เซียนหมากข้ามมิติ 524 เหลือแค่หนทางกลับ

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 524 เหลือแค่หนทางกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 524 เหลือแค่หนทางกลับ

……….

แม้ว่าอาเจ๋อตื่นแล้ว แม้ว่ากำลังมองภาพภายในห้อง แต่เหมือนห้วงฝันยังไม่หายไป กลายเป็นว่าตกสู่สภาพทับซ้อนระหว่างแดนฝันกับความจริง เมื่ออาเจ๋อเคลื่อนสายตามองห้อง คล้ายเห็นภาพสองอย่าง อย่างหนึ่งคือภาพฉากภายในห้อง อย่างหนึ่งกลับเป็นภาพในหมู่บ้าน

เลือด… ร่างไร้วิญญาณ… ทั้งมีบ้านเรือนติดไฟลุกโชน…

อาเจ๋อขดเข้ามุมเตียงทีละน้อยอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เขาหวนสู่ช่วงวันลนลานหมดหนทางอีกครั้ง ทั้งห้าคนวนเวียนเหมือนวิญญาณเร่ร่อนในหมู่บ้าน กระทั่งคืนวันหนึ่งทางเขาค้ำฟ้ามีแสงเซียนงามตระการส่องประกาย

สุดท้ายอาเจ๋อดึงสติกลับมาช้าๆ ได้สติกลับมาโดยสมบูรณ์ แต่สีหน้ายังเหม่อลอยอยู่บ้าง

“เจ้าตื่นแล้วหรือ ข้าชื่อจิ้นซิ่ว ช่วงนี้มาคอยดูแลเจ้า”

เสียงชัดกระจ่างดังขึ้นตรงประตูห้อง อาเจ๋อหันมาเห็นเด็กสาวงดงามคนหนึ่งยกถาดเข้ามา บนถาดคือโจ๊กอุ่นร้อนชามหนึ่ง ด้านข้างยังมีเครื่องเคียงบางส่วน

ต่อให้อยู่ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อเห็นเด็กสาวงดงามขนาดนี้ อาเจ๋อซึ่งเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มมีความรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง อย่างน้อยก็นั่งตัวตรงตามจิตใต้สำนึก

เด็กสาววางถาดลงข้างเตียง มองอาเจ๋อตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้ว่าถึงแม้มีผู้อาวุโสในสำนักลงมือ แต่จิตวิญญาณอีกฝ่ายเกิดปัญหาใหญ่ตั้งแต่ตอนมาเขาเก้ายอดแล้ว แน่นอนว่าด้วยมรรควิถีของนางย่อมมองไม่ออกโดยสิ้นเชิง

“กินอะไรหน่อยเถอะ”

อาเจ๋อไม่ได้ต่อต้าน ทั้งไม่ฉุนเฉียวส่งเดช หลังจากบิดามารดากับท่านปู่ตายไป บางทีบนโลกนี้อาจไม่มีคนที่ยอมทนต่อความเอาแต่ใจของเขาแล้ว ช่วงสองสามเดือนยามออกตามหาเซียน เขาถูกบีบจนเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่นานแล้ว เขาหันกลับมารับชามโจ๊กอย่างเชื่อฟัง ดมกลิ่นหอมเลือนรางเล็กน้อยก่อนเริ่มกิน

ยามกินอาหารสายตาอาเจ๋อแอบมองเด็กสาวด้านข้างตลอด ฝ่ายหลังกำลังมองเขาเช่นกัน แต่เปิดเผยกว่ามาก

อาเจ๋อรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าจะโตกว่าตนหน่อย ไม่รู้ว่าอายุมากกว่าเท่าไหร่ ยามกำลังคิดเช่นนี้ครู่หนึ่งเขากินโจ๊กหมดแล้ว แม้ว่ายังไม่หายอยาก แต่เขาไม่ได้เรียกร้องว่าอยากกินอีก

หลังจากกินเสร็จอาเจ๋อค่อยพบว่าบาดแผลบนนิ้วมือตนหายไปแล้ว เมื่อมองแขนกับส่วนอื่น ลองลูบหน้ากับแผ่นหลัง บาดแผลบนตัวเหมือนหายไปจนหมด

“แม้ว่าคนตายไม่อาจฟื้นคืน แต่การรักษาลบบาดแผลกลับไม่ยาก”

เด็กสาวยิ้มเล็กน้อย พูดพลางส่งเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งให้อาเจ๋อ

“เปลี่ยนชุดเถอะ ออกไปเดินหน่อย มีประโยชน์ต่อเจ้านัก”

อาเจ๋อเห็นว่าเด็กสาวไม่คิดหลีกหลบ ทั้งคิดว่าเป็นแค่ชุดคลุม เขาเลิกผ้าห่มเปลี่ยนชุดทั้งอย่างนั้น แต่เมื่อเขาเปลี่ยนชุด เด็กสาวกลับออกไปแล้ว

รอเมื่อเปลี่ยนชุดเดินออกมาจากเรือน คราวนี้อาเจ๋อเพิ่งพบว่าเรือนที่ตนพักอยู่บนหน้าผาสูงชัน ทอดมองจากตรงนี้ย่อมเห็นภูเขาใหญ่มากมาย ทั้งเห็นทะเลหมอกตรงเชิงเขา ทำให้ผู้คนจิตใจผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อเดินออกไปรอบนอกแล้วก้มมอง นั่นคือเหวลึกหมื่นจั้ง

“เดินมาข้างนอกขนาดนี้ ไม่กลัวตกลงไปหรือ”

เด็กสาวยืนมองอยู่ข้างกายอาเจ๋อ ไม่เผยความรู้สึกเมื่อครู่ของเด็กหนุ่ม อาเจ๋อเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ต่อให้มีความรู้สึกหดหู่ แต่ยังถูกทิวทัศน์ซึ่งไม่อาจเห็นบนโลกทำให้ตกตะลึง

“พี่สาว ท่านคือเซียนสาวหรือ”

“คิกๆๆๆ… เซียนสาวหรือ คิกๆๆๆ อืมๆ ข้าว่าใช่กระมัง!”

เด็กสาวเหมือนฟังแล้วรู้สึกสนใจและยินดีมาก อาเจ๋อหันกลับมามองนางพลางเอ่ยถาม

“เซียนอย่างพวกท่านเห็นเรื่องของพวกเราคนธรรมดาแล้วรู้สึกว่าไม่สลักสำคัญใช่หรือไม่”

เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนส่ายหัวกล่าว

“แม้ว่าคำถามของเจ้าเรียบง่าย แต่กลับไม่ควรถามข้า เจ้าควรถามเซียน เรื่องนี้ข้าตอบไม่ได้ ข้ารู้แค่ว่าผู้สูงส่งมากมายไม่ได้คิดว่าคนธรรมดาเหมือนวัชพืช แค่มองข้ามเรื่องมากมายเท่านั้น”

“พี่สาวไม่ใช่ผู้สูงส่งหรือ”

เด็กสาวเบิกบานแล้ว ยื่นมือชี้จมูกตัวเองพลางยิ้มกล่าว

“ข้า? ผู้สูงส่ง? ข้านับเป็นผู้สูงส่งอะไรเล่า คุณสมบัติไปร่วมฟังตอนงานชุมนุมเซียนพเนจรยังไม่มี ได้แค่มองจากยอดเขาจรดเมฆอยู่ห่างไกล ข้าจะเป็นผู้สูงส่งได้อย่างไรเล่า!”

“ทุกคนบนแดนสวรรค์ไม่ใช่เซียนหรือ แน่นอนว่าสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราเซียนคือผู้สูงส่ง!”

เด็กสาวโบกมืออย่างต่อเนื่อง

“เจ้าเรียกข้าว่าเซียนสาว ข้ายังยินดีรับ แต่เรียกข้าว่าผู้สูงส่ง โดยเฉพาะบนเขาเก้ายอด ข้าไม่กล้ารับ ผู้สูงส่งอย่างแท้จริงมีอภินิหารเกินคาดเดา ทำเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าคิดได้ ไม่เพียงแต่พลังไร้ขอบเขต สภาวะจิตยังไม่ใช่สิ่งที่พวกเราเอื้อมถึง!”

เด็กสาวเห็นอาเจ๋อทำหน้าไม่เข้าใจ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสริม

“เซียนเจ้าสำนักที่เจอตอนเจ้ามาถึง นั่นคือผู้สูงส่งแท้จริง ผู้อาวุโสมากมายบนเขาก็ใช่ ยังมี… โน่น บนเขาตรงนั้นมีผู้สูงส่งร้ายกาจมากคนหนึ่ง ทั่วเขาเก้ายอดต่างรู้ดี แม้แต่เซียนเจ้าสำนักยังนับถือ มาจากนอกเขาเก้ายอด ไม่มีใครกล้าไปรบกวนเขา”

ทิศทางซึ่งเด็กสาวชี้คือตรงข้ามหน้าผา ยอดเขาเซียนมาเยือนซึ่งเด่นตระหง่านกลางทะเลหมอก

อาเจ๋อมองยอดเขาเซียนมาเยือนอย่างอึ้งงัน ท่ามกลางความเลือนรางเหมือนเห็นยอดเขาแห่งหนึ่งมีเมฆหมอกล้อมรอบ ทั้งมีแสงสีทองปรากฏ

“ผู้สูงส่งคนนั้นกำลังทำอะไร”

“ได้ยินว่ากำลังเขียนตำราสวรรค์ จริงสิ เจ้ารู้หรือไม่ เรื่องนี้อัศจรรย์มาก หลายปีก่อนที่นี่มีการจัดงานชุมนุมมรรคเซียน เซียนทุกแห่งหนล้วนมาที่นี่ ตอนนั้นเซียนร้ายกาจบนเขาตรงข้ามคนนั้น ร่วมมือทำเรื่องใหญ่กับผู้สูงส่งร้ายกาจอีกหลายคน…”

ขณะกล่าวเด็กสาวพลันนึกอะไรได้ ยิ้มมองอาเจ๋ออย่างซุกซน

“อืม ตอนจัดงานชุมนุมมรรคเซียน เจ้ายังไม่เกิด พ่อแม่เจ้าคงยังไม่เกิดอยู่แปดส่วน!”

อาเจ๋ออึ้งงันเล็กน้อย โต้แย้งเซียนสาวคนนี้ประโยคหนึ่งอย่างหายากยิ่ง

“อย่างมากหลายปีก่อนข้าแค่ยังเด็กหน่อย ยังไม่เกิดได้อย่างไร!”

เด็กสาวส่ายหัวเล็กน้อย

“หนึ่งปีบนเขาเก้ายอด โลกชั้นล่างคือสิบปี งานชุมนุมมรรคเซียนสิ้นสุดเมื่อหกปีก่อน บนโลกพวกเจ้าผ่านไปหกสิบปีแล้ว เจ้าว่าเจ้ายังไม่เกิดหรือไม่ เจ้าหลับไปสามวัน โลกชั้นล่างคงผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้อาเจ๋อตกตะลึงมาก ถึงขั้นลืมความโศกเศร้าบางส่วน

“จริงสิ เจ้าเห็นสถานการณ์ตรงหมอกเมฆกลางเขานั้นหรือไม่”

“อืม มีแสงทอง งดงามมาก”

ช่วงเวลาต่อจากนั้น เด็กสาวใช้วิธีการของตนคอยปลอบประโลมอาเจ๋อ ต่อให้วิชาอัศจรรย์ของเซียนน่าเหลือเชื่อแค่ไหน สำหรับบาดแผลทางใจคงได้แต่รอสมานช้าๆ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความเสียหายทางจิตวิญญาณ แต่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านความรู้สึกด้วย ถือเป็นเรื่องซับซ้อนมาก

เวลาล่วงเลยโดยไม่รู้ตัว ไม่นานก็ผ่านไปสองเดือน เขาเก้ายอดดูเหมือนมีแค่ยอดเขาเก้าแห่ง แต่ยอดเขาทุกแห่งใหญ่โตนัก ภายในนั้นมีทิวทัศน์อัศจรรย์งดงาม ภายใต้สถานการณ์เอื้ออำนวยเด็กสาวย่อมพาอาเจ๋อชมทิวทัศน์งามมากมายของจวนเซียน เห็นเด็กหนุ่มคนนี้มีรอยยิ้มบ้าง ถือว่าทำตามหน้าที่ซึ่งรับมอบหมายมาจากผู้อาวุโสสำเร็จแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวสงสัยอยู่บ้างคือเหตุใดผู้อาวุโสกับคนในสำนัก ไม่มีใครเคยพูดถึงเรื่องจะรับอาเจ๋อเข้าสำนักหรือไม่ หรือว่าเตรียมรักษาเขาเสร็จค่อยส่งลงจากเขา

วันนี้ตรงสวนหมอกเมฆบนยอดเขาเซียนมาเยือน จี้หยวนจรดพู่กันสุดท้าย ตำราเล่มหนึ่งบนโต๊ะวาบแสงประกายคลุมเครือ ตรงหน้าปกเขียนว่า ‘ตำราสวรรค์แปรอัศจรรย์’ แค่อ่านชื่อย่อมไม่ค่อยเหมือนวิชาหลอมอาวุธ

จี้หยวนวางพู่กันกลับชั้น หยิบตำราเล่มนี้ขึ้นมา มรรคซ่อนเร้นเลือนรางกำลังซ่านสลายช้าๆ ขณะเดียวกันมรรคซ่อนเร้นบริเวณสวนหมอกเมฆยังซาลง รูปจำลองของจี้หยวนกลับเข้าเขตแดนแล้ว

เขาถอนใจยาว เปิดตำราสองหน้า ดมกลิ่นหมึกจางๆ รู้สึกพอใจนัก ด้วยตำราเล่มนี้ปกปิดความลับสวรรค์จากมุมมองของตัวอักษรแต่ละตัว ทำให้การเรียบเรียงเนื้อหากับนัยซึ่งปรากฏไม่เป็นระเบียบโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางดึงดูดพิบัติเคราะห์อะไร หากอยากอ่านเนื้อหาแท้จริงต้องเป็นผู้มีวาสนาหรือรู้วิธีการชักนำ

หลังจากอ่านตำราเสร็จ สายตาจี้หยวนมองข้างนอก ขี่ลมลอยไปยอดเขาจรดเมฆโดยไม่ลังเล ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มซึ่งเขาสนใจมากอยู่คนหนึ่ง

เหตุใดจี้หยวนถึงสนใจอาเจ๋อเช่นนี้ ภายใต้สถานการณ์อัศจรรย์ยามแปรตำราก่อนหน้านี้ เขาเห็นชัดเจนว่าอาเจ๋อเข้ากับปราณวิญญาณเซียนบนเขาเก้ายอดไม่ได้ ผ่านมาสองเดือนกลิ่นอายในส่วนลึกจิตใจเขายังไม่สลาย บางทีเขาเก้ายอดไม่รับอาเจ๋อเข้าสำนักด้วยเหตุเดียวกัน ลังเลว่าจะจัดการกับอาเจ๋ออย่างไร

ตอนนี้อาเจ๋อเด็กหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกปีกลับนั่งริมหน้าผาคนเดียว แกว่งสองเท้านอกหน้าผา ไม่มีความหวาดกลัวสักนิด มองทิวทัศน์งามของแดนเซียนเช่นนี้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรบ้าง

อาเจ๋อไม่สังเกตเห็นการมาเยือนของจี้หยวน แต่เมื่อเขามองยอดเขาเซียนมาเยือนกลับพบว่าแสงตรงนั้นหายไปแล้ว

“มองอะไรหรือ”

เสียงราบเรียบนุ่มนวลของจี้หยวนดังมา เด็กหนุ่มหันมามอง ไม่รู้ว่าผู้มีบุคลิกสุขุมลุ่มลึกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาดูเหมือนคุณชายมีความรู้มากกว่า สิ่งสำคัญคือเสื้อผ้าไม่เลื่อมพรายเหมือนเซียนคนอื่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเรียบง่ายหรือเสียงน่าฟังเช่นนั้น ทำให้อาเจ๋อรู้สึกสนิทสนมอยู่บ้าง

“กำลังมองยอดเขาเซียนมาเยือนตรงนั้น แสงหายไปแล้ว เซียนร้ายกาจคนนั้นอาจเขียนตำราเสร็จแล้ว”

อาเจ๋อตอบคำถามของจี้หยวน ฝ่ายหลังแย้มยิ้มพลางพยักหน้า

“อืม เขาน่าจะเขียนเสร็จแล้ว จริงสิ เจ้าชื่ออะไร นั่งริมหน้าผาอันตรายนัก ไม่เข้ามาอีกหน่อยเล่า”

“ข้าชื่อจวงเจ๋อ เรียกข้าว่าอาเจ๋อเถอะ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบว่าริมหน้าผาอันตรายหรือไม่ ทั้งไม่คิดย้ายก้น ตอนนี้เขาไม่ตื่นตระหนกเรื่องเซียนแล้ว

จี้หยวนเห็นเด็กหนุ่มไม่ขยับ เขาไม่ฝืนบังคับ แต่ตนกลับนั่งลงข้างกายเขา ห้อยสองเท้าออกนอกหน้าผาเช่นกัน

“เฮ้อ ที่นี่พวกเราสองคนล้วนเป็นคนนอก”

อาเจ๋อหันมามองจี้หยวนทันที

“ท่านไม่ใช่เซียนบนเขาหรือ”

จี้หยวนพยักหน้าตอบ

“ไม่ใช่”

เรื่องนี้เหมือนทำให้อาเจ๋อคึกคักขึ้นมา เอ่ยซักถามจี้หยวน

“ถ้าอย่างนั้นท่านมาทำอะไร มาตามหาเซียนหรือ เซียนรับปากท่านหรือยัง”

“ข้าไม่ได้มาตามหาเซียน แค่มาเดินเล่น ระหว่างนั้นเกิดเรื่องเล็กน้อย เซียนบนเขาช่วยข้าไว้ไม่น้อย เจ้ามาทำอะไรเล่า”

อาเจ๋อรู้สึกหดหู่ลง แต่กลับไม่ร้องไห้ แค่เอ่ยตอบเสียงเบา

“ท่านพ่อท่านแม่กับท่านปู่ตายหมดแล้ว เดิมข้าคิดขอให้ท่านเซียนช่วยชีวิตพวกเขา…”

จี้หยวนเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองห่างออกไป คล้ายมองไปนอกถ้ำสวรรค์เก้ายอด มองไปทางตะวันออกของทวีปเมฆา หวนนึกถึงชีวิตเมื่อชาติก่อน กล่าวอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง

“ยามบิดามารดาอยู่ ชีวิตคนเรายังมีที่มา ยามบิดามารดาจากไป ชีวิตคนเราเหลือแค่หนทางกลับ”

อาเจ๋อซึ่งเดิมดูเหมือนเข้มแข็ง ฟังสองประโยคนี้แล้วหางตามีน้ำตาไหลลงมาโดยไร้สุ้มเสียง

‘เป็นเด็กดีนัก!’

จี้หยวนทอดถอนใจ เข้าใจกลิ่นอายใกล้เคียงจิตมารภายในใจเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นอีกระดับหนึ่ง

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด