เซียนหมากข้ามมิติ 521 อักษรทองแปรตำรา รูปจำลองพินิจตน
ตอนที่ 521 อักษรทองแปรตำรา รูปจำลองพินิจตน
……….
“เร็วหน่อยๆ เตรียมชามไม้ไว้”
คนถือกระบวยคืออาเจ๋อ เพื่อนร่วมทางคนอื่นพากันยื่นชามไม้มา โดยมีอาเจ๋อตักข้าวต้มเห็ดให้พวกเขา ทั้งเห็ดยังมีไม่น้อย ชามทุกคนต่างถูกตักจนเต็ม
มื้อนี้คือมื้อที่พวกเขากินสบายที่สุดตั้งแต่เข้าป่ามา ความจริงพวกเขาไม่ได้กินอิ่มนานแล้ว ต่อให้หาผักป่าผลไม้ป่าไม่หยุด ยืนหยัดมาถึงตรงนี้ถือว่าโชคดีมากแล้ว
สุดท้ายข้าวตุ๋นเห็ดหม้อใหญ่ถูกพวกเขาห้าคนกินเกลี้ยง แม้แต่เศษรำยังไม่เหลือสักนิด
หลังจากกินอิ่มทั้งห้าคนนั่งติดกันอยู่ข้างกองไฟ พิงผนังหินเขาประหลาดมองฟ้าคราม ต่อให้รู้ว่าสภาพอากาศเช่นนี้เหมาะแก่การเร่งเดินทาง แต่กลับไม่มีใครลุกขึ้น เพลิดเพลินกับความรู้สึกผ่อนคลายจากการนั่งนิ่งหลังกินอิ่ม
“พี่อาเจ๋อ ท่านบอกว่าบนฟ้ามีเทพเซียนจริงหรือ”
“ท่านปู่ข้าบอกว่ามี เขาไม่เคยโกหกข้า!”
“แต่… ท่านปู่จวงพูดตลอดว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เหตุใดหมู่บ้านพวกเราถึงประสบเคราะห์ คนเลวพวกนั้นกลับไม่เป็นไร หากมีเซียนมีวิญญาณเทพเหตุใดไม่ลงโทษพวกเขา”
อาเจ๋อมองท้องฟ้าไม่ได้โกรธ เงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบ
“ท่านปู่ข้าเคยบอกว่ายามมีชีวิตหากกรรมดีกรรมชั่วยังไม่สนอง หลังตายย่อมสนองแน่”
ทุกคนต่างมองฟ้าอย่างเหม่อลอย มีเพื่อนร่วมทางกล่าวกะทันหัน
“เมื่อก่อนท่านปู่จวงเล่าให้พวกเราฟัง บอกว่าคนหากินกับผืนดินอย่างพวกเรา ยากจินตนาการถึงการใช้ชีวิตของชนชั้นสูง พวกเจ้าว่าเทพเซียนใช้ชีวิตอย่างไร มีคนบอกว่าเทพเซียนไม่ต้องกินอาหาร เหตุใดยังต้องไปไหว้ข้าวปลาอาหารในอารามเล่า”
เห็นชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่อาจแยกแยะเซียนกับวิญญาณเทพ หรือกล่าวว่าความจริงหลายคนต่างคิดเช่นนี้
อาเจ๋อมองอาหลงที่อยู่ด้านข้างก่อนกล่าวหยอกล้อ
“แม้แต่การใช้ชีวิตของชนชั้นสูงเจ้ายังนึกไม่ออก นับประสาอะไรกับเทพเซียน ถึงอย่างไรก็ย่อมร้ายกาจแน่!”
“ใครบอกเล่า การใช้ชีวิตของชนชั้นสูงข้ารู้อยู่บ้าง กระทะบ้านข้าซ่อมมาเจ็ดแปดรอบ ยามท่านแม่ข้าทำอาหารมักชอบบ่น บอกว่าหากเป็นภรรยาคนมีเงินทำอาหารคงซ่อมแค่รอบเดียว หรืออาจเปลี่ยนใหม่โดยไม่ลังเลแล้ว!”
เด็กอายุน้อยที่สุดหัวเราะฮ่าๆๆๆ
“พี่อาหลง เมื่อก่อนท่านปู่จวงบอกว่าภรรยาคนมีเงินล้วนไม่เข้าครัว!”
อาหลงอึ้งงันครู่หนึ่ง
“หา? ไม่เข้าครัว? ถ้าอย่างนั้นไม่หิวตายหรือ”
“อาหลงคนโง่ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเมื่อก่อนท่านอาเฉียวทำอะไร เขาทำงานระยะยาวอยู่เรือนผู้สูงศักดิ์ภายในเมืองใหญ่ กวาดพื้นทำความสะอาด คนมีเงินย่อมจ้างคนอื่นมาเป็นพ่อครัว!”
“อ้อ คิดแล้วจริงดังว่า แหะๆๆๆ…”
“ฮ่าๆๆๆ…”
ทุกคนหัวเราะเบิกบานพักหนึ่ง ไม่นานค่อยเงียบลง ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน ความรู้สึกหดหู่และโศกเศร้าภายหลังยิ่งเด่นชัด
“พวกเจ้าอ้อมผ่านเขาค้ำฟ้าไปตูหยางเถอะ ที่นั่นน่าจะสงบ มีมือมีเท้าย่อมมีข้าวกิน”
เขาค้ำฟ้าคือภูเขาอันดับหนึ่งแห่งภาคกลาง ได้ยินว่าเป็นภูเขาอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า เทือกเขาครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ ภายในนั้นมีเขาสูงป่าลึกและเมฆหมอกห้อมล้อมนานปี ใหญ่แค่ไหนไม่มีคำตอบเป็นหนึ่งเดียว รู้แค่มีคนสำรวจชัดเจนน้อยมาก หรือกล่าวว่าไม่มีใครสำรวจชัดเจนมาก่อน ทั้งมีตำนานเซียนมากมายแพร่สะพัด
เขาค้ำฟ้าอันตรายด้วยเป็นปราการธรรมชาติยากก้าวล่วง แต่หากลัดเลาะผ่านด้านข้าง ไม่นานจะไปถึงตูหยางแดนเจริญรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรตงเซิ่ง เปรียบเทียบกับทางหลวงทั่วไปแล้วเร็วกว่ามาก ทางแรกตัดผ่านได้แต่นายพรานยังไม่ยินดีเข้าป่าเขาค้ำฟ้าลึกเกินไป
“เจ้าเล่า”
ได้ยินคำถามของเพื่อนร่วมทาง อาเจ๋อกล่าวตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“แน่นอนว่าข้าต้องไปหาเซียน ถ้าข้าเจอเซียนจะขอร้องเซียนช่วยชีวิตคนในหมู่บ้าน จากนั้นค่อยมาหาพวกเจ้า”
“ถ้าไม่เจอเทพเซียนเล่า”
“อาเจ๋อ อย่าหวังเรื่องเซียนเลย คนขึ้นเขาค้ำฟ้าตามหาเซียนไม่เคยสำเร็จ หลายคนถึงขั้นไม่ออกมาอีก พวกเราเดินในป่ามานานขนาดนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเราหาไม่เจอ”
“ท่านฉางตงยังเคยทำสำเร็จ เขาขึ้นเขาค้ำฟ้าตัวคนเดียว มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกไม่หันกลับ ทุกคนต่างคิดว่าเขาตายแล้ว แต่หลายปีต่อมามีคนเห็นเขาที่บ้านเกิด สวมชุดเซียนกลับมา ทำให้เพื่อนบ้านซึ่งเคยช่วยเขาปีนั้นร่ำรวยขึ้นมา! เรื่องนั้นทุกคนล้วนเคยได้ยิน!”
จิ้นฉางตงคนตูหยางตามหาเซียนเป็นนิทานพื้นบ้านซึ่งแพร่หลายภายในอาณาจักรตงเซิ่ง ผู้คนต่างเรียกเขาว่าท่านฉางตง ตูหยางยังมีศาลท่านฉางตงด้วย ถือเป็นเรื่องเทพเซียนซึ่งมีร่องรอย ใช้เรียกขวัญผู้คนว่าทำอะไรควรมานะบากบั่นโดยแพร่หลาย แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้หลายคนลองขึ้นเขาค้ำฟ้าหรือภูเขาอื่นเพื่อตามหาเซียน
ได้ยินอาเจ๋อพูดเช่นนี้ อาหลงที่อยู่ด้านข้างกล่าวคัดค้าน
“แต่เจ้าไม่ใช่ท่านฉางตง! เล่าลือว่าท่านฉางตงเกิดมาพร้อมหยก แค่อ่านผ่านตาย่อมจำไม่ลืมตั้งแต่เกิด เรียนอะไรล้วนใช้เวลาแค่รอบเดียว ทุกคนต่างบอกว่าเขาเป็นเทพเซียนโดยกำเนิด เดิมไม่ใช่คนบนโลก! อาเจ๋อ พวกเราไปตูหยางด้วยกันเถอะ”
อาเจ๋อสั่นศีรษะ
“ท่านปู่บอกว่าท่านฉางตงตามหาเซียนเป็นจริงหรือไม่ยังไม่พูดถึง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเทพเซียนมีหยกติดตัวแต่กำเนิด ภายหลังคนตูหยางปรับแต่งเรื่องกันเอง หากมีความคิดแน่วแน่ ทุกคนต่างไม่ด้อยกว่าท่านฉางตง!”
อาหลงร้อนรนอยู่บ้างแล้ว
“เจ้าดูใบหน้าเจ้า เจ้าดูมือเท้าเจ้า บาดแผลทั้งนั้น! ในป่ายังมีสัตว์ร้ายแมลงพิษ เจ้าไม่เจอเซียนย่อมตายแน่!”
“ไม่มีทาง ข้าจะหาแดนเซียนกับเทพเซียนจนเจอ เมื่อสามเดือนก่อนพวกเราล้วนเห็นแสงเซียนแดนสวรรค์บนเขาค้ำฟ้า พวกเราเห็นกันหมด!”
ด้วยเคยเห็นแสงเซียนมาก่อน เด็กหนุ่มกับเด็กน้อยที่รอดพ้นภัยสงครามพวกนี้จึงคิดเข้าป่า ทั้งหลบภัยและคิดตามหาเซียน
แต่สามเดือนนี้ทำลายจินตนาการทุกคน มีแค่อาเจ๋อยังคิดเช่นนี้เสมอ ดังนั้นเมื่อได้ยินอาเจ๋อพูดเช่นนี้ อาหลงลุกขึ้นมาทันที
“ใช่ พวกเราเห็นหมด แต่แล้วอย่างไร บางทีอาจแค่มองผิด เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เข้าป่าคนเดียว ไม่มีใครเปลี่ยนเวรเฝ้ายาม เจ้าไม่หลับเลยได้หรือ”
“ท่านปู่ข้าบอกว่า…”
“ท่านปู่จวงตายแล้ว!”
“เจ้า!”
อาเจ๋อเดือดดาลทันที ลุกขึ้นมาคว้าตัวอาหลง
อาหลงโกรธมากเช่นกัน ชกต่อยกับอาเจ๋อพัลวัน
“เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ๆ ถ้าท่านปู่จวงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมขวางเจ้าแน่!”
“เขาย่อมฟื้นแน่ๆ รอข้าเจอท่านเซียน เขาย่อมฟื้นแน่!”
“อย่าสู้กัน อย่าสู้กัน!”
“อย่าสู้กันเลย ฮือๆๆ…”
…
ผ่านไปครึ่งวัน ทั้งห้าคนออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ไม่เข้าส่วนลึกของเขาค้ำฟ้าอีก เปลี่ยนทางไปตูหยาง
พูดแล้วก็แปลก เดิมเข้าสู่ป่าลึก ทั้งเดินเข้าป่าเขา ยิ่งเดินอากาศยิ่งเลวร้าย ไม่ลมพัดฝนตกก็ฟ้าผ่าฟ้าแลบ ทั้งหนาวทั้งชื้น ซ้ำมีพุ่มหนามขวางทางสัตว์ป่ากบดาน แต่เมื่อเปลี่ยนทิศทาง ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนเป็นราบรื่นขึ้นมา เส้นทางเหมือนเดินสะดวก ทั้งเจอลำธารน้ำแร่ภูเขาตลอด แม้แต่อากาศส่วนใหญ่ยังแจ่มใส แน่นอนว่าย่อมวิเคราะห์ทางง่ายขึ้น
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งเดือน ในที่สุดพวกเขาห้าคนก็มาถึงชายแดนตะวันออกของเขาค้ำฟ้า
แต่ตื่นเต้นชั่วขณะแล้วไม่มีใครโห่ร้องยินดี อาเจ๋อแบกเชือกป่านของตน หันหลังเข้าป่าอีกครั้งอย่างเด็ดเดี่ยว พวกพ้องอีกสี่คนแค่มองเงาหลังเขาจากไปอย่างเหม่อลอย
การโน้มน้าว ด่าทอ ร้องไห้ ถึงขั้นชกต่อยล้วนผ่านไปหมดแล้ว ใครต่างก็รู้ว่าอาเจ๋อไม่มีทางเปลี่ยนใจ
…
เวลาบนเขาเก้ายอดเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งวันครึ่ง ภายในสวนหมอกเมฆตอนนี้ดูเหมือนปกติ ถึงขั้นเปิดประตูห้องรับแขกด้วย แต่ความจริงมีค่ายกลปกคลุม ศิษย์เขาเก้ายอดถูกบอกว่าห้ามเข้าใกล้สวนหมอกเมฆ แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ได้หลอมสมบัติวิเศษ ทั้งไม่มีเจตจำนงเพลิงสมาธิทำให้ทุกคนอยู่บนยอดเขาเซียนมาเยือนไม่ได้ แค่ห้ามเข้าใกล้สวนหมอกเมฆเท่านั้น
การแปรตำราครั้งนี้บนโต๊ะมีเครื่องเขียนครบถ้วน ทั้งมีอักษรจิ๋วร้อยกว่าตัวเปล่งแสงทองเลือนรางรายล้อมรอบตัวจี้หยวน ต่างจากเสียงเอะอะตามปกติ พวกอักษรจิ๋วนั่งเรียงรายเป็นระเบียบและเงียบสงบ รู้จักความเหมาะควรเป็นอย่างยิ่ง
จี้หยวนหลับตาครุ่นคิดเนิ่นนาน ก่อนลืมตาขึ้นชั่วขณะ ถือพู่กันจุ่มหมึกเบาๆ จากนั้นค่อยจรดพู่กันบนกระดาษ
“มายาแบ่งหยินหยาง ความจริงแบ่งห้าธาตุ นั่นคือมรรควิวัฒน์สรรพสิ่งทั่วหล้า…”
เมื่อจี้หยวนเริ่มเขียน อักษรจิ๋วโดยรอบเริ่มตั้งกระบวน ส่องประกายเลือนรางรอบโต๊ะหนังสือ ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของอักษรจิ๋วนับร้อยว่องไวยิ่ง หากมองกระบวนโดยละเอียดจะเห็นว่ารวมตัวเป็นอักษรซึ่งจี้หยวนเขียนพอดี ภายในห้องรับแขกของสวนหมอกเมฆตอนนี้ส่องประกาย ราวกับการเขียนอักษรแต่ละตัวของจี้หยวน ห้วงอากาศโดยรอบจะวิวัฒน์อักษรสีทองคล้ายคลึงแต่ใหญ่กว่าออกมา
สถานการณ์จี้หยวนตอนนี้อัศจรรย์ยิ่ง ด้านหนึ่งทุ่มเทแรงใจกับการเรียบเรียงแปรตำราบนกระดาษ ด้านหนึ่งคล้ายเผยร่างมหึมากลางเขตแดน ยืนบนยอดเขาเซียนมาเยือน มองสวนหมอกเมฆ ทั้งมองตัวเองซึ่งกำลังจรดพู่กันบนกระดาษ
รูปจำลองยักษ์นี้เหมือนมีแค่จี้หยวนสัมผัสได้ ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดส่วนใหญ่ไม่รู้สึกตัว
‘บางทีหลังจากหลอมอาวุธเขียนตำราสวรรค์เสร็จ ครึ่งหลังของวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินคงมีเค้าโครงแล้ว!’
เดิมจี้หยวนคิดว่าสิ่งสำคัญของวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินคือการวิวัฒน์ฟ้าดินส่วนครึ่งแรก แต่ครั้งนี้ผู้หลอมอาวุธห้าคนถกมรรคหยินหยางห้าธาตุ ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ของจี้หยวนอีกครั้ง ขณะเดียวกันการถกมรรคครั้งนี้ยังสอดคล้องกับเจตจำนงฟ้าดิน ทั้งทำความเข้าใจเรื่องความอัศจรรย์ฟ้าดิน ครึ่งหลังของวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่จี้หยวนคิดก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีการหยั่งรู้เกี่ยวกับลำนำมรรค สามารถนำมาหลอมรวมเข้าด้วยกันได้
ด้วยความเกี่ยวพันหลายขั้นตอนนี้ จี้หยวนคาดเดาได้ไม่ยาก ผู้เรียนรู้วิชาอัศจรรย์ฟ้าดินจนสำเร็จอย่างแท้จริง เกรงว่าคงเข้าใจแก่นแท้ของตำราสวรรค์หลอมอาวุธ ถึงอย่างไรก็มาจากรากฐานเดียวกันระดับหนึ่ง คำว่าง่ายย่อมเป็นแค่การเปรียบเปรย หากเรียนรู้จริงแน่นอนว่ายังลำบากมาก
รูปจำลองมายาเหมือนอีกมุมมองกับอีกสภาวะจิตของจี้หยวน มองรอบทิศรับรู้ฟ้าดิน ยามจี้หยวนกำลังจรดพู่กันไม่หยุด รูปจำลองพลันเบื้องล่างค่อนไปทางใต้
นี่คือความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง คล้ายมองเห็นแต่กลับไม่เห็น คล้ายเห็นสภาพอากาศเลวร้ายกลางป่าเขาห่างออกไป แต่กลับสัมผัสถึงความยึดติดเด่นชัด
ยอดเขามรรคสวรรค์บนเขาเก้ายอด นอกจากแท่นมรรคบนยอดเขาแล้ว ต่ำลงมาหน่อยถือเป็นลานมรรคของผู้ฝึกปราณ ตอนนี้เจ้าสำนักเขาเก้ายอดยืนมือไพล่หลังนอกห้องฝึกสงบของตน ทอดมองยอดเขาเซียนมาเยือนซึ่งห่างไกล ดูเหมือนนิ่งสงบ แต่ความคิดวาบผ่านนัยน์ตาไม่หยุด
ยามรูปจำลองจี้หยวนเหลือบมอง เจ้าสำนักเขาเก้ายอดหันไปทางใต้เช่นกัน
……….
Comments