เซียนหมากข้ามมิติ 529 งานชุมนุมเมืองผี
ตอนที่ 529 งานชุมนุมเมืองผี
……….
เมื่ออาเจ๋อสงบลงแล้ว สองมือที่เปื้อนเลือดดูน่ากลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จิ้นซิ่วที่อยู่ข้างๆ คอยปลอบเขาอยู่ตลอด เขาใจเย็นขึ้นแล้วจึงค่อยมองจี้หยวนอย่างระมัดระวัง ท่าทางที่ฝ่ายหลังมองเขาไม่ได้มีความรังเกียจหรือไม่พอใจอะไร เพียงมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึมเท่านั้น
จี้หยวนเห็นลมหายใจของอาเจ๋อเป็นปกติแล้ว จากนั้นมองหัวโจกโจรภูเขาที่สิ้นลมไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงหมุนกายแล้วเดินไปทันที
จิ้นซิ่วรีบประคองอาเจ๋อลุกขั้น
“ไปๆ รีบตามท่านจี้ไป”
ชัดเจนว่าความจริงแล้วจิ้นซิ่วไม่ได้ทำอะไรผิด กระนั้นมีความกังวลอย่างน่าประหลาด ฝ่ายอาเจ๋อยิ่งไม่ต้องพูดถึง สองคนมองโจรภูเขาโดยรอบที่ยังคงเหมือนกับรูปสลัก จากนั้นเร่งฝีเท้าตามจี้หยวนที่อยู่ข้างหน้าไป
“ท่านจี้ ท่านโกรธข้าหรือไม่”
จี้หยวนไม่มองเขา เพียงส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าคนแซ่จี้ไม่ได้โกรธ เดิมทีข้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบพฤติกรรมของเจ้า แต่ก็ใช่ว่าข้าเคยกำชับอะไรเจ้าเสียเมื่อไหร่”
แม้อาเจ๋อไม่นับว่าเป็นคนฉลาดมาก แต่ก็ไม่นับว่าโง่มากเช่นกัน จี้หยวนเพียงพูดว่าไม่ได้โกรธ กระนั้นเหมือนกับว่ายังโกรธอยู่ นี่ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ไม่ได้โกรธเขา แค่คิดก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน
“ท่านจี้…ท่านบอกว่าคนเหล่านั้นตายไปก็ไม่เสียดาย เมื่อครู่อาเจ๋อเสียใจและแค้นมากจึงบันดาลโทสะ…เพื่อโจรภูเขาพวกนั้น…”
จิ้นซิ่วกล้าพูดกับจี้หยวนหลายคำ ถือว่าแบกความกดดันมหาศาล นางกับอาเจ๋อแตกต่างกัน แม้นิสัยตรงไปตรงมา แต่ไม่อาจลืมฐานะของจี้หยวนได้ โดยเฉพาะยามที่จี้หยวนค่อนข้างเข้มงวด
สีหน้าของจี้หยวนอ่อนลง เขาผ่อนฝีเท้าเช่นกัน รอสองคนข้างหลังเข้ามาใกล้ค่อยเอ่ย
“ที่จริงข้าคนแซ่จี้ไม่ได้ต่อต้านหากว่าถึงเวลาที่จำเป็นต้องสังหารคน เช่นโจรภูเขาเหล่านั้น ทำความชั่วก่อกรรมทำเข็ญนับไม่ถ้วน ถูกสังหารก็พูดได้เพียงว่าสมควรแล้ว แต่เมื่อครู่เจ้าสังหารเขาเพราะคิดลงโทษผู้กระทำความชั่วและกำจัดคนชั่วใช่หรือไม่”
จี้หยวนพูดแล้วก้มหน้ามองอาเจ๋อ ฝ่ายหลังเงยหน้ามองจี้หยวนตามสัญชาตญาณ พบว่าดวงตาสองข้างของจี้หยวนราบเรียบไร้คลื่น เหมือนกับมองทะลุความคิดของเขาอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกลนลานพลันปรากฏขึ้นในหัวในของอาเจ๋อ
เพียงกล่าวเสียงเบาสั้นๆ ทว่าเหมือนกับซึมลึกเข้าสู่หัวใจตนเอง ทำให้อาเจ๋อมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของความกลัว สีหน้าซีดหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ แต่จี้หยวนกลับเผยรอยยิ้มบนใบหน้า รอยยิ้มนี้เหมือนกับแสงอาทิตย์ชะล้างความกลัวในใจของอาเจ๋ออย่างไรอย่างนั้น
“ว่ากันว่ามรรคมารทำลายความเป็นมนุษย์ แต่ความจริงแล้วมารกับมนุษย์อยู่คู่กัน มีเพียงมารแท้เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น แม้บ้างก็มีเหตุผล บ้างก็มีความบ้าคลั่งยากจะคาดเดา แต่มีเพียงมารแท้ที่กำจัดความเป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์”
‘ความเป็นมนุษย์’ ที่จี้หยวนกล่าวเป็นคำพูดกว้างๆ ความจริงไม่ได้หมายถึงคนเท่านั้น ยังหมายถึงปีศาจ จิตวิญญาณ ภูต และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย
“เห็นทีแม้เจ้าฟังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่ก็เข้าใจความหมายโดยนัยของข้าคนแซ่จี้ได้รางๆ เช่นกัน…”
‘มาร’ และ ‘มารกับมนุษย์’ รวมถึง ‘มารแท้’ ที่จี้หยวนเอ่ยถึงนั้น เด็กชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้ตัวหนังสืออย่างอาเจ๋อฟังแล้วแน่นอนว่าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจได้รางๆ ว่าเกี่ยวข้องกับตนเอง
จี้หยวนมองเห็นความกลัวในดวงตาของอาเจ๋อ จึงยื่นมือไปตบหลังเขาเบาๆ นี่ไม่ใช่แค่การให้กำลังใจทางการกระทำเพียงอย่างเดียว ยิ่งมีพลังอับอบอุ่นแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของอาเจ๋อด้วย ไม่ได้กดกลั้นความคิดชั่วร้าย เพียงแทรกเข้าไปในร่างกายและจิตวิญญาณ มอบความอบอุ่นให้อาเจ๋ออย่างไร้สุ้มเสียง
ความจริงแล้วจี้หยวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่กลับเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของจวงเจ๋อเช่นกัน เขาแน่ใจมากว่าต่อให้เป็นเมื่อครู่นี้ ความคิดชั่วร้ายของจวงเจ๋อก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ หากที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่โจรภูเขา ความคิดชั่วร้ายส่วนนั้นไม่มีทางส่งผลกระทบต่อจวงเจ๋อ เพราะในใจเด็กหนุ่มมีคุณธรรมนำชีวิตเป็นทุนเดิม
และจี้หยวนเชื่อเช่นกันว่านอกจากอิทธิพลของความคิดชั่วร้าย เด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงมีความไร้เดียงสา อย่างเช่นสีหน้าตอนอยู่ริมผาก่อนหน้านี้ เหมือนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและธรรมดา แต่กลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้แกล้งทำสักนิด ซึ่งมอบความเชื่อใจให้จี้หยวนเช่นกัน
“เจ้าไม่ใช่มาร เจ้าเป็นเพียงจวงเจ๋อ หากเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับเมื่อครู่อีกภายหลัง หากยากจะต้านทานได้แล้วจริงๆ ก็ลองเปลี่ยนวิธีดู ตั้งกฎให้กับตนเอง ผิดกฎเท่ากับทำความผิด ทำตามกฎถือว่าทำถูกต้อง”
ความรู้สึกอบอุ่นบนกายแผ่ซ่าน ทำให้อาเจ๋อหลุดพ้นจากความรู้สึกหวาดกลัว ไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจหรือไม่ แต่ยังคงพยักหน้าหงึกหงักให้จี้หยวน
“ไปเถอะ อย่าคิดมากเลย คืนนี้พวกเราต้องไปศาลมืดกัน”
พูดแล้วจี้หยวนก็เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย จิ้นซิ่วกับอาเจ๋อสับเท้าตามไป ปากอาเจ๋อยังคงพร่ำพูด
เด็กหนุ่มผู้นี้มีความมุ่งมั่น นอกจากการฟื้นคืนชีพครอบครัวที่ถูกสังหารแล้วก็มีความแค้นเช่นกัน แต่ครอบครัวจากไปแล้ว ครั้งนี้ไปศาลมืดต้องปลอบโยนความรู้สึกของเด็กหนุ่มให้ได้ ทำให้เขาแตกฉานในเรื่องดังกล่าว
แต่ความคิดชั่วร้ายที่เด็กหนุ่มมีไม่เพียงมาจากหายนะที่บ้านเกิดเจอ ความคิดชั่วร้ายนั้นยากจะกำจัดไปโดยสิ้นเชิง ดังคำกล่าวที่ว่ามารมีความหลงใหลในตนเอง ไม่ว่าสับสนแค่ไหนก็ไม่สนใจเหตุผล ต่อให้เป็นมารที่ดุดันร้ายกาจก็เป็นเช่นนั้นหมด จี้หยวนลองชี้นำจวงเจ๋อว่าบางทีก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความคิดชั่วร้ายได้ แต่ความคิดที่ยืดถือไว้ไม่อาจได้รับผลกระทบ
ตอนผ่านตีนเขาทางเหนือสามคนมองเห็นค่ายจำนวนหนึ่ง เห็นคนในค่ายระแวดระวังพวกเขาอย่างยิ่งยวด ทว่าสามคนไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงเดินตรงไปยังพื้นที่รกร้าง ทิศทางก็คือเมืองเป่ยหลิ่งที่อยู่ไกลออกไป
ยังไม่ถึงสองเค่อดี พวกเขามองเห็นเมืองเป่ยหลิ่งแล้ว ประตูเมืองปิดสนิท นี่ไม่ทำให้จี้หยวนลำบากใจอย่างแน่นอน ไม่นานทั้งสามคนก็ปรากฏตัวบนถนนในเมืองแล้ว
เมืองเป่ยหลิ่งยามค่ำคืนเงียบสงัดยิ่ง บนถนนไม่มีเงาคนเลยสักคน ท่ามกลางเสียงลมราตรีมีเสียงดังกุกกัก อันเป็นเสียงกรอบหน้าต่างไม้ไผ่ผุพังต้องลม
พวกเขาเดินตรงไปถึงหน้าศาลหลักเมือง ไม่มีใครเห็นเจ้าหน้าที่เคาะเกราะบอกเวลาและเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคดีหรือไม่มีใครรับหน้าที่ลาดตระเวนกลางเมืองตอนกลางคืนเลยจริงๆ กลับกันไม่เห็นผู้ลาดตระเวนราตรีของศาลมืดแล้วจี้หยวนไม่รู้สึกแปลกใจ ถ้ำสวรรค์เก้ายอดไม่มีปีศาจไม่ใช่หรือ ความเข้มงวดของการลาดตระเวนต้องต่ำมากแน่นอน เมื่อพูดถึงความขี้เกียจแล้ว ไม่ว่าคนหรือผีล้วนเหมือนกัน
อาเจ๋อกับจิ้นซิ่วเดินตามจี้หยวน พบว่าข้างหน้าเหมือนกับมืดลงเรื่อยๆ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงด้านการมองเห็นแต่อย่างใด ความรู้สึกมืดมนและหนาวเย็นค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดมากมายบอกพวกเขาว่าจะถึงศาลมืดแล้ว
ยิ่งเดินไปข้างหน้า ศาลหลักเมืองข้างหน้าก็เปลี่ยนเป็นพร่าเลือน ตอนอาเจ๋อกับจิ้นซิ่วมองเห็นชัดเจนอีกครั้ง กลับพบว่าหน้าศาลกั้นไว้ด้วยประตูเมือง ข้างหน้าประตูเมืองมีเจ้าหน้าที่ยืนประจำการอยู่ ท่าทางลึกลับน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
จี้หยวนขมวดคิ้ว การป้องกันระดับนี้ไม่ใช่ว่าย่ำแย่ยิ่งกว่าศาลมืดฟ้าดินข้างนอกหรือไร
“หยุด! ศาลมืดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผีเร่ร่อนที่ใดกล้าบุกมา”
ชัดเจนว่ายมทูตดำเห็นพวกจี้หยวนเป็นผีเร่ร่อน แต่จี้หยวนไม่หยุดฝีเท้า ทำให้ยมทูตดำต่างก็เตรียมรับมือเต็มที่ จากนั้นพบว่าบนกายคนเหล่านี้ไม่มีปราณผี ยิ่งไม่เหมือนกับคนธรรมดาที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง
“ทุกท่านเป็นเซียนจากขอบฟ้าหรือ”
“พวกข้ามาจากเขาเก้ายอด นี่คือของยืนยัน ขอยมทูตดำแห่งศาลมืดอำนวยความสะดวกด้วย”
จี้หยวนยื่นของยืนยันจากเขาเก้ายอดที่เขียนไว้ว่า ‘บัญชาเบญจอสนี’ ไปข้างหน้า ยมทูตดำยื่นรับไปรับไว้ตามสัญชาตญาณ ปลายนิ้วเพิ่งสัมผัสป้ายคำสั่งก็เกิดแสงสายฟ้าขึ้นมาแล้ว
แซกๆๆ…
“โอ้ย! ซี้ด…”
ยมทูตดำหดมือทันที กัดฟันสะบัดมืออีกต่างหาก
“ท่านเซียนโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานก่อน!”
“ตกลง รบกวนแล้ว”
จี้หยวนพยักหน้าพลางมองส่งยมทูตดำจากไป ไม่ปรากฏสีหน้าใดบนใบหน้า หางตากวาดมองป้ายคำสั่งในมือ ตัวอักษร ‘บัญชาเบญจอสนี’ มีแสงเซียนเลือนราง ในใจเขาเกิดความสงสัยบางอย่างเช่นกัน
เทพผีในศาลมืดยำเกรงอาจารย์จากเขาเก้ายอดย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ยมทูตดำไม่รับป้ายคำสั่งไปด้วยทำให้จี้หยวนประหลาดใจอยู่บ้าง
ไม่นานนักที่ด่านประตูก็มีเจ้ากรมตัดสินคดีแห่งศาลมืดเดินมา เมื่อมาถึงประตูด่านก็โค้งคำนับให้พวกจี้หยวน
“เจ้ากรมตัดสินคดีคารวะท่านเซียนทั้งสาม เชิญเข้ามาเถอะ เชิญเข้ามา! ท่านเซียนมีคำสั่งใด ศาลมืดของข้าย่อมจัดการให้อย่างแน่นอน!”
จี้หยวนกวาดสายตามองไปข้างหลัง เทพหลักเมืองยังไม่มา แต่เขาไม่สนใจห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว มีคนอำนวยความสะดวกให้ย่อมเป็นเรื่องดี
“มีเรื่องอยากของให้เจ้ากรมตัดสินคดีช่วยเหลือจริง ช่วยตรวจสอบทางใต้ของภูเขา…”
จี้หยวนเล่าเรื่องอย่างชัดเจน เจ้ากรมตัดสินคดีพยักหน้า พาพวกเขามุ่งหน้าสู่ศาลมืดเมืองผีโดยตรง ตอนพวกเขาเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ข้างหลัง เจ้ากรมตัดสินคดีสั่งให้ไปดำเนินการก่อนแล้ว เพื่อไปเสาะหาครอบครัวของอาเจ๋อในเมืองผี
หลังจากเข้าไปในศาลมืดแล้ว อาเจ๋อรวมถึงจิ้นซิ่วเครียดเกร็งอยู่บ้าง ฝ่ายแรกทั้งกลัวและคาดหวัง ฝ่ายหลังกลัวว่าเมืองผีเป็นสถานที่น่ากลัวที่มีแต่ผีร้ายเต็มไปหมด แต่เข้าไปในเมืองผีแล้วพบว่าเมืองในนั้นกับข้างนอกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ถึงขนาดว่าคึกคักอยู่บ้าง มีคนเดินขวักไขว่ ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้ามีเมฆมาก ไม่ได้มืดสลัวน่าขนลุกแต่อย่างใด
“เชิญท่านเซียน พบวิญญาณครอบครัวจากทางใต้ของภูเขาแล้ว”
พอเดินออกจากสถานที่ที่ค่อนข้างคึกคักในเมืองปี ตรงพื้นที่รกร้างมุมหนึ่งมีเรือนดินหน้าตาประหลาดจำนวนหนึ่ง มองแล้วเหมือนหลุมศพขนาดใหญ่ยักษ์ มียมทูตดำยืนอยู่ข้างๆ เงาคนสวมเสื้อผ้ามอมแมมสิบกว่าเงายืนอยู่ข้างหลังยมทูตดำอย่างขลาดกลัว
“ท่านแม่! ท่านพ่อ! ท่านปู่!”
เห็น ‘คน’ เหล่านี้แล้วอาเจ๋อกลั้นความรู้สึกในใจไม่ได้อีก ร้องเสียงดังพลางพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของครอบครัว สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก ทว่าในดวงตากลับมีหยดน้ำตาร้อนๆ
“อาเจ๋อ! เป็นอาเจ๋อจริงๆ!”
“อาเจ๋อ! ให้แม่ดูหน่อยสิว่าเจ้าผอมลงหรือไม่”
“เป็นอาเจ๋อจริงๆ คนเป็นๆ อาเจ๋อยังมีชีวิตอยู่!”
“ไอ้หยา เจ้าเด็กคนนี้นี่ กว่าจะรอดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไยถึงมาที่ศาลมืดอีกเล่า!”
ปู่ของอาเจ๋ออยากตีเหล็กตอนยังร้อน คนเป็นมาที่ศาลมืดใช่เรื่องดีที่ไหนกัน
“ไม่เป็นไรท่านปู่ ข้ามากับเทพเซียน ข้าขึ้นเขาค้ำฟ้าแล้ว ขึ้นไปบนขอบฟ้าแล้ว!”
เจ้า… “
ปู่ของจวงเจ๋อทั้งโมโหทั้งยินดี ที่โมโหคือเขารู้ถึงอันตรายของเขาค้ำฟ้า ที่ยินดีคือผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเลย จากนั้นเขาตระหนักได้รางๆ ว่ามีเทพเซียนอยู่ข้างๆ จึงเงยหน้ามองจี้หยวน รู้สึกว่าอีกฝ่ายเปล่งประกายบริสุทธิ์ในศาลมืดเป็นพิเศษ
“ขอบคุณท่านเซียนที่คุ้มครองอาเจ๋อของเรา ขอบคุณท่านเซียน!”
“ขอบคุณท่านเซียนมาก!”
“ขอบคุณท่านเซียน!”
วิญญาณผีหลายคนประสานมือกล่าวขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี พวกเจ้ารีบคุยกันเถอะ พวกข้าไม่ควรอยู่ที่นี่นาน”
จี้หยวนพยักหน้าบ่งบอกว่าอย่าพูดอะไรมากอีก วิญญาณผีตนอื่นข้างๆ ก้าวเข้าไปสอบถามเรื่องราวของลูกตนเองกับอาเจ๋อ พวกเขาก็คือคนเหล่านั้นที่ถูกฝังลงดินเช่นกัน
อาเจ๋อทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้อยู่ตรงนั้น จิ้นซิ่วเห็นแล้วสุขใจและเจ็บปวดใจอยู่ในที ผู้ฝึกเซียนมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน นี่ทำให้นางคิดถึงครอบครัวของตนเองขึ้นมา เพียงแต่พวกเขากลายเป็นเถ้าไปแล้ว แม้แต่วิญญาณก็ซ่านสลายไปด้วย
เจ้ากรมตัดสินคดีข้างๆ มองพลางลูบเครา หันศีรษะเป็นครั้งคราว พบว่าจี้หยวนกำลังมองเขาอยู่พอดี ในดวงตาสีเทาสงบรายเรียบนั้นเหมือนกับสะท้อนแสงจันทร์ก็ไม่ปาน
“เจ้ากรมตัดสินคดีผู้นี้ เทพหลักเมืองของที่นี่เหมือนจะยุ่งมากกระมัง”
……….
Comments