจี้ดูสิ พวกเขาแต่งกายสีสันสดใส สวมเสื้อผ้างดงามกว่าท่านอีก แต่ขอทานแก่อย่างข้าสภาพนี้ คารวะผิดคนแล้วจริงๆ”

ชายชราผู้นำกลุ่มของสำนักฟ้าดั้งเดิมยืดตัวตรง มองขอทานชราแล้วมองจี้หยวน เผยรอยยิ้มขื่นบนใบหน้า

“อาจารย์ปู่น้อย หลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านยังกังวลเรื่องนี้อีกหรือ ปรมาจารย์เขา…”

“อย่า…อย่าเลยๆ ท่านจี้ พวกเราไปเถอะ หากรู้แต่แรกเมื่อครู่คงเร้นกายไปเร็วหน่อยแล้ว”

ขอทานชราสะบัดแขนเสื้อหมุนกาย ตัดสินใจเตรียมบังคับเมฆจากไป แต่กลับพบว่าเมฆไม่ขยับเขยื้อน เขาพลันมองไปทางจี้หยวน เห็นจี้หยวนเพิ่งเก็บนิ้วจากการวาดลวดลายกลางอากาศ จึงรู้ได้ในทันทีว่าเขาลงมือแล้ว

จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย มองขอทานชราแล้วยอมรับตามตรง

“ถูกต้อง ข้าคนแซ่จี้ตรึงเมฆไว้ เดิมทีผู้อาวุโสหลู่เป็นคนจากสำนักฟ้าดั้งเดิมหรือ ผู้น้อยคารวะจากใจจริง ให้พวกเขาพูดสักสองคำก่อนค่อยไปเถอะ”

ความจริงจี้หยวนไม่คุ้นเคยอะไรกับสำนักฟ้าดั้งเดิม ก่อนหน้านี้ขอทานชราบอกว่าสำนักจวนเซียนที่ตนเองสังกัดอยู่เป็นความลับ ตอนนี้เห็นทีจะมีเรื่องเก่าเก็บอยู่บ้าง

“ท่านใช้วิชาอะไร”

ขอทานชราสนใจมากกว่าว่าจี้หยวนใช้วิชาอะไร เมื่อครู่จี้หยวนบอกว่าตรึง ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยพลังของจี้หยวน เขาจึงโคจรพลังออกแรงขัดขืนสองครั้ง เมฆมรรคกลับสู่การควบคุมของเขาอีกหน ท่าทางจี้หยวนเพียงขวางครั้งเดียว ไม่ได้คิดขวางตลอดไป

ขอทานชราทางนี้เจตนาไม่สนใจคนจากสำนักฟ้าดั้งเดิม อีกทั้งตั้งใจเบี่ยงประเด็น ทว่าไม่เป็นผล

“ขอบคุณสหายยุทธ์ท่านนี้ที่โน้มน้าวอาจารย์ปู่น้อย”

คนจากสำนักฟ้าดั้งเดิมขอบคุณจี้หยวนก่อน จากนั้นคารวะให้ขอทานชราจากใจจริงอีกครั้ง

“อาจารย์ปู่น้อย แม้ปรมาจารย์ไม่พูดตรงๆ แต่ความจริงในใจหวังให้ท่านกลับสำนักทีเดียว ครั้งนี้ท่านมาถึงงานชุมนุมเซียนพเนจร หากงานชุมนุมจบลงแล้วกลับไปกับพวกข้าเถอะ กลับสำนักไปดูที่สำนักสักครั้งคงไม่เป็นไร!”

เดิมทีคิดว่าขอทานชราไม่มีทางยิ้มแย้มอะไร ปรากฏว่าขอทานชรากลับหันไปมองชายชราผู้นั้นในทันที

“เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”

เซียนชราจากสำนักฟ้าดั้งเดิมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มแย้มขึ้นมา

“ข้าบอกว่าแม้ปรมาจารย์ไม่พูดตรงๆ แต่…”

“ไม่ใช่ๆ ก่อนหน้านั้น!”

“ก่อนหน้านั้น?”

เซียนชราสำนักฟ้าดั้งเดิมมุ่นคิ้วคิด ลังเลก่อนมองจี้หยวน

“ข้ากล่าวขอบคุณสหายยุทธ์ท่านนี้”

ขอทานชราปรบมือดังป้าบ มองจี้หยวนซึ่งมีสีหน้าแปลกใจอยู่ข้างๆ แล้วมองเซียนชราสำนักฟ้าดั้งเดิม

“เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”

“อาจารย์ปู่น้อย”

“แล้วเรียกเขาว่าอะไร”

“เอ่อ สหายยุทธ์”

“ฮ่าๆ ถูกต้อง!”

ขอทานชราหัวเราะเสียงหนึ่ง จากนั้นตำหนิด้วยสีหน้าจริงจังโดยพลัน

“เรียกมั่วซั่วไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! หึๆ ท่านจี้ ขออภัยด้วย ผู้น้อยพวกนี้เรียกท่านโดยลดระดับอาวุโสลงแล้ว ท่านจะไม่สั่งสอนพวกเขาหน่อยหรือ”

จี้หยวนตะลึงงันก่อนจะส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม ขอทานชราผู้นี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน แค่คำเรียกก็มองเป็นเรื่องจริงจังเสียแล้ว

“เฮ้อ ทำตามที่ท่านพอใจเถอะ ข้าคนแซ่จี้ไม่มีความเห็นพิเศษใดต่อคำเรียก เดิมก็เป็นเพียงผู้ฝึกปราณร่วมมรรคเดียวกัน เรียกว่าสหายยุทธ์นับว่าไม่มีอะไรเสียหาย”

“อืม พวกเจ้าดูสิ นี่ก็คือความแตกฉานของผู้อาวุโส!”

ขอทานชรารู้สึกว่าเขาเอาเปรียบจี้หยวนแล้ว กระนั้นอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าจี้หยวนจะสนใจจริงหรือลวง อย่างไรเสียเขาก็อารมณ์ดีแล้ว

เมื่ออารมณ์ดีขึ้นก็ยินดีพูดจาน่าฟังอีกสองคำ อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรงเช่นนั้นอีก

“เอาล่ะ พวกไม่รักดีอย่างเจ้าสร้างความวุ่นวายในการประชันมรรคก่อนหน้านี้ แต่นับว่ามีพัฒนาการอยู่บ้าง เมื่อครู่ท่านจี้ชมว่าวิชาคุมวาโยของพวกเจ้ากับผู้ฝึกปราณหุบเขาพายุยอดเยี่ยมมาก ค่อนข้างจริงจังทีเดียว กลับไปเร็วหน่อยเถอะ ข้ากับท่านจี้จะล่วงหน้าไปก่อน”

“อาจารย์ปู่น้อย…”

ผู้ฝึกปราณสำนักฟ้าดั้งเดิมยื่นมือตามสัญชาตญาณ ทว่าเมฆมรรคก้อนนั้นกลายเป็นลายแสงจากไปไกล ความเร็วยิ่งเร็วกว่าการคุมกระบี่อีก

บนเมฆขาว จี้หยวนมองขอทานชราผู้นี้ ปากยังกล่าววาจาเย็นชาต่อผู้ฝึกปราณสำนักฟ้าดั้งเดิม แต่ความจริงแล้วปากร้ายใจดี ยังคงห่วงใยสำนักฟ้าดั้งเดิมเช่นเคย

เมฆขาวลอยไปอยู่นาน จี้หยวนและขอทานชราสองคนอยู่บนนั้นไม่พูดจา ผ่านไปอีกครู่หนึ่งขอทานชราถึงเอ่ยเสียงเรียบ

“ท่านจี้มีอะไรอยากถามข้าหรือไม่”

จี้หยวนกลับไม่ได้มองขอทานชรา สายตามองทิวทัศน์เบื้องล่างก้อนเมฆ แม้จี้หยวนมองแล้วค่อนข้างขมุกขมัว แต่นานมาแล้วที่เขามีวิธีการแยกแยะทิวทัศน์ของตนเอง จากความสม่ำเสมอและกระแสปราณที่รวมตัวกัน ต่อให้อยู่บนท้องฟ้าสูงก็แยกแยะได้แปดเก้าส่วน

ตอนนี้มีปราณเพลิงพวยพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมตามสถานที่ต่างๆ ด้านล่าง เมื่อประกอบกับทิวทัศน์ที่คุ้นเคยและโดดเด่น ก็สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสถานที่ที่คนรวมตัวกัน

“ข้างล่างคืออาณาจักรอะไร”

ขอทานชรามองจี้หยวนครั้งหนึ่งแล้วมองลงไปข้างล่าง ในเมื่อจี้หยวนไม่พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เขาก็ยินดีปล่อยให้เป็นเช่นนั้น แยกแยะอย่างละเอียดก่อนค่อยกล่าว

“แม้ข้าไม่นับว่าคุ้นเคยกับที่นี่ แต่ยังพอรู้จักอาณาจักรมนุษย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง ดูสภาพสภาพภูมิประเทศแล้ว ข้างล่างน่าจะเป็นราชวงศ์ต้าซิ่ว เกาะนิรันดร์แดนเหนือมีราชวงศ์อยู่ไม่น้อย”

พูดถึงตรงนี้แล้วขอทานชรายังกลัวว่าจี้หยวนจะเข้าใจไม่ถ่องแท้ จึงกล่าวเสริมอีกว่า

“ที่นี่ไม่เหมือนต้าเจินแห่งเกาะเมฆา แม้ชาวบ้านไม่ต่างกันมาก ทว่าภายในราชวงศ์มีผู้ฝึกปราณตัวจริงประจำการอยู่ ระดับชั้นราชนิกูลยิ่งเกี่ยวพันกับมรรคเทพอยู่บ้าง นับเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในราชวงศ์หมู่มนุษย์อย่างยิ่ง”

จี้หยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“อ๋อ ที่แท้เป็นราชวงศ์ต้าซิ่วนี่เอง! ผู้อาวุโสหลู่รู้หรือไม่ว่าโหรหลวงของราชวงศ์ต้าซิ่วตอนนี้เป็นใคร”

ชายชราหัวเราะเสียงหนึ่ง

“ข้าบอกว่าต้าซิ่วนับว่ายอดเยี่ยม แต่ท่านจี้อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเลย ด้วยระดับการฝึกปราณของท่านกับข้า ราชวงศ์ยิ่งใหญ่แค่ไหนแล้วจะทำอะไรได้ โหรหลวงของราชวงศ์เป็นใครข้าย่อมไม่รู้ และไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้ด้วย”

“ก็จริง ผู้อาวุโสหลู่กลับไปก่อนเถอะ ข้าคนแซ่จี้จะไปที่หนึ่ง ทางไปถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดข้าจำได้ ไม่มีทางหลง”

จี้หยวนทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นแล้วก็ก้าวออกจากก้อนเมฆไป ร่างกายค่อยๆ ตกลงเบื้องล่างในทันที หลังจากตกลงไปได้สิบกว่าจั้งแล้ว ใต้เท้าพลันมีลมสดชื่นพัดมา พาจี้หยวนลอยไปทางเมืองหนึ่งเบื้องล่าง

“ท่านจี้จะไปทำอะไร ใช่เรื่องลึกลับหรือไม่ ข้าผู้ชราตามไปด้วยได้หรือไม่”

“จะมาก็มา”

“เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านพูดตรงๆ ก็ได้นี่ ยังต้องคุมวาโยไปเองทำไม”

ขอทานชราเย้าคำหนึ่งแล้วรีบตามไป ทว่าเขาสลายเมฆขาว คุมวาโยเช่นเดียวกับอีกฝ่าย

เดิมทีจี้หยวนเพียงอยากไปสอบถามบางอย่างจากในเมืองใหญ่ใกล้เคียง แต่ระหว่างการคุมวาโยลงไปข้างล่าง จิตวิญญาณเขากลับกระตุกวูบ สายตามองไปยังพื้นที่รกร้างค่อนข้างไกลออกไป จึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางลมทันที พาตนเองและขอทานชราเหาะไปยังสถานที่ที่คิดไว้ในใจ

ขอทานชรามุ่นคิ้วเล็กน้อย ดูทิศทางเมืองแล้วมองที่ไกลที่กำลังมุ่งหน้าไปตอนนี้ เผยสีหน้าครุ่นคิด ทว่าไม่ได้พูดอะไรมาก

ไม่นานนักจี้หยวนได้ยินเสียงกีบม้าเป็นระลอก ยิ่งมองเห็นฝุ่นดินพัดขึ้นตรงที่รกร้างไกลๆ ชัดเจนว่ามีทหารม้ากำลังมุ่งหน้าไปไม่น้อย ฝ่ายขอทานชราตอนนี้สังเกตเห็นบางอย่างแล้ว

ป่าลาดชันนอกภูเขาลาดชัน มีทหารม้าสองร้อยคนควบม้าตัวสูงใหญ่ห้อตะบึงไปข้างหน้า ทหารม้าเหล่านี้สวมเสื้อผ้าสีสด ทับด้วยชุดเกราะหนังมีห่วงเหล็ก สะพายคันธนูถือหอกยาว ผู้นำคือทหารสวมชุดเกราะเงินสีสดใส

กับๆๆๆ…

กับๆๆ…

เสียงกีบม้าดุจสายฟ้า พื้นดินถูกเหยียบย่ำจนสั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงคำรามอันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังขึ้นทั่วทั้งขบวน

“ย่า…ย่า..ฮ่า…ทุกคนตามไป อย่าให้มันหนีไปได้!”

“เจ้า นำคนไปปีกขวา! เจ้า ไปกางเขตอาคมข้างหน้า!”

“ขอรับ!”

“ขอรับ!”

กลุ่มทหารม้าแบ่งเป็นสองกลุ่ม อ้อมจากทางซ้ายและขวา

นายทหารมองไปข้างหน้าแล้วหัวเราะเสียงเย็น หยิบคันธนูงดงามของตนเองมาจากข้างหลัง ก่อนจะดึงลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจากในกระบอกข้างๆ

“คิดหนีหรือ ไม่มีวันเสียหรอก!”

นายทหารใช้สองขาหนีบท้องม้าเพื่อรักษาสมดุล สองมือง้างคันธนูจนเหมือนกับพระจันทร์เต็มดวง ปราณแท้ทั่วร่างกายไหลเวียนก่อนเติมเข้าสู่ลูกธนู ลูกศรอยู่บนเชือกแล้ว เขาเล็งไปทางซ้ายเล็กน้อยแล้วยิงทันที

“ฮ่า!”

ปึง

สวบ…

เสียงเชือกดีดและเสียงลูกธนูแหวกอากาศดังขึ้นพร้อมกัน ลูกธนูพุ่งไปข้างหน้าราวกับดาวตก เกิดแสงสว่างเล็กน้อยด้วย

“อ๊าก…”

ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นตรงที่ห่างออกไปร้อยจั้ง

ฝ่ายนายทหารยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง ลูกธนูอีกหนึ่งดอกคาดอยู่บนเชือกแล้ว หลังจากง้างจนเป็นพระจันทร์เต็มดวงก็เล็งไปยังฝั่งซ้ายอีกครั้ง จากนั้นยิงลูกธนูออกไป

“ฮ่า!”

ปึง

สวบ…

“อ๊าก…”

เป็นดังที่คาดไว้ ข้างหน้ามีเสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นอีกแล้ว…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด