เซียนหมากข้ามมิติ 533 มีผลลัพธ์แล้ว

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 533 มีผลลัพธ์แล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 533 มีผลลัพธ์แล้ว

……….

สถานการณ์ของถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเหล่าผู้ฝึกเซียนเขาเก้ายอด แม้เขาเก้ายอดไม่คิดว่าในถ้ำสวรรค์จะไม่มีปัญหา แต่ไม่คิดเช่นกันว่าจะเกิดปัญหาร้ายแรงขนาดนี้

เขาเก้ายอดส่งผู้ฝึกปราณนับพันคนออกปฏิบัติการ เรียงลำดับตามพลังสูงต่ำ มีทั้งไปลำพังและไปเป็นกลุ่ม เน้นหนักไปที่การจู่โจมสำรวจตามสถานที่ต่างๆ ก่อน ผลปรากฏว่าน่าประหลาดใจนัก ในบรรดาศาลหมักเมืองใหญ่นั้น นอกจากบางแห่งที่ไม่มีปัญหาอะไรมานานปี ศาลหลักเมืองใหญ่ที่อื่นแทบเกิดปัญหาทั้งหมด จมสู่มรรคมารแล้วก็มีไม่น้อย

พอพบเทพหลักเมืองที่จมสู่มรรคมาร การต่อสู้ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้โลกความตายมีเทพหลักเมืองเป็นประมุข แต่ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดต่างก็ถือป้ายคำสั่งของสำนัก ส่งผลควบคุมต่อมรรคเทพโลกนี้อย่างมหาศาล ถึงแม้เป็นเทพหลักเมืองที่จมสู่มรรคมารแล้วก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมนี้ได้

สิ่งแรกที่ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดมากมายลงมาโลกเบื้องล่างแล้วต้องทำ คือถือป้ายคำสั่งปิดตายทั้งโลกความตาย หนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูที่เหลืออยู่หนีรอดไปได้ สองเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อโลกมนุษย์มากเกินไป

แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกจี้หยวนแล้ว นอกจากเทพหลักเมืองที่จมสู่มรรคมารซึ่งเขาลงมือต่อกรในศาลมืดจังหวัดเป่ยหลิ่งครั้งแรก เรื่องหลังจากนั้นมอบให้เขาเก้ายอดจัดการเอง จี้หยวนอย่างมากก็แค่มองดู แต่ไม่มีทางสอดมือ เพียงพาอาเจ๋อกับจิ้นซิ่วไปตามหาสหายหลายคนในตอนนั้นของอาเจ๋อ เพื่อทำตามคำสัญญาของตนเอง

หลังจากกินเกี๊ยวที่จังหวัดเป่ยหลิ่งแล้ว พวกจี้หยวนสามคนบอกลาเจ้าสำนักเขาเก้ายอด ฝ่ายแรกต้องไปตามหาคน ฝ่ายหลังต้องไปจัดการเรื่องราวในถ้ำสวรรค์

ภายในเมืองตูหยาง เมืองหลวงของอาณาจักรตงเซิ่ง มีโรงเตี๊ยมแขกสำราญขนาดกลาง ถือว่าเป็นโรงเตี๊ยมที่ไม่มีที่ใดเทียบได้อีกแล้วในเมืองนี้ หลงจู๊สวมเสื้อตัวยาวกางเกงตัวใหญ่มีรูปร่างผมบางทว่าฉลาดเฉลียว กำลังดีดลูกคิดอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ตู้เก็บของ

เสียงก๊อกแกดังเป็นจังหวะอย่างยิ่ง หลังจากคำนวณบัญชาของเมื่อวานเรียบร้อย หางตาเขาเหลือบเห็นสามคนเดินเข้ามาจากประตูพอดี จึงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“จะไปทางนั้นอีกแล้วหรือ”

อาหลงเงยหน้ามองหลงจู๊ก่อนพยักหน้า ทว่าไม่ได้พูดอะไร สองพี่น้องต้ากู่เสี่ยวกู่ข้างๆ ก็เหมือนกับเขา จมูกเขียวใบหน้าบวมกันหมด

หลงจู๊หยิบลูกคิดแล้วดีดขึ้นลงเสียงดังก๊อกแก๊กให้เข้าที่ หลังจากปิดสมุดบัญชีก็ก้มหน้าหาสุราคลายช้ำข้างใต้ตู้ขึ้นมาวางไว้ข้างบน

“นำไปเช็ดให้ตนเองหน่อย อย่าลืมจัดคอกม้าให้เรียบร้อยก่อนค่ำ”

อาหลงเดินไปที่หน้าตู้ หยิบสุราคลายช้ำมาแล้วคารวะหลงจู๊ครั้งหนึ่ง

“ขอบคุณหลงจู๊ ซี้ด…”

“ไปเถอะๆ”

หลงจู๊โบกมือบอกให้พวกเขาไปได้ เห็นสามคนเดินไปทางโถงด้านหลังของโรงเตี๊ยม เขาเพียงส่ายหน้าและถอนหายใจ

เด็กหนุ่มสามคนนี้นิสัยดีทีเดียว งานสกปรกหรือเหนื่อยเพียงใดแต่ไหนแต่ไรไม่เคยบ่น ตั้งแต่ตัดฟืน ทำความสะอาดไปจนถึงดูแลม้าในคอกม้าก็ทำได้ดีทั้ง นิสัยอดทนไม่ย่อท้อทำให้หลงจู๊โรงเตี๊ยมพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ทีแรกหลงจู๊ให้อาหารเหลือกับพวกเขา รั้งพวกเขาให้นอนที่โรงฟืนคืนหนึ่ง เดิมทีเป็นเพราะความใจดีมีเมตตาที่ยังไม่หมดไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะเก็บของมีค่าได้ วันต่อมาทั้งภายในและภายนอกโรงเตี๊ยมถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม แม้แต่คอกม้าก็สะอาดเช่นกัน พวกเขาบอกว่าอยากตอบแทน หลงจู๊ลองบอกให้พวกเขาอยู่ทำงานที่นี่ต่อ แค่เอ่ยปากอีกฝ่ายก็ตอบตกลงแล้ว แม้ค่าจ้างไม่มาก แต่มีอาหารและที่พัก ทั้งสามคนพอใจมากเช่นดัน

กระนั้นต่อมาหลงจู๊ได้ยินว่าตอนพวกเขามาถึงมีเด็กหญิงคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเพิ่งหนีรอดมาถึงเมืองหลวงก็ถูกจับไป สองปีมานี้ทั้งสามคนคิดหาทางสืบข่าวค้นหาเด็กหญิงคนนั้นเสมอ ช่วงก่อนเกมือนว่าพวกเขาได้ข่าวคราวบ้าง แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นเช่นที่หวัง

“เฮ้อ สังคมสมัยนี้ มีชีวิต มีข้าวกินก็ไม่เลวแล้ว”

ขณะกำลังถอนหายใจ เขาเงยหน้าขึ้นเห็นว่ามีแขกมาที่หน้าประตู จึงทักทายอย่างกระตือรือร้นทันที

“โอ้ แขกทั้งสามท่านเชิญด้านใน! จะกินข้าวหรือว่าต้องการห้องพักหรือ”

สามคนที่มาก็คือจี้หยวน อาเจ๋อ และจิ้นซิ่ว

สายตาของหลงจู๊ยังดีอยู่ จิ้นซิ่วกับอาเจ๋อแต่งตัวดีมาก ส่วนบุรุษสง่างามที่อยู่ตรงกลางผู้นั้นแม้ดูเหมือนใส่เสื้อผ้าเรียบๆ ทว่ามีมาดไม่ธรรมดา ไม่ใช่มาดที่ชาวบ้านทั่วไปจะมีได้

“หลงจู๊ อาหลงแล้วก็พวกอากู่อยู่ที่นี่หรือไม่”

อาเจ๋อถามตรงๆ อย่างอดไม่ได้ หลงจู๊ชะงักไปเล็กน้อยถึงตระหนักได้ว่าเขาถามถึงเด็กหนุ่มสามคนนั้น

“เอ่อ มีพนักงานชื่อนั้นจริง แต่ไม่รู้ว่าใช่คนที่แขกพูดถึงหรือไม่”

“หลงจู๊ เข้าพักและกินข้าวด้วย นี่คือเงินมัดจำ จดไว้คิดบัญชีก็ใช้ได้ แล้วก็เด็กหนุ่มพวกนั้นนับเป็นสหายของเขา สะดวกให้พบสักหน่อยหรือไม่”

หลงจู๊ยิ้มไปพลาง รับเงินมาชั่งน้ำหนักไปพลาง พร้อมกันนั้นตอบคำถามจี้หยวนด้วย

“สะดวก สะดวกสิ ทำไมจะไม่สะดวกเล่า พวกเขาอยู่โถงข้างหลัง เอ่อ อาหลง ต้ากู่ เสี่ยวกู่ มีคนมาหา!”

จี้หยวนบอกว่าอีกเดี๋ยวจะกลับมาบันทึกข้อมูลสำหรับการเข้าพัก ก่อนจะเดินไปด้างหลังพร้อมกับอาเจ๋อกับจิ้นซิ่ว

โถงด้านหลังของโรงเตี๊ยม ภายในห้องว่างระหว่างโรงฟืนและห้องครัว อาหลงและสองพี่น้องอากู่กำลังปรุงยา พอได้ยินเสียงหลงจู๊ข้างหน้าแล้วกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ทว่าพวกเขายังไม่ทันลุกขึ้นยืนก็มีคนสามคนเดินมาจากทางห้องครัวแล้ว

“อาหลง! อากู่! เสี่ยวกู่!”

“อาเจ๋อ?”

“อาเจ๋อ!”

“เป็นเจ้าจริงๆ!”

“ดียิ่งนัก อาเจ๋อยังไม่ตาย!”

“ข้ายังไม่ตายจริงๆ!”

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

สี่คนตื่นเต้นมาก ต่างฝ่ายต่างโผเข้ากอดกันและกัน หลังจากหายคิดถึงแล้วอาเจ๋อค่อยแนะนำจี้หยวนกับจิ้นซิ่ว ทั้งสามคนล้วนมีมารยาทดี ใบหน้างดงามของจิ้นซิ่วยิ่งทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามคนไม่กล้ามองนาง

ตั้งแต่ลากจากกันที่ตีนเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย อาเจ๋อไม่ได้เปลี่ยนไปมาก อาหลงกับอากู่กลับสูงขึ้นช่วงหนึ่ง

“อาเจ๋อไยเจ้าเตี้ยลงเล่า”

“นั่นสิ ไม่ถูกต้อง เป็นเจ้าต่างหากที่สูงขึ้น!”

“เรื่องนี้พูดแล้วซับซ้อนอยู่บ้าง แล้วทำไมพวกเจ้าจมูกเขียวหน้าบวมเช่นนั้น ไปทะเลาะกับใครมาหรือ จริงสิ อานีเล่า”

เมื่อได้ยินอาเจ๋อพูดถึงอานี สีหน้าของทั้งคนเปลี่ยนเป็นลำบากใจขึ้นมา เงียบเชียบอยู่นานเช่นกัน

อาเจ๋อมุ่นคิ้ว ขณะเดียวกันรู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน

สามคนล้วนไม่กล้ามองอาเจ๋อ เป็นอาหลงที่รวบรวมความกล้าเล่าเรื่องจริงออกมา

“ตอนพวกข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง อานีก็หายไปแล้ว…พวกข้าไม่พบนางมาสองปี ในที่สุดก็หาตัวนางพบ ทว่า…”

เดิมทีอานีหายตัวเพราะถูกคนพาตัวไป วันนี้กลับพบนางที่แหล่งเสื่อมโทรม แม้อานีอายุยังน้อย แต่หากใช้คำพูดในวงการนางโลมจะเรียกว่า ‘หญิงเพียบพร้อม’ อยู่ที่นั่นนางได้เรียนตัวอักษร ได้เรียนดีดฉินและวาดภาพ เตรียมเป็นนางโลมแถวหน้าในภายหลัง

ชีวิตของอานีเหมือนกับดีกว่าพวกอากู่สามคนมาก แต่ใครๆ ล้วนรู้ว่าอนาคตมืดบอด ไหนเลยทั้งสามคนจะทนได้ คิดไปชิงตัวอานีมาทันที ส่วนผลลัพธ์นั้นแค่คิดก็รู้แล้ว พวกเขาถูกต่อยตีจนศีรษะแตกเลือดไหลอยู่ลหายครั้ง

“อะไรนะ!? มีเรื่องพรรค์นี้ด้วย อาเจ๋อ ไปกัน พวกเราไปช่วยไถ่ตัวอานี คนพวกนี้ทำไปเพื่อเงินทั้งนั้น ให้เงินก็สิ้นเรื่องแล้ว!”

จิ้นซิ่วที่อยู่ข้างหลังอย่างไรก็เป็นสตรี แม้ฝึกปราณแล้วก็ทนรับเรื่องของอานีไม่ได้อย่างถึงที่สุดเช่นกัน

พอจิ้นซิ่วพูดแล้ว อาเจ๋อย่อมมองไปทางจี้หยวน เขารู้ว่าตนเองกับจิ้นซิ่วไม่มีเงิน

จี้หยวนฝืนยิ้มขึ้น

“วางใจเถอะ ท่านจี้มีเงิน”

เขาพูดพลางหยิบทองศีรษะสุนัขออกมาจากในแขนเสื้อ ตอนหยิบออกมานั้น ทองศีรษะสุนัขกลายเป็นทองแท่งสี่แท่งในมือเขา จี้หยวนเก็บไว้สองแท่ง แล้วส่งให้จิ้นซิ่วที่อยู่ข้างๆ สองแท่ง

“ข้าคนแซ่จี้ไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนทองที่นี่เป็นอย่างไร แต่คิดดูแล้วน่าจะได้ราคาไม่ต่ำ นี่คือทองสิบตำลึง แม่นางจิ้นนำไปเถอะ ข้าคิดว่าน่าจะเพียงพอ พวกเจ้าไปไถ่ตัวอานีกับแม่นางจิ้นเถอะ”

จิ้นซิ่วรับทองมาแล้วมองจี้หยวน

“ท่านจี้ไม่ไปหรือ”

จี้หยวนมองไปทางศาลหลักเมือง

“พวกเจ้าไปก่อน ลองเจรจากันดู หากเจรจาไม่สำเร็จค่อยมาหาข้า ข้าไปดูที่ศาลหลักเมืองแล้วจะกลับมา”

จี้หยวนพูดพลางรีบร้อนออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังศาลหลักเมือง เมื่อครู่เขาเห็นมีแสงเซียนสองสายตกลงแล้วหายเข้าไปในศาลมืด ชัดเจนว่าเป็นคนจากเขาเก้ายอดมาถึงโลกมนุษย์แล้ว ทว่าเมื่อแสงเซียนตกลง แสงเทพทางศาลหลักเมืองสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แค่มองก็รู้ว่ามีการเผชิญหน้าอย่างดุเดือดที่ศาลในมืดในทันที

จี้หยวนไปแล้ว จิ้นซิ่วกลายเป็นผู้นำกลุ่ม นางมองอาเจ๋อและอีกสามคนก่อนกัดฟัน คิดในใจว่า ‘ข้ายังต้องกลัวมนุษย์กลุ่มหนึ่งด้วยหรือไร’

จิ้นซิ่วเท้าสะเอวด้วยสองมือแล้วพูดเสียงดัง

“ไป! พวกเราไปหาอานี อาหลง ต้ากู่ เสี่ยวกู่นำทาง!”

“เอ้อ!”

“ได้!”

ตอนนี้เป็นช่วงหลังเที่ยงวัน ในศาลหลักเมืองมีผู้ศรัทธามาจุดธูปไม่น้อย จี้หยวนเดินผ่านแผงขายของหน้าศาลและผู้ศรัทธาทั้งหลาย มุ่งหน้าไปถึงใจกลางตำหนักใหญ่เทพหลักเมืองของศาลหลักเมืองในเมืองหลวงแห่งนี้

เมื่อเงยหน้ามอง เทพหลักเมืองสวมชุดขุนนางดุดันน่าเกรงขาม นั่งอยู่บนแท่นเทพก้มลงมองผู้ศรัทธาที่ไปๆ มาๆ ไอควันในกระถางธูปใหญ่ข้างนอกลอยวน ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง สำหรับศาลที่มีเทพอาศัยอยู่แบบนี้ ‘ดวงตาแหลมคม’ ของจี้หยวนมองรูปปั้นเทพได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ภายในรูปลักษณ์นี้ รูปปั้นเทพหลักเมืองเปลี่ยนแปลงสีสันชัดแจ้ง ท่ามกลางแสงเทพมีแสงมารเข้มข้นเอ่อท้น ตัดสลับสอดประสานเกิดเป็นอานุภาพที่น่าประหวั่น ปกคลุมทั้งศาลหลักเมืองเอาไว้ ในสถานการณ์แบบนี้ เทพหลักเมืองแห่งศาลมือจะต้องประมือกับใครสักคนอย่างดุเดือดอยู่แน่นอน

จี้หยวนยืนมองรูปปั้นเทพหลักเมืองในศาลอยู่อย่างนั้น เหมือนกับมองทะลุรูปปั้นเทพนี้ได้ มองเห็นการต่อสู้ในศาลมืด เขายืนอยู่ครึ่งชั่วยาม ผู้ศรัทธาโดยรอบคล้ายกับเหมือนมองไม่เห็นเขา ต่างฝ่ายต่างจุดธูปสักการะเทพหรือเก็บเงินค่าธูปค่าน้ำมัน

กึก…กึกๆ…เปรี๊ยะ…

เสียงกังวานพลันดังขึ้น มีคนเงยหน้ามองตามเสียงไปก่อนเผยสีหน้าตื่นตกใจ

“เทพหลักเมือง! รูปปั้นเทพหลักเมือง!”

“สวรรค์ รูปปั้นเทพหลักเมืองแตกแล้ว?”

“ทำอย่างไรดี”

“ลางร้าย ลางร้าย!”

คนในศาลต่างก็ตระหนกตกใจ ส่วนจี้หยวนหมุนกายจากไปท่ามกลางความวุ่นวาย ผลการต่อสู้เบื้องล่างชัดเจนแล้ว

ไม่นานเท่าไหร่นักจี้หยวนก็ไปถึงถนนเมารัญจวนของเมืองหลวง ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเวินโหรวที่มีชื่อเสียง

จี้หยวนเพิ่งเดินเข้าไปในถนน ประตู ‘หอใจงาม’ ข้างนอกถูกกระแทกจากข้างในดังปึง ชายกำยำสี่คนลอยหวือออกมา แต่ละคนล้มลงที่หัวถนน ห่างจากใต้เท้าจี้หยวนสองฉื่อพอดิบพอดี

“โอ้ย…โอ้ย…”

“ซี้ด…เจ็บจะตายแล้ว…”

สี่คนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จากนั้นมีชายร่างใหญ่และชายศีรษะล้านลอยออกมาจากข้างในอีก ทั้งหมดล้มลงบนพื้นแล้วร้องโอดโอย

“หน้าด้านนัก เห็นข้าเป็นดินเหนียวหรือไร รนหาที่ตายแท้ๆ!”

เสียงทรงพลังนี้ดังสะเทือนฟ้า จี้หยวนฟังแล้วชะงักไปเช่นกัน ไม่เหมือนจิ้นซิ่วที่เขารู้จักโดยสิ้นเชิง เห็นทีที่นี่ก็มีผลลัพธ์แล้วเช่นกัน

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด