เซียนหมากข้ามมิติ 505 ไฟเตาหลอมทองแท้
ตอนที่ 505 ไฟเตาหลอมทองแท้
……………………………………………………………………..
“บรรพจารย์ ท่านอย่ากล่าวกระท่อนกระแท่นได้หรือไม่… มีเตาโอสถหรือ”
ผู้ฝึกปราณหญิงแห่งสำนักยรรยงมองตามนิ้วมือผู้อาวุโส เห็นแค่สวนหมอกเมฆเจือแสงแดงเพลิง แต่ไม่เห็นเตาโอสถอะไร คิดว่าอาจเป็นเพราะไม่อาจใช้ตาเนื้อมองได้ นางเพ่งตาทิพย์มองไปทางสวนหมอกเมฆ
“อืม มีเตาโอสถ อย่าใช้ตาทิพย์มองไปตรงนั้น…”
ผู้ฝึกปราณหญิงสำนักยรรยงพูดจบแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบรับของคนรุ่นเยาว์สำนักตน เมื่อหันมองสองด้านแล้วเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของพวกนาง นางรีบหยิบแส้หางม้ามากวาดผ่านตัวคนรุ่นหลังทั้งซ้ายขวา กวาดปราณเพลิงบนจิตใจออกไป
การมองยอดเขาเซียนมาเยือนโดยตรงไม่เป็นไร แต่หากเจาะจงมองหาสวนหมอกเมฆมากเกินไปจะจมสู่เขตแดนของจี้หยวน เป็นไปได้ว่าจะเห็นทะเลเพลิงสมาธิในเตาโอสถโดยตรง มรรควิถีไม่พอจิตวิญญาณย่อมเสียหาย
ต้องรู้ว่าเดิมเพลิงสมาธิอยู่ในเขตแดนจี้หยวน เมื่อหลอมไหมวิญญาณทองร่วมกับอีกสามคน ยามจี้หยวนสำแดงวิวัฒน์ฟ้าดินเขตแดนย่อมเปิดออกเต็มที่ เพลิงสมาธิถือว่าปรากฏเด่นชัดเต็มอัตรา
แน่นอนว่าเปลวเพลิงไม่เผาโลกจริง แต่เป็นจุดสนใจกับแผดเผาจิตวิญญาณเกินไป ผู้ครองมรรควิถีสูงส่งแท้จริงย่อมไม่กลัว มรรควิถีไม่ถึงขั้นย่อมไม่เห็น ผู้บาดเจ็บมากที่สุดคือพวกอยู่ตรงกึ่งกลาง
“เฮือก… บรรพจารย์…”
ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์คิดเอ่ยตำหนิอย่างอดไม่ได้ ผู้ฝึกปราณหญิงผู้นำสำนักยรรยงกล่าวพึมพำเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด
“ลืมบอก…”
นี่เป็นแค่หนึ่งในบทละครน้อยรอบยอดเขาเซียนมาเยือนเท่านั้น แม้ว่าสถานการณ์แบบเดียวกันเปิดฉากตรงสถานที่อื่นด้วย แต่กลับไม่มาก ถึงอย่างไรก็ต้องหาต้นตออย่างสวนหมอกเมฆเจอก่อน
แม้ว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นตกตะลึงชั่วขณะ แต่หลังจากลอยมาข้างนอกส่วนใหญ่กลับสงสัย ผู้ร้อนรนที่สุดมีเพียงเจ้าบ้านอย่างเขาเก้ายอดเท่านั้น
“ที่นี่คือมรรคสถานเขาเก้ายอดของพวกเรา สหายยุทธ์แห่งใดสำแดงวิชาที่นี่”
แสงธรรมสามสายลอยมาจากยอดเขาหลักกลางเขาเก้ายอด เสียงอสนีก้องภูเขา กระเทือนจนผนึกเขาเก้ายอดโดยรอบเปล่งแสงขึ้นมา กระแสปราณวิญญาณรอบยอดเขาเซียนมาเยือนสะเทือนไม่หยุด เกิดคลื่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นระลอก
เสียงอสนีมาจากชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีน้ำตาล ศีรษะประดับเกี้ยวดาราขอบทองตรงกลาง ภายใต้เสียงอสนีดังกระหึ่มกลับไม่มีใครตอบ
เมื่อแสงธรรมวาบผ่านปรากฏบนท้องฟ้าเหนือยอดเขาเซียนมาเยือน ผู้ฝึกปราณรับแขกแห่งเขาเก้ายอดรีบเหาะเหินไป คารวะบุคคลระดับบรรพจารย์ทั้งสามที่มาเยือน
“ผู้แทนฝ่ายต้อนรับแขกแห่งยอดเขาเซียนมาเยือน คารวะบรรพจารย์เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสทั้งสอง!”
“พูดจารวบรัดหน่อย พวกเจ้ารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
ตอนนี้เจ้าสำนักเขาเก้ายอดกับผู้สูงส่งเขาเก้ายอดสองคนข้างกายไม่ร้อนรนเหมือนเมื่อครู่แล้ว ด้วยเข้ามาใกล้แล้วพบว่าน่าจะไม่มีศัตรูภายนอก
พวกผู้ฝึกปราณรับแขกไม่กล้าปิดบัง ได้แค่บอกตามความเป็นจริง
“เรียนบรรพจารย์เจ้าสำนัก พวกเราไม่พบสาเหตุการเปลี่ยนแปลง รู้แค่มีคนกำลังสำแดงวิชาคุมเพลิงขอรับ”
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก พวกเขามองอะไรไม่ออก จริงสิ สวนหมอกเมฆน่าจะเตรียมไว้ให้สหายยุทธ์แห่งเกาะหมอกเซียนกระมัง พวกเขามาถึงหรือยัง”
ทั้งสามคนมรรควิถีสูงส่ง ตอนนี้เมื่อจ้องมองย่อมดูออกว่าต้นตอมาจากสวนหมอกเมฆ
ผู้ฝึกปราณรับแขกยังไม่ตอบ เจ้าสำนักเขาเก้ายอดกลับเอ่ยปากก่อน
“สหายยุทธ์เกาะหมอกเซียนมาแล้ว สิบกว่าวันก่อนข้ายังเจอสหายยุทธ์จู้ทิงเทาแห่งเกาะหมอกเซียน หรือว่าเป็นเพราะเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร”
ยามพูดคุยกันโดยย่อ มีแสงเคลื่อนไหวลอยมา เป็นฉางอี้แห่งเกาะหมอกเซียนนั่นเอง เมื่อเข้าใกล้เขาค่อยหยุดแสงเคลื่อน คารวะผู้สูงส่งสามคนแห่งเขาเก้ายอดอย่างนอบน้อม
“ฉางอี้ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียน คารวะเจ้าสำนักเขาเก้ายอดกับผู้สูงส่งทั้งสอง”
“สหายยุทธ์ฉาง สหายยุทธ์จู้เล่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเกาะหมอกเซียนหรือไม่”
บีบผู้ฝึกเซียนทั้งยอดเขาเซียนมาเยือนออกมานอกเขา ทั้งทำให้เจ้าสำนักเขาเก้ายอดมาเอง ฉางอี้ไม่กล้าปิดบังมากเกินไป เขาพูดตามตรง
“เรื่องนี้เกี่ยวกับอาจารย์ลุงจู้จริงๆ สิบกว่าวันก่อนมีผู้สูงส่งท่านหนึ่งซึ่งค่อนข้างสนิทกับเกาะหมอกเซียนมาสวนหมอกเมฆ เชิญอาจารย์ลุงจู้ร่วมกันหลอมสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง ผู้ร่วมทางยังมีผู้สูงส่งอีกสองท่าน พวกเขาสี่คนร่วมมือกัน เริ่มเตรียมการที่สวนหมอกเมฆ พวกเราผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนวางผนึกอยู่ข้างนอก ทำหน้าที่คุ้มกัน…”
ฉางอี้เผยสีหน้าอักอ่วนอย่างหายากยิ่ง
“ต่อให้ให้ความสำคัญแค่ไหน พวกเรายังประเมินการเตรียมตัวต่ำไป เมื่อเพลิงผู้สูงส่งปรากฏ ผนึกส่ายสั่นคล้ายจะร่วงหล่น กอปรกับพวกเราไม่กล้าอยู่ใกล้นานเกินไป กระทั่งไม่อาจคงผนึกต่อเนื่อง กะ กลายเป็นสภาพเช่นนี้ รบกวนสหายยุทธ์มากมาย พวกเราเกาะหมอกเซียนละอายนัก!”
“หลอมอาวุธ?”
ผู้สูงส่งสามคนแห่งเขาเก้ายอดมองไปทางสวนหมอกเมฆ ทั้งมองเหล่าผู้ฝึกเซียนกลางอากาศซึ่งคอยวนเวียนโดยรอบ สถานการณ์เช่นนี้ปวดกะโหลกนัก ทั้งทดสอบสติปัญญาของเขาเก้ายอดอย่างยิ่ง
ทุกคนต่างรอคอยตาปริบๆ เขาเก้ายอดต้องจัดการอย่างเหมาะสม
แต่ไปขัดจังหวะการสำแดงวิชาของพวกจู้ทิงเทาย่อมไม่ดีแน่ การเคลื่อนไหวเช่นนี้แค่คิดก็รู้ว่าสิ่งที่หลอมร้ายกาจเพียงใด ทั้งเป็นไปได้ว่าอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้หลอมอาวุธยากควบคุมโดยสมบูรณ์ เวลาแบบนี้หากใช้พลังภายนอกเข้าไปยุ่งตามสะดวกจนเกิดผลลัพธ์เลวร้ายอะไร ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจดจำตลอดชีวิต
“สหายยุทธ์ฉาง ทราบหรือไม่ว่าสหายยุทธ์อีกสามคนที่อยู่กับสหายยุทธ์จู้เป็นใคร อาวุธที่หลอมคืออะไร ถึงกับต้องใช้กำลังไฟชวนตะลึงเช่นนี้”
“คนหนึ่งคือท่านจี้แห่งทวีปเมฆาบูรพา ค่อนข้างสนิทกับพวกเราเกาะหมอกเซียน อาจารย์ลุงจู้ลงมือด้วยเห็นแก่หน้าท่านจี้ ส่วนอีกสองคน คนหนึ่งคือผู้สูงส่งแซ่หลู่ แต่งตัวเหมือนขอทาน แต่มรรควิถีสูงส่ง ไม่ด้อยกว่าอาจารย์ลุงจู้ คนสุดท้ายคือเซียนจูหยวนจื่อแห่งเขาล้อมหยก มรรควิถีสูงส่งเช่นเดียวกัน สำหรับอาวุธที่หลอมข้าคนแซ่ฉางเป็นเพียงคนรุ่นหลัง รู้ได้อย่างไรเล่า ทราบแค่เกี่ยวข้องกับวิญญาณห้าธาตุ ครั้งนี้เป็นแค่การเตรียมตัวเท่านั้น!”
เมื่อฉางอี้เอ่ยคำพูดนี้เขาทำหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง ถึงขั้นรู้สึกว่ายากจะเชื่อ แต่การเคลื่อนไหวนี้เป็นแค่การเตรียมตัวก่อนจริงๆ นี่คือสิ่งที่ท่านจี้กับพวกอาจารย์ลุงพูดเอง ทั้งการหลอมอาวุธต้องมีกันห้าคน มีอีกคนยังไม่ถึง ไม่ได้เริ่มอย่างแท้จริง
“แค่เตรียมการก่อนหรือ”
ฉางอี้รีบกล่าวเสริม
“สิ่งที่ข้าคนแซ่ฉางกล่าวเป็นจริงทุกคำ ความจริงข้าได้ยินพวกอาจารย์ลุงจู้บอกว่าสมบัติที่หลอมเกี่ยวกับวิญญาณห้าธาตุ จำเป็นต้องมีห้าคนแบ่งกันควบคุม ดังนั้นผู้สูงส่งที่หลอมอาวุธจึงมีห้าคน ตรงสวนหมอกเมฆมีเพียงสี่คน อีกคนคือประมุขมังกรอิงแห่งทวีปเมฆาบูรพา คิดว่าตอนนี้คงกำลังเร่งเดินทางมา”
เมื่อฉางอี้เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ทุกคนรู้สึกว่าค่อนข้างเกินจริงอย่างยากหลีกเลี่ยง แต่นี่คือความจริง ทุกคนรอบเขาเก้ายอดฟังแล้วตกตะลึงไม่น้อย แม้แต่เจ้าสำนักเขาเก้ายอดก็เช่นกัน
“พวกเขาต้องการหลอมสมบัติวิเศษอะไรกันแน่”
“เจ้าสำนัก เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร”
ชายชราสองคนที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงพลางถามอย่างรีบเร่ง
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายแต่กลับเผยรอยยิ้มพลางส่ายหัวกล่าว
“มิน่าตอนนั้นถึงมีสหายยุทธ์บอกว่าความจริงงานชุมนุมเซียนพเนจรเป็นเรื่องยุ่งยาก ข้ายังไม่เชื่อ ช่างเถอะๆ เปิดยอดเขามรรคปราณ เตรียมนำทางสหายยุทธ์ทุกท่าน ส่วนยอดเขาเซียนมาเยือน… ยกให้สหายยุทธ์เหล่านั้นชั่วคราวเถอะ!”
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดหันมากล่าวกับผู้ฝึกปราณรับแขก
“ถ่ายทอดคำสั่งบอกยอดเขามรรคปราณ เตรียมที่พักให้สหายยุทธ์ทุกท่าน”
“รับคำสั่ง!”
เมื่อผู้ฝึกปราณรับแขกเหาะเหินไปยอดเขามรรคปราณ เจ้าสำนักเขาเก้ายอดส่งเสียงอสนีทั่วยอดเขาเซียนมาเยือน
“สหายยุทธ์ทุกท่าน เพลิงยอดเขาเซียนมาเยือนไม่เกี่ยวกับมารร้าย แต่เป็นลักษณ์ประหลาดจากการปิดด่านของสหายยุทธ์ ลักษณ์นี้อาจสืบเนื่องเป็นเวลานาน เชิญทุกท่านย้ายไปยอดเขามรรคปราณ หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย!”
เมื่อเสียงเจ้าสำนักดังทั่วทิศ เหล่าผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดลอยไปทุกแห่งหน อธิบายกับสหายยุทธ์แต่ละแห่งอย่างละเอียด ทั้งพาพวกเขามุ่งหน้าไปยอดเขามรรคปราณ
ส่วนผู้ฝึกปราณที่มาจากร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ นอกจากตกใจแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีผลกระทบอะไร แค่เปลี่ยนที่พักอาศัยเท่านั้น แม้ว่าผู้ฝึกเซียนมรรควิถีแกร่งกล้าอาจมีโทสะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนกำเริบเสิบสานอะไร อธิบายเหตุผลหน่อยย่อมคุยกันได้
หากคุยด้วยเหตุผลแล้วยังไม่ไว้หน้าจริง แปดส่วนคงไม่มีผู้อาวุโสร้ายกาจอะไรอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครชี้แนะจึงทำเรื่องโง่เขลา ถ้าอย่างนั้นยิ่งต้องชั่งน้ำหนักว่ามาจากแห่งใด
ด้านสำนักยรรยงมีผู้ฝึกปราณรับแขกแห่งเขาเก้ายอดมาหาเช่นกัน
“หวังว่าผู้อาวุโสเจียงและสหายยุทธ์สำนักยรรยงทุกท่านจะเข้าใจ บรรพจารย์เจ้าสำนักสั่งเปิดยอดเขามรรคปราณแล้ว ยอดเขาเซียนมาเยือนแห่งนี้อยู่ไม่ได้ชั่วคราว”
หญิงสาวสำนักยรรยงที่ถือแส้หางม้ามองผู้มาเยือน พยักหน้าเล็กน้อยไม่กล่าวอะไร คนรุ่นเยาว์ด้านข้างเป็นฝ่ายตอบแทน
“ทราบแล้ว สหายยุทธ์นำทางก็พอ”
“ได้ ทุกท่านโปรดตามข้ามา!”
ภายในสวนหมอกเมฆบนยอดเขาเซียนมาเยือนตอนนี้ แน่นอนว่าจี้หยวนกับอีกสามคนรู้ว่ารบกวนคนอื่น ไม่พูดถึงอย่างอื่น เสียงอสนีของเจ้าสำนักเขาเก้ายอดคงไม่มีทางไม่ได้ยิน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อาจหยุดมือ มิฉะนั้นความพยายามจะเสียเปล่า
โชคดีว่าต่อมาเสียงอสนีของเจ้าสำนักเขาเก้ายอดดังขึ้นอีกครั้ง คล้ายว่าเตรียมการให้สหายยุทธ์คนอื่นเปลี่ยนที่พัก
“รอหลอมไหมทองเส้นนี้เสร็จค่อยตำหนิคนรุ่นหลังพวกนั้น แค่ดูแลผนึกคอยคุ้มกันยังทำไม่ได้!”
“พวกเขาทำดีมากแล้ว สหายยุทธ์จู้อย่าวอกแวกเลย”
เผชิญหน้ากับเพลิงลุกโชนกลางเตาโอสถ ทั้งสี่คนยังพอฝืนพูดคุยกันยามสำแดงวิชา ได้แค่บอกว่ามรรควิถีสูงส่งจริงๆ
ด้านหนึ่งจี้หยวนควบคุมเพลิง พยายามรักษาสมดุลทะเลเพลิง ด้านหนึ่งสำแดงวิชากลางเขตแดน ทำให้ดวงดาวพิเศษบางส่วนบนฟ้าคายพลังดารากับแสงจันทร์ กลายเป็นพลังยอดหยินเข้มข้น คลุมยอดเขาในเขตแดนที่ทั้งสี่คนอยู่กลางแสงพร่าเลือน คลายความร้อนที่เกิดจากเพลิงสมาธิ
เพียงพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน มีผู้ฝึกปราณมรรคเซียนเข้าถ้ำสวรรค์เก้ายอดมากขึ้นเรื่อยๆ แค่คนซึ่งมาทีหลังล้วนถูกพาไปยอดเขามรรคปราณ ทราบสถานการณ์ยอดเขาเซียนมาเยือนจากสหายยุทธ์คนอื่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข่าวว่ามีผู้สูงส่งครองยอดเขาเซียนมาเยือนเพื่อหลอมสมบัติวิเศษแพร่สะพัด ต่อให้ยอดเขาเซียนมาเยือนไม่ใช่สถานที่ต้อนรับแขกแล้ว แต่ยังกระตุ้นความสงสัยในใจทุกคน
…
วู้ม… วู้ม… วู้ม…
ตอนนี้เส้นไหมเหนือเตาโอสถสั่นไม่หยุด ทุกครั้งยามสั่นสะเทือนล้วนมีพลังวิญญาณทองแทรกซึม เส้นไหมเปลี่ยนเป็นสีทองสลับโปร่งแสง เมื่อมีวิญญาณทองแทรกซึมจะเปลี่ยนเป็นสีทอง ต่อมายามทั้งสี่คนร่วมแรงสำแดงวิชาจะกลับเป็นโปร่งแสง กลับสู่สภาพยืดหยุ่นเหนียวแน่นเป็นเอกลักษณ์
ดวงตาจี้หยวนหลุบหรี่ นัยน์ตานอกจากสะท้อนทะเลเพลิงล้นฟ้าแล้ว สามารถเห็นหน้าหลากสีสันของอีกสามคน
จูหยวนจื่อเคร่งขรึมนิ่งสงบตลอด ไม่ยอมปล่อยให้ตนทำพลาดสักนิด ความเร็วของการขยับปากถึงขั้นฟังคำบัญชาไม่ชัด
สีหน้าขอทานชราสุขุมและเผยความตื่นเต้น จู้ทิงเทาไม่ต่างจากเขานัก
“ท่านจี้ ถึงอย่างไรสหายยุทธ์บนยอดเขาเซียนมาเยือนก็จากไปหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงมากนัก”
“ไม่ผิด ในเมื่อพวกเขาไปกันหมดแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องห่วงอีก!”
ปากจูหยวนจื่อเอ่ยคำบัญชาไม่หยุด ไม่อาจเอ่ยวาจา แต่พยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย
‘พวกบ้าสามคน!’
จี้หยวนคิดในใจเช่นนี้ บนหน้ากลับเผยรอยยิ้มหยิ่งผยอง
“เช่นนั้นก็ดี คิดว่าสหายยุทธ์ทุกท่านคงปรับตัวกับเพลิงเตาหลอมได้แล้ว!”
ยามสิ้นเสียงสองมือจี้หยวนทำมุทรา สะบัดแขนเสื้อเหวี่ยงเหรียญทิพย์นับร้อยออกมา ล้อมรอบตัวทั้งสี่คน จากนั้นบนมือข้างหนึ่งปรากฏพู่กันขนหมาป่าด้ามหนึ่ง
โดยรอบเหรียญทิพย์เปล่งแสงแผ่ซ่าน ขณะเดียวกันจี้หยวนเขียนอักษรกลางอากาศตรงหน้า
“บัญชาไฟเตาหลอมทองแท้!”
อักษรเวทบัญชาสว่างไสว ทั้งลอยไปข้างหน้า ขณะเดียวกันฝาครอบเตาโอสถบนฟ้าสูงพลันทิ้งตัวลงมาคลุมเส้นไหมทอง ครอบมันกลางเพลิงเตาโอสถ ยามเตาโอสถปิดสนิท อักษรเวทบัญชาแนบบนเตาโอสถพอดี
ตึง…
เสียงกึกก้องราวระฆังกังวานดังออกมาจากเขตแดนว่างเปล่า ทำลายเขตแดนมายา แผ่กระจายทั่วยอดเขาเซียนมาเยือน ดังก้องทั่วเขาเก้ายอด
ทุกหนแห่งรวมถึงยอดเขามรรคปราณ ตาทิพย์มากมายกวาดมองมาทางยอดเขาเซียนมาเยือนที่เดิมเป็นจุดสนใจยิ่ง
Comments