เซียนหมากข้ามมิติ 515 จิตคือแก่นวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง
ตอนที่ 515 จิตคือแก่นวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง
……….
ท่องยอดเขามรรคสวรรค์ ดูสถานที่จัดงานชุมนุมเซียนพเนจรครั้งนี้ พวกจี้หยวนแย้มยิ้มอย่างอิสระ ถือว่าเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจรครั้งนี้แล้ว ได้ยินว่างานชุมนุมเซียนพเนจรครานี้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคลื่นลมใหญ่อะไร อย่างน้อยไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย ยามสำนักเซียนบางส่วนจากไปยังบอกลาสหายยุทธ์ใกล้เคียงทุกท่านอย่างกลมเกลียว ถือว่าปรองดองมากแล้ว
ทั้งห้าคนไม่รีบร้อนจากไป หากแต่นั่งบนแท่นถกมรรค อธิบายสิ่งที่ได้จากการถกมรรคยามหลอมสมบัติก่อนหน้านี้อีกครั้ง ช่วยทำให้ตำราสวรรค์สมบูรณ์และครบถ้วนยามจี้หยวนเขียนตำราในภายหน้า
พูดได้ว่าผลจากการถกมรรคครั้งนี้จะเป็นตำราสวรรค์แท้จริงเล่มหนึ่ง บันทึกอักษรทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ด้วยใจความของสมบัติที่หลอม เดิมเหมือนเบิกฟ้าผ่าดิน พูดตามตรงว่าใครเขียนย่อมกดดันมาก จี้หยวนรับผิดชอบเรื่องนี้ คนอื่นย่อมยินดี
หลังจากจัดการเรื่องตำราสวรรค์หลอมสมบัติเสร็จ ผ่านไปอีกหลายวันทั้งห้าคนค่อยออกจากแท่นถกมรรคมาพร้อมกัน หลังจากพูดคุยกับคนจากเขาเก้ายอดจบ พวกเขาเหาะเหินไปทางใต้
สองวันต่อมา เมฆขาวกลุ่มหนึ่งลอยผ่านฟ้ามาจากทางเหนือของเขาลาดชัน ผู้ยืนบนเมฆคือพวกจี้หยวนกับขอทานชรา
พวกเขาทอดมองเขาลาดชัน โดยเฉพาะภูเขาซึ่งเดิมผนึกปีศาจจิ้งจอก เขาสยบจิ้งจอกสูงตระหง่านยังอยู่ตรงส่วนลึกหมู่เขา แต่จากมุมมองของผู้สำแดงวิชาอย่างขอทานชรา ผนึกของเขาถูกทำลายแล้ว
ต่อให้ผ่านมาหกปี แต่ร่องรอยการต่อสู้กลางป่ากลับไม่อาจมองข้าม ถึงอย่างไรก็มียอดเขาหลายแห่งพังทลายทรุดถล่ม น้ำป่าซึ่งก่อตัวจากวิชาปีศาจกลายเป็นลักษณะภูมิประเทศถาวร กัดเซาะจนเป็นร่องแม่น้ำหลายสายตัดผ่านเขาลาดชัน
เมฆขาวโรยตัวลงบนสันเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามเขาสยบจิ้งจอก ขอทานชรามองโดยรอบก่อนถอนใจกล่าว
“เฮ้อ สุดท้ายก็ปล่อยเจ้าปีศาจนั่นหนีไปจนได้!”
เห็นชัดว่าศูนย์กลางล่างเขาสยบจิ้งจอกตอนนี้มีร่องหินกว้างประมาณหนึ่งจั้งเพิ่มมา ภายในกลายเป็นสายธารทมิฬแล้ว เชื่อมต่อกับทางน้ำใต้ดินใหม่ของเขาลาดชัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ต่อให้ถูซือเยียนเป็นแค่จิ้งจอกธรรมดาก็หนีพ้น
จี้หยวนกวาดมองโดยรอบ ก่อนมาเขาคิดว่าจอมพลังเกราะทองที่ทิ้งไว้อาจถูกทำลายไปแล้ว ตัวเขายังปวดใจอยู่เลือนราง ถึงอย่างไรก็เป็นยันต์จอมพลังเพียงหนึ่งเดียวที่ผ่านการชำระล้างจากอสนีเคราะห์มรรคสวรรค์ ตอนนี้กลับรู้สึกว่าจอมพลังยังอยู่
ดังนั้นจี้หยวนเลยเอ่ยกล่าวเบาๆ
“จอมพลังอยู่หรือไม่”
ยามเพิ่งสิ้นเสียงข้างเขาสยบจิ้งจอกมีเสียงดังครืด ด้านข้างภูเขามีดินทรายร่วงหล่น ทั้งมีดอกไม้ใบหญ้าบางส่วนร่วงตามดินทรายลงมาสู่พื้น
เงาร่างหนึ่งเดินออกมาทีละก้าว จากนั้นค่อยขยับตัว ดินทรายบนตัวหลุดล่อน เผยชุดเกราะเหลืองทองกับใบหน้าแดงก่ำ
เมื่อครู่จอมพลังเกราะทองแทบไม่มีกลิ่นอาย แน่นิ่งไม่ไหวติงหลอมรวมกับภูเขา ตอนนี้เพิ่งเผยแสงวิญญาณบนตัวอีกครั้ง
จอมพลังเกราะทองเดินมาล่างสันเขาซึ่งพวกจี้หยวนอยู่ทีละก้าว เงยหน้าคารวะจี้หยวน
“นายท่าน! ข้า…”
หลังจากกล่าวเหมือนไม่จบประโยค จอมพลังเกราะทองก้มหน้า รักษาท่าทางคารวะไม่ขยับ
จี้หยวนได้ยินแล้วใจกระตุก เดิมเขาคิดว่าจะได้ยินแค่คำว่า ‘นายท่าน’ แต่กลับได้ยินคำว่า ‘ข้า’ เพิ่มขึ้นมาด้วย ทั้งจากการรับรู้ผ่านเสียง ชัดเจนว่าฟังความรู้สึกแฝงเสี้ยวหนึ่งภายในนั้นออก
จอมพลังเกราะทองนี้ไม่ถูกทำลาย จี้หยวนดีใจมาก ทั้งเหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่าง แต่ตอนนี้ต้องทราบรายละเอียดเรื่องการหลบหนีของถูซือเยียน ดูว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมาช่วยเองหรือไม่ แน่นอนว่าดูจากร่องรอยการต่อสู้นี้ ความเป็นไปได้ว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมาเองคงไม่มาก หรือกล่าวว่าอาจมาพร้อมน้องเล็ก ส่วนตนมองอยู่ด้านข้างไม่ลงมือ
“เรื่องปีศาจหนีรอดข้าทราบแล้ว ข้าขอถามเจ้า หกปีก่อนผู้มาช่วยปีศาจเป็นใคร”
คราวนี้จอมพลังเกราะทองค่อยเก็บมือ ยืนปล่อยแขน เงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบ
“ผู้มาช่วยคือสิบปีศาจสี่มาร งู ตัวนิ่ม จิ้งจอก ลิง มารมนุษย์… ต่อสู้กับพวกเขากลางป่าข้ามวันข้ามคืน สังหารพวกเขาสอง บาดเจ็บสาม ภูเขาถล่ม ปีศาจหลบหนี ภายหลังมารปีศาจล่าถอย…”
จอมพลังเกราะทองกล่าวเรียบง่ายยิ่ง ตอนนี้กลับไม่มีคลื่นความรู้สึกอะไร แต่อย่างน้อยก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน จี้หยวนฟังแล้วนัยน์ตาสีเทาส่องประกายขึ้นมา
เยี่ยม จอมพลังเกราะทองตนนี้ร้ายกาจกว่าที่คิด ถึงกับต้านมารปีศาจมากเช่นนี้ได้ ทั้งยังสังหารพวกเขาสองบาดเจ็บสาม สุดท้ายตัวเองไม่ถูกทำร้ายจนคืนสภาพเดิมไม่ได้ จากมุมมองจี้หยวนถือว่าเป็นผลงานการต่อสู้ยอดเยี่ยมแล้ว
อย่าว่าแต่จี้หยวนเลย แม้แต่จูหยวนจื่อกับจู้ทิงเทายังตรวจสอบจอมพลังเกราะทองอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ดุดันยิ่งนัก มรรควิถีคงไม่ตื้นเขินกระมัง
ต้องรู้ว่าฟังจากคำอธิบายของเขา มารปีศาจพวกนี้ถือว่าไม่ธรรมดา ทุกตนแปลงกายได้ไม่พอ ยังเรียกลมเรียกฝนแบ่งหน้าที่เปี่ยมสติปัญญา ถึงขั้นคุมวารีเปลี่ยนลักษณะภูมิประเทศถาวรด้วย
เห็นชัดว่าแววตาที่มังกรเฒ่ากับขอทานชรามองจอมพลังเกราะทองต่างกัน คนหนึ่งตกตะลึง คนหนึ่งดวงตาแข็งทื่อ
“ท่านจี้ ท่านมีผู้คุ้มกันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น ใบหน้าแดงไม่เหมือนเผ่าปีศาจ แต่กลับไม่มีปราณมนุษย์ หรือว่าเป็นวิญญาณเทพ”
จูหยวนจื่อยังใช้วาจาสุภาพกับจี้หยวน เอ่ยถามว่าจอมพลังเกราะทองเป็นใครด้วยความสงสัย ถึงอย่างไรเมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็น ทั้งดูท่าว่าคนผู้นี้คงไม่ธรรมดา
ขอทานชรามองจูหยวนจื่อเล็กน้อย แม้ว่าสีหน้าจูหยวนจื่อกับจู้ทิงเทาเผยแววฉงนแต่ยังถือว่าปกติ มีแค่มังกรเฒ่ากับเขาสีหน้าตกใจเหมือนกัน ขอทานชราคิดว่าด้วยมิตรภาพของมังกรเฒ่ากับจี้หยวน อีกฝ่ายเองน่าจะรู้จัก ‘ยันต์จอมพลัง’
มังกรเฒ่ารู้จักยันต์จอมพลังจริงๆ แต่ไม่ได้ทราบจากจี้หยวน ตอนนั้นรู้จากปากของบุตรชายตน ส่วนบุตรมังกรอิงเฟิงทราบจากหนึ่งใน ‘เพื่อนกินเพื่อนเที่ยว’ มังกรเจียวเกาเทียนหมิงแห่งทะเลสาบวารีนภา ด้วยปีนั้นยามบุกเข้าเมืองผีพร้อมกัน เกาเทียนหมิงเคยได้ยินเจ้าวัวกับเยี่ยนเฟยพูดถึงจอมพลังเกราะทอง
ความเกี่ยวข้องนี้พูดไปพูดมาแล้วเรื่องยาว สรุปคือฟังข่าวลือมา เทียบกับยันต์จอมพลัง ก่อนหน้านี้มังกรเฒ่าสนใจเพลิงสมาธิของจี้หยวนมากกว่า ครั้งนี้เห็นเพลิงสมาธิสมปรารถนา อานุภาพยากหยั่งถึงดังคาด เกินจริงกว่าที่คิดอยู่บ้าง
แต่คิดไม่ถึงว่ายันต์จอมพลังซึ่งถูกมองข้ามมาตลอด สิ่งที่เดิมคิดว่าเป็นแค่ยันต์หุ่นเชิดทั่วไปถึงกับร้ายกาจเช่นนี้!
ยามความคิดมังกรเฒ่าแล่นปราดหวนนึกถึงความทรงจำก่อนหน้านี้ ขอทานชราหัวเราะอยู่ด้านข้าง ไม่รอจี้หยวนเอ่ยปาก เขากล่าวตอบจูหยวนจื่อก่อน
“สหายยุทธ์จู ผู้คุ้มกันผู้นี้ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด! อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทั้งหมด ขุนพลเทพเกราะทองผู้นี้คือยันต์แผ่นหนึ่ง”
“ยันต์วิญญาณหรือ”
จู้ทิงเทาที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างแปลกใจ ใช้ตาทิพย์สำรวจมองจอมพลังเกราะทองโดยละเอียด
“ไม่สิ ไม่ใช่หุ่นเชิด ทั้งไม่ได้วิวัฒน์จากพลังธรรมดา แม้ว่ามีแสงวิญญาณขวางกั้น แต่เขาน่าจะมีกายเนื้อหรือกายหยาบ ท่านจี้ นี่คือยันต์วิญญาณจริงหรือ”
เมื่อลงท้ายครึ่งประโยคอย่างสงสัย จู้ทิงเทาหันมามองจี้หยวน
อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยก่อนส่ายหัว
“บอกว่าเป็นวิชายันต์คงไม่ใช่ทั้งหมด นับว่าเป็น… อืม วิชาอัศจรรย์อีกอย่างกระมัง!”
บรรดาวิชาอภินิหารสิ่งที่เรียกว่าวิชาอัศจรรย์ถือว่าไม่ธรรมดา มักหายากหรือเรียนรู้ยาก แค่อย่างเดียวก็ถือว่าพลิกฟ้าแล้ว มีโอกาสสูงว่าเข้าข่ายทั้งสองอย่าง จี้หยวนคิดว่าวิชาจอมพลังมีคุณสมบัตินั้น
“เรื่องนี้อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน ข้าขอยืนยันเรื่องหนึ่งก่อน”
ด้านหนึ่งจี้หยวนตอบคำถามของจู้ทิงเทา ด้านหนึ่งสนใจจอมพลังเกราะทองตรงหน้ายิ่งกว่า เขาโรยตัวลงจากสันเขาช้าๆ ลอยมาอยู่ตรงหน้าจอมพลังเกราะทองเหมือนใบหลิว
ต่อให้ตอนนี้จอมพลังไม่ได้ใช้อภินิหาร แต่ยังร่างกำยำกว่าจี้หยวนมาก กระทั่งจี้หยวนยังต้องเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย
จี้หยวนสำรวจมองจอมพลังเกราะทองโดยละเอียด มองจากภายนอกจอมพลังยังเหมือนเดิม แม้ว่าก่อนหน้านี้เสียพลังต่อสู้กับมารปีศาจไม่น้อย แต่ดูดซับวิญญาณปฐพีเสริมพลังกลับมานานแล้ว ต่อให้การแสดงออกและแววตาล้วนไม่เปลี่ยนแปลง แต่จี้หยวนสนใจคำว่า ‘ข้า’ ซึ่งจอมพลังพูดออกมาตอนแรกมาก
จอมพลังเกราะทองยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนรูปปั้น แต่จี้หยวนรู้ว่าจอมพลังกำลังสนใจเขา
“ข้าสั่งเจ้าว่าปกป้องภูเขาเฝ้าปีศาจ แต่ปีศาจกลับหนีรอด เจ้ามีความรู้สึกอย่างไร”
คำว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อก่อนจี้หยวนไม่มีทางถามจอมพลังเกราะทอง ด้วยถามไปเท่ากับเสียเปล่า นอกจากพฤติกรรม ตรรกะ และการตัดสินใจฝังลึกจากวิชาแล้ว พวกเขาไม่มีความรู้สึกส่วนตัว
แต่ครั้งนี้จี้หยวนถามเช่นนี้ จอมพลังเกราะทองกลับเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเอ่ยปาก
“นายท่าน…”
คล้ายพิจารณาเนิ่นนานกว่าจะเจอคำพูดเหมาะสม จอมพลังเกราะทองเอ่ยปากอีกครั้ง
“ข้าบกพร่องต่อหน้าที่… ข้า… รู้สึก… ละอาย!”
คำว่าบกพร่องต่อหน้าที่ เดิมจอมพลังเกราะทองก็พูดได้ แต่คำว่าละอายกลับไม่มีทาง นี่คือการแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่ง
“หึๆๆ… ไม่เลว แม้ว่าเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่จนทำให้ปีศาจหนีไป แต่กลับค้นพบอีกสิ่งหนึ่ง”
จอมพลังเกราะทองไร้ความรู้สึก แต่จี้หยวนสัมผัสได้ว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา ก่อนยิ้มพลางมองเขา
“อยากรู้ว่าคืออะไรหรือไม่”
จอมพลังเกราะทองยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่จี้หยวนกลับกล่าวต่อเอง
“นั่นคือใจของเจ้า!”
จอมพลังเกราะทองเอ่ยปากอีกครั้ง ก้มมองอกข้างซ้ายของตน เขารู้ว่ามนุษย์กับปีศาจหลังจากแปลงกายมีหัวใจอยู่ตรงนั้น ถือเป็นที่พักพลังจิต ห้าธาตุก่อเกิด คุมกายเนื้อปราณดั้งเดิม สิ้นกายเนื้อดับพลังจิต ต้องทลายห้องใจโจมตีจวนม่วง จากนั้น…
“คำว่าใจนี้ต่างจากสิ่งที่เจ้าเข้าใจ”
คล้ายรู้ว่าจอมพลังเกราะทองเข้าใจอย่างไร ก่อนที่เขาจะเดินผิดทางจี้หยวนชี้แนะอีกครั้ง
“คำว่าใจนี้ อืม พูดแบบนี้แล้วกัน จิตคือแก่นวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง เจ้าแค่ค้นพบมัน แต่ยังต้องตามหามันด้วยตนเอง”
พวกจูหยวนจื่อลงมาจากสันเขาแล้ว มองเหตุการณ์นี้อย่างเงียบเชียบอยู่ห่างไปไม่ไกล เมื่อได้ยินจี้หยวนพูดคำว่า ‘ใจ’ พวกเขาดวงตาวาววาบอย่างอดไม่ได้ ตำราฝึกเซียนมากมายล้วนอธิบายว่าสงบจิตวิญญาณแน่วนิ่งชำระล้างกิเลสภายในใจ เห็นชัดว่าคำพูดของจี้หยวนไม่สอดคล้องกับแนวคิดหลัก
“ตามหา… ใจ?”
“อืม เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ!”
จี้หยวนพยักหน้าพลางสะบัดมือ จอมพลังเกราะทองร่างกำยำตรงหน้ากลายเป็นคนกระดาษยันต์เหลืองแผ่นบางท่ามกลางแสงเหลือบทอง กลับมาสู่มือจี้หยวน
คราวนี้จูหยวนจื่อกับจู้ทิงเทาต่างเบิกตากว้าง แม่งเป็นยันต์จริงด้วย แต่เมื่อครู่จี้หยวนกำลังพูดเรื่องใจกับยันต์แผ่นนี้!
……….
Comments