เซียนหมากข้ามมิติ 528 ยากควบคุมความคิดชั่วร้าย

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 528 ยากควบคุมความคิดชั่วร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 528 ยากควบคุมความคิดชั่วร้าย

……….

เดิมทีวันนี้มีเมฆมาก ดวงอาทิตย์ถูกบดบังเป็นครั้งคราว เมื่อพวกจี้หยวนขึ้นเขาอุดรแล้ว สีสันท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าฝนอาจตกลงมาได้ทุกเวลา

แน่นอนว่าเขาอุดรไม่ได้เป็นเพียงสันเขา แต่หมายถึงภูเขาที่มีถนนตัดผ่านภูเขา แน่นอนว่าพวกจี้หยวนไม่มีความจำเป็นต้องรอคนเดินทางไปพร้อมกันมากๆ แค่เร่งความเร็วฝีเท้าก็ข้ามภูเขาได้แล้ว เดินอยู่บนถนนของภูเขาอุดร

ถ้าใช้ฝีเท้าของคนธรรมดา จากตรงที่ชาวนาชราอยู่จนถึงเทือกเขาอุดรนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเวลาครึ่งวัน ทว่าพวกจี้หยวนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อเท่านั้น

ก่อนหน้านี้อยู่ที่หมู่บ้านเมี่ยวต้งทางใต้ของภูเขาเป็นเวลาเที่ยงวัน ตลอดทางมานี้ผ่านสถานที่หลายแห่ง ตอนนี้ไม่นับว่าเช้าแล้ว เมื่อขึ้นเขามาสีท้องฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว

“ท่านจี้ เทือกเขาอุดรนี้เหมือนจะมีโจรด้วย”

จิ้นซิ่วจับประเด็นบางอย่างได้จากคำพูดของชาวนาชราก่อนหน้านี้ ย่อมเชื่อว่าท่านจี้เข้าใจเช่นกันอย่างแน่นอน อาจมีแค่อาเจ๋อที่ไม่เข้าใจ

“มีโจรจริงๆ”

จี้หยวนยอมรับตามตรง ทว่าแม้แต่อาเจ๋อก็ไม่รู้สึกกังวลเลยสักนิด เพราะถึงอย่างไรเสียคนที่อยู่ข้างกายก็เป็นเทพเซียน

ภูเขาทั้งลูกไม่มีทางมีถนนแค่เส้นเดียว เพียงแต่ถนนที่พวกจี้หยวนใช้ขามาเป็นทางขึ้นเหนือที่สะดวกที่สุด หลังจากผ่านพื้นที่โล่งในช่วงแรกแล้ว สามคนเดินอยู่บนถนนเส้นเล็กกลางเขา ถนนแคบมาก พุ่มไม้แทบเกี่ยวร่างกาย

พวกเขาเดินอยู่บนถนนเส้นเล็ก ตอนมองเห็นทิวทัศน์ไกลๆ ก่อนหน้านี้อาเจ๋อไม่ได้สังเกต ตอนนี้ถนนแคบแล้ว ทิวทัศน์กลางเขาก็อยู่ใกล้ กอปรกับไม่มีเนื้อหาบนสนทนาเบี่ยงเบนความสนใจ ดังนั้นอาเจ๋อจึงรู้สึกเป็นครั้งคราวว่าทิวทัศน์รอบข้างพร่ามัวเล็กน้อย พูดตามตรงแล้วไม่ใช่ทิวทัศน์พร่ามัว ยังคงมองเห็นชัดเจนอยู่ แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าดวงตาขยับไหวและเดินเสไปมา ทำให้เขารู้สึกไปเองว่าเวียนศีรษะ สิ่งที่สะท้อนไปที่การมองเห็นก็คือความรู้สึกพร่าเลือนเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง

“พี่จิ้น ข้ารู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่…”

จิ้นซิ่วตีท้ายทอยอาเจ๋อเบาๆ ทำให้เขาได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า

“นี่คือวิชาย้ายร่างอย่างหนึ่ง เรียกว่าการร่นระยะทางก็ได้ มีวิชาอัศจรรย์ที่คล้ายกันทว่าไม่เหมือนกันอยู่มากมาย ความจริงแล้วหนึ่งก้าวของพวกเราผ่านหนทางมามากมายแล้ว”

ถนนเปลี่ยนเป็นกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองเห็นถนนภูเขาขนาดใหญ่ที่กว้างขวางเส้นหนึ่งอยู่ไกลๆ อาเจ๋อกับจิ้นซิ่วพบว่าภายในป่าข้างหน้าเหมือนกับมีเงาคนขยับไหว และคนเหล่านั้นคล้ายกับมองไม่เห็นว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้โดยสิ้นเชิง ยังคงพูดคุยกันอยู่อย่างนั้น

นั่นคือชายฉกรรจ์โพกศีรษะพกอาวุธหลายคน

“พี่ใหญ่ สืบมาชัดเจนแล้ว คืนนี้กลุ่มนั้นไม่ขึ้นเขา แล้วค่ายตรงตีนเขาทางเหนือเล่า เป็นอย่างไรบ้าง”

ชายคนหนึ่งเร่งฝีเท้าวิ่งมา เข้าใกล้ชายที่นั่งอยู่ข้างหลังหินผาข้างทางเพื่อรายงานสถานการณ์ที่พบ ชายผู้นั้นกับคนข้างกายได้ยินข้อมูลนั้นแล้วเหมือนกับหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง

“มารดาสิ เจ้าพวกนี้ใจเสาะนัก! เทือกเขาอุดรไม่ได้ใหญ่อะไร เดินเท้าเร็วหน่อยก็ข้ามเขาได้ก่อนฟ้ามืดแล้ว พวกเขาตั้งค่ายตรงตีนเขาใช่หรือไม่”

“จริงด้วย เจ้าพวกนี้ใจเสาะเกินไปแล้ว!”

“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี”

ที่นี่มีบุรุษทั้งหมดหกคน แต่ละคนหน้าตาดุร้าย หน้าตาไม่ได้ไม่น่ามองเพียงอย่างเดียว รัศมีที่ปรากฏออกมาก็ชวนประหวั่นอีกต่างหาก ตรงกับคำกล่าวที่ว่าจิตใจส่งผลต่อโหงวเฮ้ง ไม่ใช่คนใจดีมีศีลธรรมอะไรอย่างแน่นอน ฟังจากที่พวกเขาพูดแล้วอาจเป็นโจรป่าก็ได้

อาเจ๋อไม่กล้าพูดอยู่บ้าง แม้ตอนเดินผ่านคนพวกนี้เหมือนกับมองไม่เห็นพวกเขา แต่หากส่งเสียงก็อาจดึงดูดความสนใจผู้อื่นได้ จึงจับแขนจิ้นซิ่วไว้แน่นด้วยความเป็นกังวล

“อาเจ๋อคนโง่ ตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นและไม่ได้ยินพวกเรา เจ้ากลัวอะไรกัน”

คราวนี้อาเจ๋อถึงยิ้มอย่างเขินๆ แล้วรีบปล่อยมือ

ชายหกคนตรงนั้นหารือเรื่องแผนการเรียบร้อยแล้ว

“ไป ไปเรียกพวกพี่น้องคนอื่น คืนนี้รอพวกเขาหลับสนิทแล้ว พวกเราคลำทางลงไปถึงตีนเขาแล้วสร้างเรื่องสักหน่อย!”

“อืม!”

“ได้ ตกลงตามนี้!”

ชายฉกรรจ์เหลานี้เพิ่งวางแผนเสร็จ พร้อมกันนั้นพวกจี้หยวนสามคนเข้าใกล้พวกเขา เสียงราบเรียบดังเข้าหูทุกคน

“นิ่ง”

สำหรับคนธรรมดาที่ไม่มีมรรควิถีเหล่านี้ พลังจากวิชานึกร่างที่จี้หยวนใช้ในตอนนี้จะสลายไปช้าเป็นพิเศษ หลังจากสำแดงวิชาแล้วจี้หยวนไม่หยุดฝีเท้า จิ้นซิ่วกับอาเจ๋อต่อให้ฉงนเป็นอย่างยิ่งก็ไม่กล้าหยุดฝีเท้าเช่นกัน

“ไม่ขยับแล้ว น่าสนุกจริง ท่านจี้ พวกเขาจะขยับได้อีกครั้งเมื่อใดหรือ”

จิ้นซิ่วถามอย่างใคร่รู้ ส่วนเพราะเหตุใดไม่ขยับแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าเมื่อครู่จี้หยวนสำแดงวิชา ไม่จำเป็นต้องถามรายละเอียดมาก

จี้หยวนเพียงตอบว่า ‘สามวัน’ พร้อมกันนั้นนำทางสองคนเดินผ่าน ‘รูปสลัก’ เหล่านี้ ขยับไม่ได้อยู่ในป่าสามวัน นับว่ามีบุญกุศลมากแล้ว

เดิมทีอาเจ๋อกับจิ้นซิ่วก็เดินไปแล้ว แต่ตอนผ่านชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ เขาพลันชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นพุ่งไปถึงตรงหน้าคนที่อยู่ที่ท่ากึ่งนั่งยอง ดึงกริชเล่มหนึ่งออกมาจากเข็มขัดตรงเอวอีกฝ่าย

อาเจ๋อมีกริชที่คล้ายคลึงกันอยู่เล่มหนึ่ง ท่านปู่เป็นคนมอบให้เขา ส่วนท่านปู่เก็บไว้เล่มหนึ่งเช่นกัน ตอนฝังท่านปู่ครานั้นหาไม่พบ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจออยู่ที่นี่

“ฮู่…ฮู่…ฮู่…”

ลมหายใจของอาเจ๋อกระชั้นขึ้นมา ในดวงตาเกิดเส้นเลือด

“เป็นเจ้า? เป็นเจ้าเองรึ ใช่เจ้าหรือไม่”

เขาตะโกนเสียงดังใส่โจรภูเขาผู้นั้น บนใบหน้าอีกฝ่ายยังคงมีรอยยิ้มชั่วร้าย ทว่าไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบราวกับรูปสลัก

“ฮู่…ฮู่…ต้องเป็นเจ้า เป็นเจ้าแน่!”

ชิ้ง…

เด็กหนุ่มชักกริชเล่มนั้นออกมา แทงใส่ตาขวาของชายผู้นั้นอย่างไม่ลังเล

พรวด…

มีเสียงของแหลมแทงเนื้อชัดเจน ทว่าเลือดกลับไม่ได้พุ่งออกมา

“อาเจ๋อ!”

จิ้นซิ่วตกใจยกใหญ่ รีบเข้าไปรั้งเขาไหว้ อาเจ๋อที่หันศีรษะมามีแต่เส้นเลือดเต็มดวงตา ขอบตายิ่งมีน้ำตาชัดเจน เขาชี้โจรภูเขาพลางกัดฟัน

“เป็นเขา เป็นพวกเขา ต้องเป็นพวกเขาแน่!”

เขาพูดแล้วดึงกริชออกมา แทงไหล่ขวาของชายผู้นั้นอย่างแรงอีกครั้ง ทว่าทำมุมไม่ถูกต้อง จึงเฉียดเกราะบนกายอีกฝ่ายไปเท่านั้น กระนั้นก็เกิดแผลบนแขนเช่นกัน ไม่มีเลือดไหลออกมา แม้แต่รูที่ตาขวาก็เห็นเพียงสีเลือด ไม่เห็นมีเลือดออกมา

จี้หยวนมุ่นคิ้วก่อนเดินเข้าไปใกล้อาเจ๋อ คว้าแขนเขาไว้แล้วปลดของมีคมซึ่งเล็งไปที่คอหอยแล้วลงมา อาเจ๋อเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นคือดวงตาสองข้างที่ราบเรียบของจี้หยวน ทันใดนั้นสายตาเหมือนกับภาพสะท้อนในบ่อน้ำโบราณใต้ดวงจันทร์ สงบนิ่งไร้คลื่น

“ถามก่อนเถอะ”

พูดจบแล้วก็เห็นอาเจ๋อปรับลมหายใจเล็กน้อย จี้หยวนกันไปมองหัวโจกโจรภูเขาโดยตรง พึมพำบางอย่างเพื่อคลายวิชาผนึกร่างให้เขาคนนี้

เมื่อร่างกายได้ความรู้สึกกลับคืนมา หัวโจกโจรภูเขาส่ายศีรษะแล้วพลันรู้สึกเจ็บเจียนตาย เลือดทะลักออกจากตาขวา

“อ้าก….อ้าก….ตาข้า อ้าก…ตาของข้า…”

โจรภูเขาทิ้งกริชในมือ สองมือกุมตาขวาแทบตาย เลือดสดๆ ไหลออกจากซอกนิ้วอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น

“พวกเจ้ารีบมาช่วยข้าเร็ว พวกใช้ไม่ได้หายไปไหนกันหมด อ้าก ข้าเจ็บจะตายแล้ว…”

อาเจ๋อยืนอยู่ที่เดิมอย่างเคียดแค้น จิ้นซิ่วมุ่นคิ้วอยู่ข้างๆ ฝ่ายจี้หยวนจับมืออาเจ๋อไว้ ขณะเดียวกันมองคนผู้นั้นเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเย็นชา แม้เพราะเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์ บนกายชายผู้นี้ถึงไม่มีปราณอาฆาตอะไรพัวพัน เหมือนกับว่ากรรมไม่ปรากฏเด่นชัด ทว่าความจริงแล้วพัวพันกับจิตวิญญาณเทพ ย่อมเป็นคนประเภทที่ตายก็ไม่เสียดาย

“ฮู่…เฮือก…ใคร ใครอยู่ข้างๆ…ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย!”

หายใจอย่างเจ็บปวดอยู่นานมาก แต่ยังคงไร้ลูกน้องหรือพี่น้องมาช่วยเหลือ กอปรกับตนเองบาดเจ็บหนักอย่างน่าประหลาด หัวโจกโจรภูเขาตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่แล้ว หลังจากความเจ็บปวดยิ่งยวดและความกลัวในตอนแรกสุดผ่านไป ตอนนี้ทนความเจ็บได้แล้ว เขาพยายามลุกขึ้นยืน ร่างกายสั่นเทา พร้อมกันนั้นใช้ตาซ้ายมองรอบๆ

ตรงหน้ามีคนสามคน คนหนึ่งท่าทางเป็นบัณฑิต คนหนึ่งเป็นสตรีงดงาม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มยังไม่โตเต็มที่ หากพบส่วนประกอบเช่นนี้ในอดีตก็คงจะพุ่งเป้าไปที่สตรีแล้ว ทว่าตอนนี้กลับไม่กล้า รู้เพียงว่าต้องเจอกับผู้สูงส่งแล้วเป็นแน่

“วะ ไว้ชีวิตข้าด้วย ต้อง ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่นอน…”

“เจ้าได้กริชนี้มาจากที่ไหน”

ในดวงตาของอาเจ๋อมีเส้นเลือดชัดเจนกว่าเดิม มองแล้วเหมือนกับตาแดง อีกทั้งดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง หัวโจกโจรภูเขาเห็นแล้วรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เขามองไปทางกริชแล้วพบว่าเป็นของตนเอง ในใจนึกกลึวจึงไม่กล้าพูดความจริง

“นี่ มีคนอื่นมอบให้…”

คราวนี้หัวโจกโจรภูเขาเข้าใจว่าตนเองเข้าใจผิดแล้ว รีบส่งเสียงร้องขอความเป็นธรรม

“ไม่ๆๆ! ไม่ได้สังหารคนในหมู่บ้านแล้วชิงมา ไม่ใช่! ข้าสังหารพ่อค้าคนหนึ่งที่ผ่านทางมาแล้วชิงมาเมื่อปีก่อน ไม่เคยไปทำเรื่องสังหารหมู่ที่หมู่บ้านอย่างแน่นอน พวกข้ามีกันทั้งหมดยี่สิบสามสิบคน ไหนเลยจะกล้าปล้นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเล่า หากที่หมู่บ้านมีชายหนุ่มใจกล้าสักร้อยคนคงใช้จอบทุบตีข้าจนตายไปแล้ว!”

ด้วยความตระหนก เลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกจากฝ่ามือที่ใช้ปิดตาขวา ฝ่ายอาเจ๋อได้ยินดังนั้นแล้วยังคงหายใจหอบหนัก ทว่าไม่ได้สับสนอย่างชัดเจน

“ความจริงแล้วมีใจคิดชั่วร้ายไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือถูกความคิดชั่วร้ายชักนำอย่างแท้จริง ทว่ามารแท้ก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ที่ไร้สติสัมปชัญญะ ย่อมรู้จักเสาะหาโชคหลีกเลี่ยงหายนะเช่นกัน เรื่องในวันนี้ หากพลาดสังหารคนดีไปย่อมเป็นเรื่องน่าแค้น หากไม่ได้พลาดสังหาร เพื่อญาติของผู้ล่วงลับแล้วก็ควรถามให้ชัดเจนสักหน่อย แม้เขาเป็นคนที่สังหารปู่เจ้าจริง ทว่ายังคงมีผู้ร้ายคนอื่นอีก หากถูกความคิดชั่วร้ายชักนำ เจ้าสังหารเขาแล้ว คนอื่นไม่ใช่ว่าอาจหนีรอดหรือ”

อาเจ๋อมองโจรภูเขาด้วยสีหน้าเย็นชา กระนั้นตอนมองจี้หยวนกับจิ้นซิ่วกลับอ่อนลงบ้าง

“ท่านจี้ สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือ”

จี้หยวนพยักหน้า ตอบกลับเสียงหนึ่งว่า “ใช่”

อาเจ๋อได้ยินแล้วกำกริชในมือ เดินไปถึงหน้าโจรภูเขา ใช้คมกริชกรีดคอฝ่ายหลังตอนที่เขายังไม่ได้ดึงสติกลับมา

“เฮือก…เฮือก…ฮู่…”

โจรภูเขากุมคอพลางอ้าปาก ส่งเสียงเฮือกๆ ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เลือดเจิ่งนอกพื้นดินเป็นวงกว้าง

ตอนนี้อาเจ๋อสงบนิ่งแล้วเช่นกัน เพียงรู้สึกว่าอยากสังหารโจรภูเขาผู้นี้ ต้องสังหารเขาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับมีไฟแผดเผาอยู่ในใจ ทรมานจนอยากระเบิดออกมา

“อาเจ๋อ เมื่อครู่นี้เจ้าน่ากลัวมาก!”

จิ้นซิ่วพูดไปพลาง เข้าใกล้อาเจ๋อไปพลาง ดึงเขาออกจากโจรภูเขาที่ใกล้ตาย อีกทั้งมองจี้หยวนอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวอยู่บ้างว่าท่านจี้จะทำอะไรอาเจ๋อ แม้มรรควิถีนางไม่สูงส่ง ทว่าตอนนี้มองออกเช่นกันว่าอาเจ๋อแปลกไป

จี้หยวนเปิดตาทิพย์เต็มที่ มองอาเจ๋อแล้วมองโจรภูเขา ยิ่งมองฟ้าดินตรงนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น ความคิดชั่วร้ายของอาเจ๋อได้รับผลกระทบจากถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดไม่น้อยเลยดังคาด

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด