เซียนหมากข้ามมิติ 514 เชือกมัดเซียนกับสัญญาอ่านตำรา
ตอนที่ 514 เชือกมัดเซียนกับสัญญาอ่านตำรา
……….
ทุกหนแห่งทั่วเขาเก้ายอด ไม่ว่ามรรควิถีตื้นลึกพลังปราณแข็งแกร่งอ่อนแอ ผู้ฝึกเซียนทุกคนล้วนรู้สึกได้ ทยอยออกจากสถานที่ฝึกปราณ มองไปทางยอดเขาเซียนมาเยือน บางแห่งเห็นยอดเขาเซียนมาเยือนชัดเจน บางแห่งถูกยอดเขาอื่นขวางกั้น แต่ยังเห็นแสงประกายทะลวงฟ้านั่น
แสงเรืองรองราวหมอกควันพุ่งตรงขึ้นไป ปรากฏเป็นสีทองขาว วารีดำ ไม้เขียว เพลิงแดง ดินเหลือง ทั้งมีหยินหยางขาวดำ รวมตัวเป็นเมฆมงคลเจ็ดสีบนท้องฟ้า
ภายในรัศมีเขาเก้ายอดมีเสียงเซียนหมุนวน เมื่อฟังโดยละเอียดรู้สึกว่าเป็นแค่เสียงลมพัดผ่าน ยามไม่จดจ่อเหมือนมีคนดีดผีผาเป่าขลุ่ยกลางอากาศ
ทั่วยอดเขาเซียนมาเยือนส่องแสงประกายวาววาม ในรัศมีเขาเก้ายอดถือว่าสะดุดตาอย่างยิ่ง
กระทั่งคนจากล้อมหยกซึ่งรอบนเขาเก้ายอดมาหกปีพุ่งออกมาจากที่พัก เว่ยหยวนเซิงซึ่งโตเป็นหนุ่มน้อยตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทอดมองพลางกล่าวกับฉิวเฟิง
“อาจารย์ สมบัติหลอมเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ท่านจี้กับเซียนจูใกล้ออกด่านแล้ว พวกเราจะกลับเขาล้อมหยกทันทีใช่หรือไม่”
“อืม คิดว่าน่าจะสำเร็จแล้ว!”
แม้ว่าฉิวเฟิงกล่าวเช่นนี้ แต่ความจริงทุกคนจากเขาล้อมหยกไม่คิดว่าการหลอมสมบัติครั้งนี้จะล้มเหลว ถึงอย่างไรห้าคนที่หลอมสมบัติร่วมกัน ถ้าสุ่มเลือกมาสักคนล้วนร้ายกาจ
“ฮ่าๆๆๆๆ ยินดีกับสหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน!”
ด้านข้างมีคนหัวเราะเสียงดังลั่น หยางหมิงรีบประสานมือไปด้านข้าง
“ขอบคุณๆ เซียนอาวุโสหลู่ย่อมออกด่านมาพร้อมกัน!”
ข้างผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกสิบกว่าคน ผู้ปรากฏตัวคือผู้ฝึกปราณสามคนแห่งสำนักฟ้าดั้งเดิม หกปีมานี้พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้คนจากเขาล้อมหยก
ผู้ฝึกปราณสำนักฟ้าดั้งเดิมสามคนนี้มีชายชราซึ่งเมื่อก่อนประลองวิชากับผู้ฝึกปราณหุบเขาพายุบนทะเล พูดถึงพลังปราณ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งกว่าทุกคนในที่นี้รวมกัน ตอนนี้เขากำลังมองยอดเขาเซียนมาเยือนพลางลูบเคราแย้มยิ้ม
“กลิ่นอายสมบัตินี้ไม่ธรรมดา ตอนนี้มีผนึกสำนักเซียนเขาเก้ายอดคอยขวางกั้น ทั้งอยู่ภายในถ้ำสวรรค์ หากออกไปแล้ว คิดว่าคงดึงดูดเคราะห์สวรรค์มา”
“เรื่องนั้นคงไม่แน่!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกกับผู้ฝึกปราณสามคนแห่งสำนักฟ้าดั้งเดิมต่างหันมา คารวะเจ้าสำนักเขาเก้ายอดซึ่งไม่รู้ว่ามาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“คารวะเจ้าสำนักจ้าว!”
“ล้วนเป็นแขกจากแดนไกล ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี”
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดพยักหน้าให้ทุกคนข้างกาย สายตาหันกลับมามองยอดเขาเซียนมาเยือนอีกครั้ง
“กลิ่นอายสมบัตินี้ไม่ธรรมดา สิ่งที่ปรากฏล้วนคือลักษณ์มงคลทั้งสิ้น การดึงดูดภาพสวรรค์เปลี่ยนคือเรื่องที่จำเป็นต้องเกิด แต่กลับไม่อาจเรียกมันว่า ‘เคราะห์’ ดังคำกล่าวว่าพิบัติเคราะห์คือวิกฤติอันตรายยากลำบาก แต่สำหรับสมบัตินี้คงไม่ใช่เช่นนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นความสมบูรณ์แบบตามหลักการ เรียกได้ว่าเป็น ‘มงคลสวรรค์’”
ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าสำนักเขาเก้ายอดกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ แต่ผู้ฟังล้วนสบายใจยิ่ง
บนยอดเขามรรคปราณยังมีผู้ฝึกเซียนพลังปราณต่างกันมากมายสนใจยอดเขาเซียนมาเยือน ภายใต้การมองผ่านตาทิพย์ ประกายแสงบนฟ้าสูงเหนือยอดเขาเซียนมาเยือนเกิดคลื่นทรงวงแหวน กระทบห่างออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ฟุ่บ… ฟุ่บ… ฟุ่บ…
หลังจากแสงเรืองรองแผ่ซ่านไม่รู้ต่อกี่ครั้ง การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างหายไปทีละน้อย ทั้งยอดเขาเซียนมาเยือนกลับสู่ความสงบอย่างแท้จริง ไม่มีแสงธรรมจากการหลอมสมบัติและแสงมงคลของสมบัติวิเศษอีก
ภายในสวนหมอกเมฆบนยอดเขาเซียนมาเยือน พวกจี้หยวน มังกรเฒ่า ขอทานชรา จูหยวนจื่อ จู้ทิงเทานั่งขัดสมาธิ ลักษณ์ภูผาธาราโดยรอบก่อนหน้านี้ยังสมจริง ตอนนี้กลายเป็นภาพห้องสวนหมอกเมฆตามการเก็บเขตแดนของจี้หยวนแล้ว
ตรงกลางที่ห้าคนนั่งล้อมมีเชือกขดหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ แสงสมบัติหมุนวนเจิดจรัสไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้แสงเรืองรองกำลังจางหายไป ถึงตอนท้ายเปลี่ยนเป็นเชือกสีทองม่วงละเอียดเส้นหนึ่ง
จี้หยวนยื่นมือออกไป เชือกไหมทองม่วงเส้นนี้ตกสู่กลางฝ่ามือเขา มันเหมือนเส้นไหมทองม่วงพิเศษทักทอพันเข้าด้วยกัน ปลายเชือกมีใยอ่อนสั้นๆ อีกฟากมีหยกขาวขนาดเล็กคล้องอยู่ เมื่อทั้งห้าคนมองผ่านตาทิพย์ บนนั้นมีอักษรวิญญาณคลุมเครือ
อักษรวิญญาณไม่ต่างจากอักษรทั่วไป หรือพูดว่าเหมือนสลักอักษรธรรมดา มีมรรคซ่อนเร้นหมุนวนรางๆ ต่อให้เป็นเช่นนั้นทั้งห้าคนแค่มองก็เข้าใจนัย
“ท่านจี้ เหตุใดเรียกว่าเชือกมัดเซียน คล้ายหลอมออกมาเพื่อมัดผู้ฝึกเซียนอย่างพวกเรา… เชือกมัดมารไม่ได้หรือ”
สิ่งสำคัญคือมังกรเฒ่าอยู่ด้านข้าง จู้ทิงเทาซึ่งห่วงความรู้สึกเขาจึงไม่ได้พูดคำว่า ‘มัดปีศาจ’
จูหยวนจื่อยิ้มพลางลูบเครา
“สหายยุทธ์จู้เข้าใจคลาดเคลื่อนแล้ว ‘เซียน’ ในที่นี้ไม่ใช่ ‘เทพเซียน’ คำว่าเซียนนอกจากหมายถึงความมากอภินิหารแล้วยังมีนัยสื่อถึงความอิสระ ท่องทั่วทิศไร้ข้อผูกมัด เปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งไร้ขอบเขต พวกเราตามหาเจตจำนงมรรครวมถึงมรรคา คล้ายคลึงกับผู้บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญมาร บำเพ็ญปีศาจ บำเพ็ญวิญญาณ ทำเพื่อความไร้ขอบเขตและความยิ่งใหญ่!”
เอาล่ะ ความเข้าใจนี้มากกว่าตัวจี้หยวนเอง มีอะไรพูดอีกเล่า จี้หยวนพยักหน้ากล่าวเสริม
“สหายยุทธ์จูกล่าวถูกต้องยิ่ง! หากเรียกว่า ‘เชือกผูกมรรค’ คงหยิ่งผยองเกินไป ทั้งไม่น่าฟัง เรียกด้วยคำอื่นคงทำให้ผู้ฝึกปราณนอกรีตเข้าใจผิดโดยง่าย เรียกว่าเชือกมัดเซียนดีกว่า”
“ไม่ผิด น่าฟังกว่าจริงๆ!”
“มีเหตุผล สมบัติคล้องมรรคสวรรค์ ความไพเราะสำคัญนัก!”
ทุกคนพากันพยักหน้า พูดคุยเรื่องไม่ลึกล้ำเกินคาดเดา
ขอทานชราจ้องมองเชือกในมือจี้หยวน
“สมบัตินี้กักคนได้โดยไม่ต้องสงสัย พวกเราร่วมมือกันหลอมมาหกปี อานุภาพการกักขังย่อมไม่ธรรมดา แต่คิดว่าสมบัตินี้คงไม่ได้มีแค่นี้”
“อืม ข้าเองมีความรู้สึกแบบเดียวกัน”
การหลอมสมบัติครั้งนี้เหมือนการเจียระไนมากกว่า ห้าคนร่วมแรงร่วมใจพยายามสุดความสามารถ หลอมเชือกสมบัติในมือจี้หยวนจนสมบูรณ์แบบ ส่วนประโยชน์ของเชือกสมบัติ นอกจากมีแนวคิดการใช้โดยคร่าวแล้วไม่มีข้อผูกมัดอะไรมากเกินไป ถึงอย่างไรใครต่างก็รู้ว่าเมื่อหลอมสิ่งนี้สำเร็จ แน่นอนว่าย่อมไม่เลว
มังกรเฒ่ารอคนอื่นพูดจบค่อยเอ่ยปากเบาๆ
“ไปเถอะ พาสมบัตินี้ไปเจอฟ้าดินหน่อย!”
อีกสี่คนได้ยินแล้วต่างลุกขึ้น จากนั้นค่อยท่องเหินออกจากยอดเขาเซียนมาเยือน ลอยไปนอกถ้ำสวรรค์เก้ายอด
ขณะเดียวกันแสงวิชาเซียนมากมายในเขาเก้ายอดพุ่งขึ้นมาจากยอดเขาต่างๆ เหาะไปนอกถ้ำสวรรค์เก้ายอดตามหมอกเมฆซึ่งห้าคนย่ำเหยียบ กลายเป็นภาพเหล่าเซียนติดตามทันที แสงเซียนเจิดจรัสเหมือนเริ่มงานชุมนุมเซียนพเนจรใหม่อีกครั้ง
นอกถ้ำสวรรค์เก้ายอด พวกจี้หยวนออกจากค่ายกลวงแสงลวงจนเห็นโลกภายนอก กลางฟ้าดินมีอานุภาพเลือนรางก่อเกิด แม้แต่พวกจี้หยวนยังรู้สึกอัดอั้นในใจ
พวกเขาไม่ได้ลังเลอะไร เมื่อออกจากถ้ำสวรรค์เก้ายอดมาหนึ่งเค่อ จี้หยวนโยนเชือกมัดเซียนในมือขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจอีก
อีกสี่คนยืนข้างกายจี้หยวน ทั้งไม่เคลื่อนไหวเกินความจำเป็น มองส่งเชือกมัดเซียนลอยขึ้นฟ้าสูง
ต่อมาฟ้าดินทำการต้อนรับเชือกมัดเซียน การรับมือซึ่งดีที่สุดของพวกจี้หยวนคือมองอยู่ด้านข้าง ครั้งนี้ต่างจากยามจี้หยวนเขียนตำราวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินคราวก่อน เชือกมัดเซียนคือยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง ถือเป็นสมบัติซึ่งรับการชะล้างจากมรรคสวรรค์ได้
ด้านหลังพวกจี้หยวนกับมังกรเฒ่าคือผู้ฝึกเซียนมากมายซึ่งออกมาจากถ้ำสวรรค์เก้ายอด สายตาพวกเขามองไปบนฟ้าสูง ตรงนั้นมีเมฆเทาแถบหนึ่งรวมตัวอย่างรวดเร็ว ภายในนั้นอสนีบาตหลายสายแล่นปราดวูบไหว
ครืน… ครืน…
ท่ามกลางแสงอสนีส่องประกาย เชือกมัดเซียนเริ่มเปล่งแสงเลือนราง แต่กลับทำให้สายตานับหมื่นพันยากมองข้าม
เปรี้ยง… ตูม…
อสนีบาตสายหนึ่งฟาดผ่า ยามโดนเชือกมัดเซียนประกายทองปรากฏ
เปรี้ยง… ตูม…
เปรี้ยง… ตูม…
เปรี้ยง… ตูม…
…
สายที่สอง สายที่สาม สายที่สี่ สายที่ห้า…
อสนีบาตหลายสายฟาดผ่า แสงสีแปรเปลี่ยนไม่หยุด ทุกสายทำให้ผู้สังเกตการณ์รู้สึกกดดัน ทั้งแรงกดดันยังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อสนีบาตผ่าเชือกมัดเซียนกลับงามตระการหลากสี ไหนเลยจะเหมือนสมบัติข้ามด่านเคราะห์ คล้ายลักษณ์มงคลมากกว่า
เวลาผ่านไปไม่นาน หลังจากนั้นเพียงครึ่งเค่อ อสนีบาตตรงขอบฟ้าจางหาย เมฆเทาเริ่มซ่านสลาย เหลือแค่เชือกมัดเซียนส่องประกายเจ็ดสีกลางนภา
ผ่านไปครู่หนึ่งเชือกมัดเซียนลอยกลับมา หลังจากตกลงกลางฝ่ามือจี้หยวน แสงสมบัติซ่อนเร้นโดยสมบูรณ์
“ยินดีกับสหายยุทธ์ทั้งห้าที่หลอมยอดสมบัติสำเร็จ!”
“ยินดีกับทุกท่านที่ออกด่าน!”
“ยินดีด้วยๆ”
“ยินดีกับทั้งห้าท่านที่หลอมสมบัติสำเร็จ!”
“สวรรค์ประทานลักษณ์มงคล ยินดีกับทุกท่านด้วย!”
“ยินดีด้วยท่านจี้!”
…
แน่นอนว่าพวกจี้หยวนรีบหันกลับมาขอบคุณ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ให้ยืมสถานที่เหมาะสมอย่างยอดเขาเซียนมาเยือนของพวกเขามาก็ถือว่าแสดงน้ำใจมากแล้ว อีกอย่างพวกเขายังอาศัยพลังค่ายกลเขาเก้ายอดไม่น้อยด้วย
เทียบกับคนธรรมดาแล้วผู้ฝึกเซียนถือว่าใจสะอาดปราศจากกิเลส แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้การแสดงความยินดีเป็นเรื่องยากปฏิเสธ แค่ผู้ร่วมยินดีกลับไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนทุกคนในที่นั้น ใช่ว่าเป็นเพราะเรื่องคุณสมบัติ อาศัยอยู่เขาเก้ายอดมาหกปี ทุกคนต่างรอภาพเมื่อครู่ แค่ผ่านตาหลายคนก็เห็นว่านั่นคือสมบัติวิเศษคล้ายเชือก ต่อให้มองไม่ชัดก็ฟังสหายยุทธ์คนอื่นพูด ปัจจุบันสมปรารถนาย่อมแยกย้ายกลับเขา ส่วนประโยชน์ของสมบัติวิเศษย่อมพอคาดเดาออก ไม่มีใครบากหน้าไปถามผู้สูงส่ง
สามวันต่อมา บนยอดเขามรรคสวรรค์ จี้หยวนกับอีกสี่คนซึ่งร่วมกันหลอมสมบัติยืนอยู่บนแท่นเสวนามรรค
“เพื่อช่วยข้าคนแซ่จี้หลอมสมบัติ ทำให้ทุกท่านพลาดงานชุมนุมเซียนพเนจร การช่วยเหลือครั้งนี้ข้าคนแซ่จี้ยากตอบแทน!”
ขอทานชรายิ้มพลางส่ายหัว
“หึๆ ไม่หรอก! พวกเราไม่ได้พลาดงานชุมนุมเซียนพเนจร กลับกลายเป็นว่างานชุมนุมนี้มีสีสันเป็นพิเศษ!”
“ไม่ผิด! งานชุมนุมเซียนพเนจรทั้งหมดที่ข้าคนแซ่จู้เข้าร่วม ขอยกให้ครั้งนี้เป็นที่สุด!”
“ข้าคนแซ่จูก็เช่นกัน!”
มังกรเฒ่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง การมาที่นี่ถือว่าเปิดประสบการณ์ แต่เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าวเสริม
“ท่านจี้ เดิมท่านกับข้าเป็นสหาย ช่วยกันเป็นเรื่องสมควร ท่านไม่ต้องพูดว่ายากตอบแทนหรอก ท่านมีสิ่งตอบแทนแน่… การเสวนามรรคหลอมสมบัติครั้งนี้ ท่านบอกว่าจะเขียนตำราไม่ใช่หรือ”
มังกรเฒ่าส่งสายตาบอกทุกคนโดยรอบ ขณะเดียวกันยังสื่อจิตบอกพวกเขา ทำให้พวกเขารู้เรื่องจี้หยวนเขียนตำราสวรรค์ ‘วิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน’ ฟ้าดินไม่อาจอภัยจนเกิดเคราะห์ มังกรเฒ่ายังจำได้
“ใช่ๆ ถ้าท่านจี้เขียนตำรา วันหน้าพวกเราขออ่านสักหน่อย!”
“ไม่ผิด! เรื่องการสรุปตำรา ท่านจี้จัดการย่อมดียิ่ง พวกท่านยังไม่เคยเห็นตัวอักษรของท่านจี้ นั่นเทียบเท่าอักษรมรรคแล้ว หากไม่ใช่อักษรนั้นคงเขียนตำรานั่นไม่ได้!”
“อืม ถ้าอย่างนั้นย่อมดียิ่ง!”
ค่าตอบแทนด้วยข้อเรียกร้องเช่นนี้ แม้ว่าสำหรับผู้ฝึกเซียนถือว่าสำคัญ แต่สำหรับจี้หยวนกลับเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่
“ได้ ข้าคนแซ่จี้ย่อมทุ่มเทเขียนตำราเต็มกำลัง ไม่ต้องใช้คำว่ายืมอ่าน ข้าคนแซ่จี้วางตำรานี้ไว้ตรงสถานที่ฝึกปราณบางแห่ง บรรดาศิษย์ประจำสำนักหรือคนรุ่นหลังของท่านทั้งสี่ หากมีผู้เหมาะสมล้วนมาอ่านได้ คำพูดนี้หมื่นปีชั่วกาลไม่แปรเปลี่ยน!”
“ดี!”
“ตกลงตามนั้น!”
“เช่นนั้นย่อมดียิ่ง!”
“ฮ่าๆๆๆ ยอดเยี่ยม!”
……….
Comments