เซียนหมากข้ามมิติ 534 หนวกหู
ตอนที่ 534 หนวกหู
……….
เสียงจากหอใจงามไม่เพียงดึงดูดความสนใจของจี้หยวน คนโดยรอบล้วนไม่มีใครหูหนวกตาบอด ถูกดึงดูดความสนใจกันทั้งหมดเช่นกัน ไม่นานนักที่หน้าหอก็มีคนรวมกลุ่มกันเยอะมาก ต่างคนต่างชี้ไปบนพื้นและในหอ สอบถามและพูดคุยกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ผ่านไปสักพักหนึ่ง จิ้นซิ่วเดินออกมาข้างนอกก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยพวกอาเจ๋อที่มีสีหน้าเลื่อมใส ตรงกลางสี่คนมีเด็กสาวน้ำตาเปื้อนใบหน้าอยู่คนหนึ่ง
จิ้นซิ่วในตอนนี้น่าเกรงขามมาก เชิดหน้าก้าวเดินออกมาอย่างมั่นคง บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยโทสะ เดิมทีน่าจะยังไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ประกอบกับสถานการณ์ข้างนอกหอใจงามก็มีแรงโน้มน้าวมากทีเดียว
คนในหอใจงามไม่ว่าแขกหรือผู้จัดการพากันหลบไปชั้นบน ด้วยกลัวว่าจะกระตุ้นโทสะของดาวร้ายกลุ่มนี้เข้า ดังนั้นพวกจิ้นซิ่วออกมาข้างนอกได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง
จิ้นซิ่วหันไปมองแม่เล้าที่หวาดกลัวมากจนซ่อนตัวอยู่ข้างอาคารเหมือนนกกระทา ครั้นส่งเสียง ‘หึ’ แล้วค่อยก้าวออกจากหอใจงาม หันศีรษะกลับมาแล้วสิ่งที่เห็นสิ่งแรกนอกจากคนที่ร้องโอดโอยอยู่เต็มพื้น ก็คือกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ไปจนถึงจี้หยวนที่ยืนค่อนมาข้างหน้าท่ามกลางกลุ่มคน
ทันทีที่เห็นจี้หยวน อารมณ์หยิ่งทะนงของจิ้นซิ่วหายไปทันเหมือนกับลูกบอลถูกปล่อยลม นางหดคอเล็กน้อย ย่างก้าวก็สั้นลงเช่นกัน เดินออกไปข้างนอกหอใจงามอย่างระมัดระวัง จากนั้นคารวะจี้หยวนครั้งหนึ่ง
“ท่านจี้…เอ่อ เรื่องนี้ข้าไม่ผิด เป็น เป็นอันธพาลพวกนั้นเลวร้ายเกินไป ก่อนข้าเข้าหอใจงามได้ยินว่าไถ่ตัวเด็กสาวคนหนึ่งต้องใช้เงินสิบตำลึงเงิน หากแพงหน่อยก็ไม่ถึงยี่สิบตำลึง ข้ามอบทองแท่งให้แล้วพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยคน พูดตามเหตุตามผลกับพวกเขาอยู่ตั้งนาน ทว่าน่าโมโหนัก…”
จิ้นซิ่วพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ เช่นกัน
“ท่านจี้ อย่ากล่าวโทษพี่จิ้นเลย เป็นพวกเขาต่างหากที่ไม่ดี!”
“ใช่ ไม่ใช่ความผิดของพี่จิ้น พวกเขาอยาลงไม้ลงมือกับพี่จิ้นด้วย อาเจ๋อจึงวิวาทกับพวกเขา จากนั้นพวกข้าร่วมด้วย พี่จิ้นถึงได้ลงมือ!”
“ใช่ท่านจี้ กล่าวโทษพี่จิ้นไม่ได้…หากจะกล่าวโทษก็กล่าวโทษพวกข้าเถอะ ไม่ใช่สิ ที่จริงแล้วเป็นความผิดของคนชั่วกลุ่มนั้น!”
พวกอาเจ๋อพากันขอความเห็นใจหรือยอมรับผิด ฝ่ายจี้หยวนไม่ดุพวกเขาอยู่แล้ว ด้วยรู้อยู่แล้วว่าคนที่หอใจงามต้องมีปัญหาแน่ หากเทียบกันแล้ว จี้หยวนกังวลเรื่องการใช้จ่ายที่มากเกินไปของจิ้นซิ่วมากกว่า การมอบทองแท่งหนึ่งแท่งไปตรงๆ เท่ากับว่าไม่คิดช่วยเขาคนแซ่จี้ประหยัดเงินเลย
จี้หยวนยังไม่ได้พูดอะไร ชายศีรษะล้านบนพื้นตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้ว แม่เล้าในหอออกมาแล้วเช่นกัน
เมื่อครู่นี้จิ้นซิ่วเกรี้ยวกราด พวกเขากลัวกันหมด แต่ตอนนี้มีบุรุษท่าทางสง่างามมาที่นี่ นิสัยรังแกคนดีกลัวคนแข็งแกร่งกลับมาอีกครั้ง แม่เล้าในหอถือผ้าเช็ดหน้า ชี้บนพื้นแล้วชี้จี้หยวนพลางเดินออกมาจากข้างใน
“ดูสิดู ทุกคนดูสิ มีคนมาแล้วไม้แยกแยะถูกผิดแล้วทำลายหอของพวกข้าไม่ว่า ยังชิงตัวแม่นางของหอพวกข้าไปอีก เมืองหลวงแห่งนี้ยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่ เจ้าเป็นผู้อาวุโของพวกเขากระมัง คนพวกนี้ทำเรื่องชั่วช้ากลางวันแสกๆ ชิงตัวสาวชาวบ้านแล้วยังลงมือทำร้ายคน เจ้าเป็นผู้อาวุโสหรือไม่ข้าไม่สน ข้าจะไปรายงานเรื่องของพวกเจ้ากับทางการ!”
ชายศีรษะล้านผู้นั้นเช็ดเลือดที่มุมปาก เอ่ยอย่างเคืองแค้นเช่นกัน
“ไม่ว่าอย่างไรท่านผู้นี้ก็ต้องอธิบายกับพวกเรากระมัง แม้พวกเราเปิดกิจการหอนางโลม ทว่าก็ทำกิจการอย่างถูกกฎหมาย มีชื่อเสียงที่ดีในท้องที่นี้เสมอมา พฤติกรรมวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง”
ตอนนี้รอบๆ มีคนอยู่มากมาย กอปรกับจิ้นซิ่วก้มหน้าพูดจาต่อหน้าจี้หยวน ไม่กล้าส่งเสียงดังหรือมีท่าทางแข็งกร้าว ความดุร้ายจากความเย่อหยิ่งของแม่เล้าสาวคุกรุ่นขึ้นมา เดินตรงไปถึงตรงหน้าจี้หยวน
“แม่นางในหอของข้าล้วนได้รับการฝึกฝนอย่างดี จะซื้อขายย่อมต้องได้ราคาสูง สิ่งที่กินของมีแต่ของดีๆ ได้เรียนดีดฉิน เล่นหมาก และวาดภาพ ทุกวันทุกเดือนผลาญเงินไปมากมาย ข้าได้รับทองแท่งเล็กๆ แบบนี้จะไปพอได้อย่างไร ตั้งนานแล้วยังไม่ได้รับแขกก็จะรับคนไปแล้วหรือ หน้าด้านเกินไปแล้ว เรื่องวันนี้ยังไม่จบ ต้องอธิบายกับข้า…”
แม่เล้ามองอานีที่ถูกคุ้มกันอยู่ตรงกลางโดยเด็กหนุ่มสี่คน จากนั้นมองจิ้นซิ่วที่กำลังก้มหน้า ส่งเสียง ‘จิ๊ๆ’ สองเสียงแล้วพูดอย่างได้ใจ
“ถ้าเอาตามที่ข้าว่า แม่นางผู้นี้ต้องมาทำงานแทนสองวัน เช่นนั้นข้าไม่ยอมคืนเสี่ยวนีจื่อให้พวกเจ้าแน่!”
แม่เล้ารู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรับปากเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาพูดกระทบผู้อื่นแล้ว คำพูดของนางทำให้ผู้อื่นโมโห ทำให้แม่นางผู้นั้นหน้าแดงหูแดงไม่กล้าเงยหน้า นี่คือสิ่งที่นางถนัดที่สุด
“เอาอย่างไร ท่านผู้นี้…”
แม่เล้าพูดไปพลาง เลื่อนสายตาไปทางจิ้นซิ่วไปพลาง ตอนมองไปทางจี้หยวนนั้น ในดวงตานางมีหลังมือข้างหนึ่งฟาดลงมา ทำเอานางตั้งตัวไม่ทัน
เพียะ…
ร่างแม่เล้ากระเด็นไปไกลสี่ฟ้าจั้ง ลอยเข้าไปในหอใจงาม กระแทกโต๊ะเก้าอี้ดังโครมครามวุ่นวายไปหมด จากนั้นฟันเปื้อนเลือดสี่ห้าซี่ทำมุมโค้งบนอากาศก่อนกลิ้งตกลงบนพื้น
จี้หยวนเอ่ยเสียงทุ้มหลังตบหน้านาง จากนั้นมองไปทางชายศีรษะล้านอย่างเย็นชา คนผู้นี้คือเจ้าของหอใจงาม ดวงตาสีเทาเหมือนมองทะลุผ่านใจคน คล้ายกำลังผ่าสายฟ้าลงบนหัวใจคนผู้นั้น
เปรี้ยง…
เสียงสายฟ้าเหมือนผ่าลงที่จิตวิญญาณ ชายศีรษะล้านก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นทันที หน้าซีดเผือดเหงื่อกาฬไหลริน
จี้หยวนไม่ได้พูดอะไรมาก มองไปทางจิ้นซิ่วและพวกอาเจ๋อที่อ้าปากตาค้าง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า
“เอาล่ะ จบเรื่องแล้ว ไปกันเถอะ”
พูดจบแล้วจี้หยวนสะบัดเสื้อแขนกว้างหมุนกายจากไป ผู้คนรอบข้างแหวกทางออกไปกว้างๆ แม้แต่จะพูดคุยกันก็ไม่กล้า ความน่าเกรงขามพริบตานั้นของจี้หยวนมาเร็วดุจสายฟ้าฟาด ไหนเลยจะมีใครกล้าออกหน้า
จิ้นซิ่วหัวใจเต้นเร็วมาก มองพวกอาเจ๋อที่ยังคงอึ้งงัน จากนั้นนางรีบพูดว่า
“อย่ามัวอึ้ง ท่านจี้ไปแล้ว รีบตามไปเร็ว!”
“เอ่อ ได้ๆ!”
“เอ้อๆๆ!”
“ไปๆๆ!”
คราวนี้หกคนถึงรีบตามย่างก้าวของจี้หยวนจากไป กลุ่มคนรอบๆ ไม่กล้าเข้าไปขวางเช่นกัน จนกระทั่งพวกเขาไปแล้วถึงกล้ารวมกลุ่มข้างนอกหอใจงามอีกครั้ง เริ่มสนทนากันขึ้นมา ฝ่ายชายศีรษะล้านนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นตลอด ตั้งนานแล้วก็ไม่กล้าลุกขึ้น
…
จี้หยวนกับจิ้นซิ่วตัดสินใจไปจากโลกเบื้องล่างของถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอด อาเจ๋อไม่อาจอยู่ต่อเช่นกัน ส่วนพวกอาหลงก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่เช่นกัน จึงจำต้องหาที่ลงหลักปักฐานให้พวกเขา
พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแขกสำราญได้วันเดียวพวกเขาก็ออกจากเมืองหลวงไป เดินทางร้อยลี้ไปทางตะวันออก หาเมืองเล็กๆ พักผ่อน
จี้หยวนกวาดสายตามองฮวงจุ้ยของเมืองนี้ จากนั้นหาสถานที่ที่เหมาะสม ใช้ทองสิบตำลึงซื้อโรงเตี๊ยมที่กิจการไม่ค่อยดีนัก อันเป็นต้นทุนให้พวกอาหลงทำงานหาเลี้ยงชีพต่อไป
ก่อนหน้านี้พวกอาหลงทำงานอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองตูหยางได้สองปี เรียนรู้งานที่จำเป็นต้องทำให้โรงเตี๊ยมทั้งหมดแล้ว ขาดก็แต่การลงบัญชีคิดบัญชี และนั่นเป็นหน้าที่ของอานี
มีโรงเตี๊ยมของตนเองแล้ว พวกอาหลงต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง สหายห้าคนที่เดิมทีขึ้นเขาด้วยกันต่างก็ช่วยกันเก็บกวาดโรงเตี๊ยม ยุ่งมากทว่ามีความสุข
ตอนนี้บุรุษอย่างพวกอาเจ๋อกำลังจัดการมูลม้าในคอกม้า มูลนั้นกองพะเนินเป็นภูเขา เจ้าของโรงเตี๊ยมคนเก่ามอบม้าแก่ผอมกะหร่องตัวหนึ่งให้พวกเขาด้วย แม้กลิ่นเหม็นฉุนมาก แต่ทั้งสี่คนกลับไม่รังเกียจสักนิด
“โรงเตี๊ยมนี้สกปรกนัก!”
“ฮ่าๆๆ จริงของเจ้า เจ้าของเดิมไม่รู้จักทำความสะอาดเลย!”
อานียกกาน้ำเข้ามา ได้ยินแล้วหัวเราะคิกคักเช่นกัน
“แต่โรงเตี๊ยมนี้แข็งแรงดี มีพื้นที่ไม่น้อย แค่สกปรกเท่านั้น หลังพวกเราเก็บกวาดทำความสะอาดแล้วต้องเหมือนโรงเตี๊ยมใหม่อย่างแน่นอน!”
“โอ้ อานีพูดจาไพเราะเช่นนี้เป็นด้วย!”
“อืม อานีสุดยอด!”
“ฮ่าๆ ต้องเรียกข้าว่าหลงจู๊แล้ว!”
“อืมๆ หลงจู๊สุดยอด!”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
“คิกๆๆ…”
อานีหัวเราะพลางส่งกาน้ำให้อาเจ๋อ ฝ่ายหลังหัวเราะเบาๆ แล้วยกกาน้ำขึ้นดื่มก่อนส่งให้พวกอาหลง ทั้งกลุ่มแบ่งกันดื่ม ไม่รังเกียจอีกฝ่ายเลย
“พี่อาเจ๋อ พี่จิ้นซิ่วเป็นเทพเซียนหรือ”
คำถามของอานีทำให้อาเจ๋อตอบยากอยู่บ้าง หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า เขาต้องตอบว่าใช้ แต่หลังจากคุ้นเคยกับจี้หยวนและจิ้นซิ่วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เพียงแต่เขาเคารพสตรีที่ตนเองนับว่าเป็นพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง จะบอกว่าไม่ใช่จึงรู้สึกว่าไม่ถูกต้องเช่นกัน
“พี่อาเจ๋อ ท่านจี้เป็นเทพเซียนใช่หรือไม่”
คราวนี้อาเจ๋อไม่รู้สึกลำบากใจ
เดิมทีอาเจ๋ออยากเพิ่มว่า ‘เป็นเทพเซียนที่สุดยอดที่สุดในฟ้าดินภายนอกด้วย’ แต่นึกได้ว่าพวกอานีใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าดีกว่า อีกทั้งไม่จำเป็นต้องทำให้นางสนใจเรื่องอื่น
ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว อาหลงพลันหน้าแดง เข้าใกล้อาเจ๋ออย่างเขินๆ อยู่บ้าง
“อาเจ๋อ เช่นนั้นพี่จิ้นเล่า นางงดงามเหมือนกับเซียน…เจ้าว่าหากข้า…”
แค่อาหลงอ้าปาก อาเจ๋อก็รู้แล้วว่าเขาคิดพูดอะไร จึงเอ่ยอย่างหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกว่า
“อย่าเลยอาหลง เซียนกับมนุษย์แตกต่างกันเป็นเรื่องหนึ่ง ยังมีเรื่องบางเรื่องที่พี่จิ้นไม่ให้ข้าพูด แต่ข้าขอบอกเจ้าก็แล้วกัน พี่จิ้นอายุมากกว่าบิดาเจ้าเสียอีก เจ้าอย่าคิดเลย เดิมทีตอนข้ารู้เรื่องนี้คิดอยากเรียกนางว่าท่านน้าจิ้น เกือบถูกนางตีตายแน่ะ…”
อาเจ๋อนึกถึงเรื่องบนเขาก่อนหน้านี้ ยังคงมีความรู้สึกกังวลจนเหงื่อออก ตอนนี้พูดออกมาแล้วหวาดกลัวนัก มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เห็นจิ้นซิ่วไม่ได้โผล่เข้ามากะทันหันก็ถอนใจโล่งอก
“เอ๋!?”
“ไม่ใช่กระมัง!?”
“นี่ๆ เห็นแก่ชีวิตของจ้า พวกเจ้าอย่าไปเที่ยวพูดเชียวนะ!”
“อ้อๆ รู้แล้ว!”
“เอาล่ะๆ…แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือ ข้าไปถามให้แน่ใจกับพี่จิ้นได้หรือไม่…”
“เจ้าไม่รักชีวิตแล้วสินะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
“คิกๆๆๆ…”
…
เสียงหัวเราะจากลานหลังดังมาถึงหูของจี้หยวนที่อยู่หน้าโต๊ะในโถงหน้า เขากำลังพลิกอ่านตำราวิวัฒน์ฟ้าดินพลางเผยรอยยิ้มจางเพราะสุขใจเช่นกัน จากนั้นเขาปิดตำรา พลิกมือแล้วพู่กันขนหมาป่าปรากฏขึ้น
ยังไม่ทันแต้มหมึก ปลายพู่กันขนหมาป่าเปื้อนสีดำขลับและส่งกลิ่นหมึกแล้ว จี้หยวนจับพู่กันจรดลงบนเสาตรงศูนย์กลางแล้วเขียนตัวอักษร ซึ่งก็คือ ‘สุขสงบอุดมสมบูรณ์ ความชั่วร้ายทั้งหลายไม่กล้ำกราย’
ตัวอักษรบนเสาคงอยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจ สุดท้ายเรืองแสงเล็กน้อยก่อนจางหายไป
จิ้นซิ่วที่ถือถุงผ้าป่านซื้อผักในตลาดไกลๆ จามติดต่อกันหลายครั้ง พร้อมกันนั้นครุ่นคิดขมวดคิ้วไม่คลาย ด้วยสงสัยว่ามีใครนินทาตนลับหลังหรือไม่
……….
Comments