เซียนหมากข้ามมิติ 494 เชือกไหมทอง

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 494 เชือกไหมทอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 494 เชือกไหมทอง

……………………………………………………………………..

ความจริงแล้วสัตว์ใหญ่แข็งแรงหรือสัตว์ร้ายมีขนมีค่อนข้างมาก ชาติก่อนจี้หยวนเป็นเพียงคนธรรมดา อีกทั้งเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่าเทพอะไร แต่สิ่งแรกที่ติดอยู่ในความทรงจำก็คืออีกาทองกับปี้ฟางนี่แหละ

แน่นอนว่าขอทานชราไม่รู้จักสัตว์พวกนี้ ย่อมไม่อาจชี้ว่าจี้หยวนกำลังปิดบังอะไรอยู่ ตอนนี้ในใจเขาคิดถึงสามคำโดยตลอด นั่นคือเซี่ยจื้อ อีกาทอง และปี้ฟาง ลองค้นหาในความทรงจำแล้วก็ไม่เห็นได้ความอะไร ขอทานชราจึงแน่ใจว่าตนเองเพิ่งเคยได้ยินชื่อสิ่งมีชีวิตทั้งสามเป็นครั้งแรก

ตอนจี้หยวนกับขอทานชราสนทนากันสองคน โหรหลวงเหมินอวี้ทงกับผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์หลายคนเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง

“ท่านเซียนทั้งสองไม่เป็นไรกระมัง”

ขอทานชรายิ้มให้พวกเขา

“ไม่เป็นไรๆ ข้ากับท่านจี้ก่อเรื่องแล้ว ขอสหายยุทธ์ทุกท่านให้อภัยด้วย”

หลังจากจี้หยวนมองรอบๆ ก็ประสานมือให้โหรหลวงกับผู้ฝึกปราณหลายคง กล่าวขออภัยว่า

“ไม่อาจยั้งมือได้ ทำลายตำหนักใหญ่ของสำนักปรมาจารย์แล้ว หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”

“ไม่เป็นไร! ท่านเซียนสองท่านอย่าได้ใส่ใจ ล้วนเป็นของนอกกายทั้งสิ้น ราชวงศ์ย่อมส่งคนมาซ่อมแซมอยู่แล้ว”

อย่าว่าแต่ทุกคนไม่ค่อนสนใจตำหนักใหญ่หลังนี้ ต่อให้สนใจ พวกเหมินอวี้ทงก็ไม่กล้ากล่าวโทษจี้หยวนกับขอทานชรา กลับสนอกสนใจอย่างอื่นเสียมากกว่า

เหมินอวี้ทงอดถามคำถามคล้ายๆ กับขอทานชราก่อนหน้านี้ไม่ได้เช่นกัน

“ท่านเซียนทั้งสอง ปราณปีศาจมาเมื่อครู่น่ากลัวจริงๆ ความเคลื่อนไหวนั้นหมายความว่าอย่างไร ขนในมือท่านจี้เป็นของสัตว์ประหลาดอะไร”

ขอทานชรามองเขาแล้วส่ายหน้า

“เรื่องบางเรื่องไม่รู้ย่อมดีกว่า”

แม้ไม่เคยได้ยินชื่อเซี่ยจี้อ ปี้ฟาง และอีกาทอง แต่สัตว์พวกนี้มีอยู่จริงอย่างแน่นอน หรือเคยมีอยู่จริง เรื่องนี้ขอทานชราไม่สงสัยเลยสักนิด ทว่าวันนี้สิ่งเหล่านี้เหมือนกับเป็นเรื่องลี้ลับ คนธรรมดารู้น้อยไว้ดีที่สุด

ถูกต้อง ในสายตาของขอทานชรานั้น ผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์เหล่านี้ก็เพียงเป็น ‘คนธรรมดา’

ฟังคำพูดของขอทานชราแล้ว พวกโหรงหลวงไม่สงสัยเรื่องอื่น รีบกล่าวตอบว่า ขอรับ’ ส่วนจี้หยวนข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร แบบนี้เขาจะได้อธิบายบางอย่างน้อยลงหน่อย

นึกถึงที่โหรหลวงบอกว่าได้ภาพวาดมาจากกรมคลัง จี้หยวนพลันตาเป็นประกาย ในใจเกิดความคิดบางอย่าง

“ขอถามโหรหลวง หากข้าคนแซ่จี้อยากชมกรมคลังดูสักหน่อยจะสะดวกหรือไม่”

จี้หยวนรู้ว่าฮ่องเต้ต้าซิ่วไม่มีทางปฏิเสธคำขอนี้ ตอนนี้แค่ถามออกไปสักคำเท่านั้น

เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ เหมินอวี้ทงได้ยินแล้วรับปากทันที

“ท่านจี้โปรดวางใจ ฝ่าบาทต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน”

อีกด้านหนึ่ง องครักษ์สองคนรีบออกจากตำหนักหลัก กลับไปยังลานลานกว้างที่พวกฮ่องเต้อยู่ เห็นฮ่องเต้อยู่ท่ามกลางการคุ้มกันแน่นหนา

แม้ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พูดว่าไม่จำเป็นต้องกลับวัง คิดว่าทางนี้ไม่ปลอดภัยไปที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นความคิดที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

องครักษ์สองคนใช้เวลาไปกลับประมาณหนึ่ง ทางนี้มีองครักษ์กับยอดฝีมือล้อมอยู่เต็มไปหมด ยิ่งตั้งธงยันต์ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องราชวงศ์โดยเฉพาะ ท่าทางเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว

เห็นองครักษ์สองคนกลับมา ทุกคนถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ฮ่องเต้ชราถามด้วยความเป็นห่วงว่า

“เป็นอย่างไรบ้าง ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านเซียนสองท่านยังอยู่กระมัง โหรหลวงไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

องครักษ์สองคนสบตากัน คนหนึ่งในนั้นก้าวไปตอบ

“ทูลฝ่าบาท โหรหลวงกับท่านเซียนล้วนปลอดภัยดี ทว่าตำหนักหลักสำนักปรมาจารย์แทบพังทลาย ภายในตำหนักกระจัดกระจาย เหมือนกับมีมรรคเซียนมาถึง โหรหลวงบอกกกับพวกกระหม่อมว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ให้พวกกระหม่อมกลับมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“รู้หรือไม่ว่าเป็นมรรคเซียนใด”

ฮ่องเต้ชราถามต่อ ฝ่ายองครักษ์เพียงส่ายหน้า

“โหรหลวงมีคำสั่งเช่นนั้น พวกกระหม่อมไม่กล้าอยู่นาน รู้เพียงว่าน่าจะเป็นเพราะท่านเซียนสองท่านที่มาถึงในวันนี้”

“โหรหลวงบอกว่าไม่จำเป็นต้องช่วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชรามองทางตำหนักหลัก เพียงถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวกับขันทีข้างๆ

“ถ่ายทอดคำพูดข้าไป ให้นายช่างเตรียมตัวซ่อมแซมสำนักปรมาจารย์”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีทำความเคารพก่อนถอยไปช้าๆ จากนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว หากฮ่องเต้ไม่กำหนดวัน เช่นนั้นอย่าคิดว่าไม่รีบร้อนได้ ตรงกันข้าม นั่นเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งนัก

“ท่านเฉียว ท่านเซียนจี้กับท่านเซียนหลู่คงไม่จากไปกะทันหันกระมัง”

ฟังคำถามของฮ่องเต้แล้ว เฉียวหย่งทำได้เพียงกลั้นใจตอบไป

“เอ่อ กระหม่อมไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ เซียนทำอะไร มนุษย์อย่างพวกกระหม่อมคาดเดาไม่ได้”

ตอนนี้เองพลันมีคนมองเห็นโหรหลวงเหมินอวี้ทงรีบร้อนมาจากนอกลาน ทำเอาพวกฮ่องเต้ชราตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเดินถึงที่ใกล้แล้ว เหมินอวี้ทงเอ่ยปากถามตรงๆ

“ฝ่าบาท! ท่านเซียนทั้งสองมีความปรารถนา หวังว่าฝ่าบาทจะเปิดกรมคลังให้ท่านเซียนเข้าไปดูหน่อย ไม่ทราบว่าฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชราฟังดังนั้นแล้วเผยสีหน้าปีติ เอ่ยเสียงเบา

“โหรหลวง เจ้าพูดให้ข้ามั่นใจหน่อย แท้จริงแล้วมรรควิถีของท่านเซียนทั้งสอง…”

ฮ่องเต้ชราไม่ต้องพูดจบก็เข้าใจแจ่มแจ้ง เหมินอวี้ทงก็รู้ความหมายของเขาเช่นกัน จึงพยักหน้าน้อยๆ ตอบไป

“กระหม่อมเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก แม้อยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้มีมรรคเซียนก็ต้องอยู่ในระดับสูงสุดอย่างแน่นอน”

ได้ยินดังนั้นแล้วฮ่องเต้ชรายิ่งดีใจ รีบถามต่อว่าท่านเซียนทั้งสองอยากไปกรมคลังเมื่อไหร่ มอบเงินทองของมีค่าให้ท่านเซียนทั้งสองมากหน่อยย่อมดีที่สุด

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม องครักษ์และยอดฝีมือมากมายที่คุ้มกันรอบกรมคลังของวังหลวงอย่างแน่นหนาถูกไล่ไป ฮ่องเต้ชรากับโหรหลวงนำทางจี้หยวนกับขอทานชรามาถึงที่นี่ด้วยตนเอง

คลังสมบัตินี้ใหญ่มหึมาเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงผนังหนาประตูแข็ง ยังมียันต์สลักอยู่ทุกที่ไป

องครักษ์ฝีมือดีสองคนเปิดทางอยู่ข้างหน้า เดินไปถึงหน้าประตูสำริดก่อน มือถือกุญแจเปิดสลักที่ใหญ่และเป็นเศษเป็นอย่างยิ่ง ตอนกุญแจเสียบเข้าไปในสลัก จี้หยวนได้ยินเสียงกึกกักอยู่หลายครั้ง สุดท้ายถึงค่อยเปิดออกได้

แอ๊ด…

เสียงหมุนเพลาประตูโลหะแหลมๆ ดังขึ้น องครักษ์สองคนเปิดประตูใหญ่เต็มที่

ฮ่องเต้ชราผายมือไปข้างหน้า

“เชิญท่านเซียนข้างใน ของสิ่งใดในคลัง ขอเพียงท่านเซียนถูกใจ สามารถนำกลับไปได้ไม่จำเป็นต้องชดใช้ ยิ่งไม่จำกัดจำนวน!”

จี้หยวนกับขอทานชราเพียงพยักหน้าให้ฮ่องเต้ชรา จากนั้นก้าวเข้าไปในคลังสมบัติ ฝ่ายโหรหลวงก้าวตามไปช้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไปในคลังสมบัติแล้ว แม้จี้หยวนมองรอบๆ แล้วมีแต่ความมัวซัว แต่รู้สึกได้ถึงทองและอัญมณีงดงาม นี่ล้วนเป็นแสงที่สะท้อนออกมาจากทองคำ

ใช่ ในฐานะที่เป็นคลังสมบัติของวังหลวง เงินไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่ ที่นี่นอกจากอัญมณีหลากชนิดและของทีค่าอย่างอื่น ส่วนใหญ่เป็นทองคำ และคลังสมบัตินี้อาจใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอลเลยทีเดียว

ของมีค่าที่นี่บ้างจัดประเภทเรียงลำดับ บ้างวางกองกันเตะตารวมกับทองคำ

แม้ด้วยความมุ่งมาดของจี้หยวน ก็สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ สองชาตินี้เขาไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน เกินจริงเกินไปแล้ว คิดถึงทองเท่าหัวสุนัขในมือตนเองก็ว่าใหญ่แล้ว แต่เทียบกับที่นี่แล้วน้อยนิดอย่างแท้จริง

ทว่าความรู้สึกนี้คล้ายกับคนธรรมดามองเรื่องตลก เมื่อหัวเราะแล้ว จี้หยวนคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมา ฝ่ายโหรหลวงเอ่ยปากขึ้นในตอนนี้

“ท่านเซียนทั้งสอง ก่อนหน้านี้ข้าคนแซ่เหมินได้ม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อจากราวแขวนภาพที่นี่”

พูดแล้วโหรหลวงนำทางสองคนเข้าใกล้ราวแขวนภาพที่อยู่ข้างใน บนนั้นมีม้วนตัวอักษรเรียงรายกันอยู่ ที่แขวนบนราวยังมีลายมือชื่อมากมายด้วย

บนลายมือชื่อคือชื่อคนจากครอบครัวใหญ่ บ้างมีวันที่กำกับ แน่นอนว่ามีตัวอักษรครอบครัวที่ไม่รู้จักด้วยเช่นกัน

จี้หยวนเปิดตาทิพย์เต็มที่ กวาดสายตามองตั้งแต่บนลงล่างล้วนไม่เห็นความพิเศษอะไร ตอนนี้ขอทานชราอาศัยตาทิพย์สังเกตสี่ทิศแล้วเช่นหัน

หลังจากนั้นนานทีเดียวสองคนสบตากัน ต่างก็ส่ายหน้าเล็กน้อย

“พวกเราหารอบๆ ดู”

“อืม”

ดังนั้นสองคนต่างค้นหาในคลังสมบัติของวังหลวง นับว่าค้นหาของมีค่าในคลังสมบัติอย่างแท้จริง

ข้างนอกคลังสมบัติ ฮ่องเต้ชราร้อนใจอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเขากลัวของถูกขโมยไป กลับกลัวว่าไม่มีของสิ่งใดถูกใจท่านเซียน และด้วยประสบการณ์ของเขานั้น ข้อหลังมีความเป็นไปได้มากยิ่งกว่า

เป็นดังที่คาดไว้ หลังจากนั้นครึ่งเค่อ สามคนที่เข้าไปในคลังสมบัติออกมาแล้ว ยังไม่ทันที่ฮ่องเต้ชราจจะถามอะไร โหรหลวงที่รั้งท้ายส่งสายตาให้เขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ นี่หมายความว่าเซียนทั้งสองไม่ได้อะไร

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้พวกกระหม่อมเข้าไปชม กระหม่อมคนแซ่จี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!”

“กระหม่อมผู้ชราก็เช่นกัน ชาตินี้เพิ่งเคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรก อืม เกรงว่าสมบัติมากที่สุดในใต้หล้าแล้ว”

ฮ่องเต้ชราเพียงยิ้มฝืนๆ ตอบรับว่าชมเกินไปแล้ว ทว่าในใจยิ่งร้อนรนกว่าเดิม

เขาไม่คิดให้จี้หยวนกับขอทานชราไปดูคลังสมบัติอื่น เพราะมีเพียงคลังสมบัติตัวอักษรฟ้ารวบรวมของล้ำค่าทุกชนิดเอาไว้แล้ว สิ่งที่ท่านเซียนอาจถูกตาต้องใจที่สุดในนั้นก็คือของจำพวกตัวอักษร คลังสมบัติอื่นมีแต่เงินทอง อีกทั้งเงินพวงหนาหนัก ไม่มีอะไรสำคัญ

“หากท่านเซียนทั้งสองสะดวกล่ะก็ อยู่รับอาหารหน่อยเป็นอย่างไร เมื่อวานต้องไม่ได้กินดีที่บ้านท่านเฉียวแน่นอน รสชาติอาหารจากห้องเครื่องในวังหลวงยอดเยี่ยมมาก ทั้งสองท่านคิดเห็นอย่างไร”

“ฮ่าๆ ไม่ต้องหรอก อาหารที่บ้านเฉียวหย่งเต็มโต๊ะมาก กระหม่อมผู้ชรากินจนพุงกาง อิ่มไปได้แปดในสิบปีทีเดียว”

จี้หยวนยิ้มเช่นกัน

“กระหม่อมคนแซ่จี้คิดเช่นเดียวกัน”

จะทำอย่างไรดีๆ ท่านเซียนทั้งสองจะไปแล้ว ฮ่องเต้ชรามีสีหน้าราบเรียบ ทว่าในใจกลับครุ่นคิดอยู่หลายตลบ

ขันทีชราผู้หนึ่งเข้าใกล้ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง กระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเขา

“ฝ่าบาท…พระองค์ลืมแล้วหรือ ตัวอักษรสิ่งมีค่าในคลังสมบัติเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของดีที่แท้จริงล้วนอยู่ที่ห้องทรงอักษรไปจนถึงในตำหนักทั้งหลาย…”

ฮ่องเต้ชราพลันตาเป็นประกาย

“ใช่ๆๆ! ท่านเซียนทั้งสองท่าน ของมีค่าที่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของล้ำค่ามากมายความจริงแล้วล้วนอยู่ในวัง ในห้องทรงอักษรของข้าก็มีอยู่ไม่น้อย ไปดูหน่อยไปอย่างไร”

จี้หยวนคิดแล้วกล่าว

“ดีเหมือนกัน ไปดูหน่อย!”

ฮ่องเต้ชรานำทางพวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องทรงอักษรด้วยตนเอง ครั้งนี้ไม่เพียงโหรหลวงติดตามไปด้วย ฮ่องเต้ชราก็เข้าไปด้วยเช่นกัน เพื่อแนะนำสิ่งที่เขามองว่าควรค่าให้พูดถึงแก่จี้หยวนกับขอทานชรา

ห้องทรงอักษรไม่เล็กไม่ใหญ่ ของล้ำค่าไม่น้อย จี้หยวนกวาดตาทิพย์ไปทั่วๆ สุดท้ายจ้องมองบนภาพตัวอักษรบนชั้นหนังสือ พูดให้ถูกต้องไม่ใช่ภาพตัวอักษร แต่เป็นภาพตัวอักษรที่พันไว้ด้วยเชือกไหมทอง

จี้หยวนพูดกับฮ่องเต้ชรา จากนั้นเดินไปปลดภาพตัวอักษรลงมา แล้วปลดเชือกไหมทองออกโดยไม่สนใจภาพตัวอักษร เขาถือไว้บนมือมองอย่างละเอียด ขอทานชราข้างๆ ก็เข้ามาใกล้แล้ว

เชือกไหมทองนี้ที่จริงไม่มีแสงมรรคและแสงเทพใดปรากฏ แต่กลับมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคน ขอทานชราเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“น่าสนใจ เชือกไหมทองนี้ไม่จัดอยู่ในธาตุทั้งห้า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด