เซียนหมากข้ามมิติ 535 ยึดมั่น
ตอนที่ 535 ยึดมั่น
……….
ทำความสะอาดโรงเตี๊ยมทั้งหลังนั้นใช้เวลาสามวันเต็มๆ จี้หยวนกับจิ้นซิ่วล้วนมีพลังสำแดงวิชาทำความสะอาดโรงเตี๊ยมจนเสร็จสิ้นได้ภายในเวลาอันสั้น แต่ไม่มีใครทำเช่นนั้น เพื่อให้พวกอาหลงคุ้นชินกับโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ทำให้ทุกคนมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
แต่ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา สุดท้ายก็ต้องแยกจากกัน ด้วยสภาวะของอาเจ๋อ ต่อให้จี้หยวนจงใจอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ เขาเก้ายอดกลับไม่มีทางอนุญาต
เย็นวันที่สามทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกินอาหารเย็นด้วยกัน วันที่สี่ทุกคนล้วนตื่นเช้า แม้แต่จี้หยวนที่ตลอดสามวันมานี้นอนขี้เกียจจนเย็นย่ำก็ตื่นเช้าเช่นกัน
อาหลงกับพี่น้องอากู่ใกล้ถึงวัยสวมกวาน ทว่าเพราะร่างกายล่ำสัน ท่าทางเหมือนกับบุรุษอายุยี่สิบกว่าปี อย่างน้อยไม่มีทางทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นเด็กชายเปิดกิจการโรงเตี๊ยม
ยิ่งนักดนตรีเริ่มดีดพิณร้องเพลง คนที่มุงเข้ามาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายวันมานี้คนจากบริเวณใกล้เคียงรู้ว่าโรงเตี๊ยมนั้นต้องเปลี่ยนเจ้าของเปิดกิจการใหม่แล้วอย่างแน่นอน อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เจ้าของคนเก่าเกียจคร้านนิสัยไม่ดีอย่างไรใครๆ ล้วนรู้ ทว่าสองสามวันนี้ทั้งภายในและนอกโรงเตี๊ยมถูกเก็บกวาดทำความสะอาดจนเหมือนใหม่ โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่แนวทางของเจ้าของคนเก่าเลย
ปัง…ปัง…
ปัง…ปัง…
ปังๆๆๆๆ….
เสียงเตะสองครั้งและเสียงประทัดดังขึ้น ความคึกคักที่ควรมีไม่ขาดหายไปเลยแม้แต่น้อย เมื่อเสียงประทัดผ่านไป ดนตรีพิธีกรรมหยุดลงช่วงสั้นๆ อาหลงยืนอยู่ข้างหน้าสุด มองกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ด้วยความกังวลเล็กน้อย จากนั้นรวบรวมความกล้าพูดเสียงดัง
“ทุกท่าน วันนี้โรงเตี๊ยมเขาทักษิณเปิดกิจการแล้ว เสนอห้องพักอาหารรสเลิศให้เหมือนกับโรงเตี๊ยมอื่นๆ หวังว่าทุกท่านจะนำไปบอกต่อๆ กัน!”
พอเขาพูดจบแล้ว ต้ากู่เสี่ยวกู่ทางนั้นช่วยกันปลดผ้าแดงสองผืนลงจากประตูหน้า เผยให้เห็นป้ายชื่อใหม่และโคมขนาดใหญ่แถวหนึ่ง
บนป้ายชื่อเขียนไว้ว่า ‘โรงเตี๊ยมเขาทักษิณ’ ไม่ได้ชุบทองหรือตัดขอบ เป็นเพียงแผ่นไม้ขนาดใหญ่ธรรมดา ทว่าจี้หยวนเขียนตัวอักษรให้ ทำให้ผู้มุงดูเห็นป้ายชื่อนี้แล้วรู้สึกว่างดงามยิ่ง บนโคมหลายดวงก็เป็นเช่นนั้น ด้านอกของทุกดวงล้วนเขียนตัวอักษรหนึ่งเอาไว้ เมื่อเรียงกันแล้วเป็นคำว่าโรงเตี๊ยมเขาทักษิณ
พวกอาหลงยืนอยู่ด้วยกัน รอประสานมือให้กลุ่มคน คนโดยรอบกล่าวอวยพรตามมารยาท อย่างไรเสียก็มีโรงเตี๊ยมที่เข้าท่าเข้าทีเพิ่มขึ้นมาแห่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีและอำนวยความสะดวกให้คนเดินทางได้ด้วย
จี้หยวนนำอาเจ๋อและจิ้นซิ่วบอกลาจากไปหลังจากนั้น ตอนจากกันทุกคนยิ้มแย้ม ไม่ได้ดูเจ็บปวดเพราะต้องจากกันไปเลยสักนิด
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อกว่า พวกอาเจ๋ออยู่นอกเมืองแล้วถึงหลั่งน้ำตาอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง จี้หยวนไม่ได้พูดอะไร เพียงพาทั้งสองคนเหาะขึ้นฟ้าไปทางเขาเก้ายอด
สิ่งที่ปะทะหน้าคือลมบริสุทธิ์ในอากาศ ไกลออกไปคือทิวทัศน์เขียวชอุ่ม ครั้นผ่านเมฆหมอกหนาแล้ว อาเจ๋อมองเห็นยอดเขาเก้าค้ำฟ้าอีกครั้ง พวกเขาสามคนไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง ขณะนี้อาเจ๋อมองจี้หยวนที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้อยู่บ้าง
“ท่านจี้ เซียนเขาเก้ายอดจะถ่ายทอดวิชาเซียนให้ข้าหรือไม่”
จี้หยวนมองเขาแล้วพยักหน้า
“นับว่าใช่กระมัง แต่ตอนนี้ถ่ายทอดวิชาไม่ถ่ายทอดทักษะ ฝึกปราณบ่มเพราะพลังเป็นหลัก”
จิ้นซิ่วที่อยู่ข้างๆ อ้าปากทว่าไม่พูดอะไร นางในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนเพิ่งขึ้นเขาเก้ายอด รู้เรื่องบางเรื่องของอาเจ๋อแล้ว แต่ไม่อาจพูดออกมาโดยง่ายเช่นกัน ด้วยกลัวว่าจะเป็นการจู่โจมอาเจ๋อ
อาเจ๋อกำหมัด รวบรวมความกล้าถามจี้หยวนอีกครั้ง
“ท่านจี้ ท่านรับข้าเป็นศิษย์ได้หรือไม่”
จี้หยวนยิ้ม
“คนอยากเป็นศิษย์ข้าคนแซ่จี้ไม่น้อย คนได้เป็นศิษย์ข้าคนแซ่จี้กลับไม่มาก บางครั้งข้าคนแซ่จี้ปฏิเสธจะบอกว่าข้าไม่รับศิษย์ ความจริงแล้วค่อนข้างเรื่องมากในการรับศิษย์ เจ้ากับข้าแม้มีวาสนาต่อกัน แต่กลับไม่ใช่วาสนาของอาจารย์กับศิษย์”
จี้หยวนมองไปทางยอดเขายักษ์เก้ายอดที่อยู่ไกลๆ
“ที่จริงความสามารถในการสั่งสอนคนถ่ายทอดวิชาเซียนของเขาเก้ายอดเหนือชั้นกว่าข้าคนแซ่จี้ คนธรรมดาก็ดี หรือคนมีพรสวรรค์ก็ช่าง ได้เริ่มเรียนที่เขาเก้ายอดเหมาะสมยิ่งกว่าอย่างแน่นอน มีคัมภีร์มรรคให้ค้นคว้ามากมาย และมีผู้อาวุโสในสำนักให้สอบถามมากมายเช่นกัน”
อาเจ๋อก้มหน้าไม่พูดจา จี้หยวนเลิกยิ้มก่อนถามเขา
“ข้าขอถามเจ้า เหตุใดเจ้าอยากกราบข้าคนแซ่จี้เป็นอาจารย์”
อาเจ๋อเงยหน้าตอบทันที
“เอ๋?”
จี้หยวนยิ้มอีกครั้ง จากนั้นมองจิ้นซิ่วที่อยู่ข้างๆ
“พี่จิ้นไม่ดีกับเจ้าหรือ นางไม่อ่อนโยนไม่มีมารยาทหรือ ไม่เหมือนเซียนหรืออย่างไรกัน เหตุใดเจ้าไม่อยากกราบนางเป็นอาจารย์”
อาเจ๋อชะงักไป เขามองจิ้นซิ่วที่แปลกใจเล็กๆ อยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าควรตอบจี้หยวนอย่างไร เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่จี้หยวนพูดแบบนี้กับเขา เขากลับไม่มีเหตุผลโต้แย้ง
ผ่านไปนานมาก อาเจ๋อค่อยเค้นคำพูดออกมา
“เอ่อ ข้าควรตอบแทนบุญคุณท่านจี้อย่างไร”
จี้หยวนที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆหันกายมา ใบหน้าเรียบเฉย ทว่ามองอาเจ๋ออย่างจริงจังยิ่ง
“หากมีสักวันมารฝังรากลึกกับเจ้าจริง คิดดูสิว่าข้าจะมองเจ้าอย่างไร นั่นนับเป็นวิธีตอบแทนข้าแล้ว”
คำกล่าวของจี้หยวนที่ว่า ‘คิดดูสิว่าข้าจะมองเจ้าอย่างไร’ เหมือนกับดังสะท้อนอยู่ในใจอาเจ๋ออย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้จดจำดวงตาที่เหมือนกับจันทร์กระจ่างของจี้หยวนได้ขึ้นใจ
จู่ๆ อาเจ๋อเหมือนกับตื่นรู้อะไรบางอย่าง เขาเหยียดสองแขนประสานมือให้จี้หยวน โค้งกายเป็นการคารวะ
“จวงเจ๋อจะจดจำไว้ ขอบคุณท่านจี้ที่ชี้แนะ!”
จี้หยวนยื่นมือไปตบไหล่เขา
“จำไว้ก็ดีแล้ว”
…
ภายในชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น ศาลหลักเมืองมากมายในถ้ำสวรรค์เก้ายอดล้วนเกิดเหตุการณ์เกราะรูปปั้นเทพพังทลาย ทำให้ชาวบ้านที่มาจุดธูปตื่นตกใจไม่น้อย สร้างความวุ่นวายให้โลหมรรคเทพถ้ำสวรรค์เก้ายอดยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน ทุกอย่างในโลกถ้ำสวรรค์ถึงค่อยสงบลง
ภายในถ้ำสวรรค์เก้ายอดเกิดเรื่องพรรค์นี้ ทั้งเขาเก้ายอดล้วนรู้สึกเสียหน้า แม้มีคนนอกอย่างจี้หยวนรู้เพียงคนเดียว แต่ความสำคัญของจี้หยวนมากมายยิ่งกว่าผู้ฝึกเซียนนับพันหมื่น ในสถานการณ์แบบนี้ จี้หยวนทำความเข้าใจผลลัพธ์แล้วไม่อยู่ต่อนาน บอกลาผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดทั้งหลาย
กฎเกณฑ์ฟ้าดินถ้ำสวรรค์เก้ายอดเปลี่ยนไปแล้ว แม้ในเขาเก้ายอดมีผู้ฝึกปราณคิดว่าอยู่แบบเดิมต่อไปได้ ขอเพียงเว้นระยะสักช่วงแล้วไปลาดตระเวนให้มากหน่อยก็พอ ทว่าทำเช่นนี้ขัดต่อสวรรค์จึงถูกปฏิเสธ
แต่เขาเก้ายอดปล่อยวางโดยสิ้นเชิงไม่ได้ หลังจากหารือกันอยู่หลายวัน สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงภายในถ้ำสวรรค์ก็คือส่วนใหญ่เหมือนฟ้าดินภายนอก แทรกแซงฟื้นคืนคำสั่งมรรคเทพเอง แต่การไหลของเวลาในถ้ำสวรรค์เร็วกว่าหน่อย เร็วเป็นสองเท่าของฟ้าดินภายนอก
จี้หยวนรู้ผลลัพธ์นี้แล้วไม่ได้ออกความเห็น แต่เขาเชื่อว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่เขาเก้ายอดใคร่ครวญแล้ว เขาเป็นคนนอก ไม่อาจฝืนสอดมือจัดแจงให้เขาเก้ายอดทำแบบนั้นแบบนี้ได้
ก่อนจี้หยวนไป นอกจากบอกลาเจ้าสักนักเขาเก้ายอดแล้ว ยังไปที่เรือนหน้าผาที่อาเจ๋ออยู่ด้วย ครั้งนี้เจ้าสำนักเขาเก้ายอดไปพร้อมกับจี้หยวน
สองคนเห็นอาเจ๋อนั่งอยู่บนหน้าผาลิบๆ ตอนแรกเขานั่งอยู่ริมหน้าตาไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้นั่งใกล้หน้าผามากกว่าเดิม หัวเข่าอยู่ในแนวระราบเดียวกับหน้าผา
จี้หยวนกับจ้าวอวี้ร่อนลงที่ริมหน้าผา ครั้นได้ยินเสียงของพวกเขา อาเจ๋อหันศีรษะมองพวกเขาทันที ชัดเจนว่าการฝึกปราณก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าขั้นอย่างแท้จริง เขาเห็นว่าเป็นจี้หยวนกับจ้าวอวี้ก็ลุกขึ้นยืน คารวะทักทายทั้งสองคน
“จวงเจ๋อคารวะท่านจี้ คารวะเซียนเจ้าสำนัก!”
อย่างไรเซียนจ้าวอวี้ก็เป็นผู้สูงส่งแท้จริง อีกทั้งเป็นคนใจกว้างมาก เขาไม่มีความเห็นใดต่อการที่ศิษย์สำนักตนเองกล่าวทักทายจี้หยวนก่อน จวงเจ๋อมีทัศนคติที่ถูกต้องเช่นนี้นับว่าไม่เลวแล้ว
จี้หยวนมองจวงเจ๋อ
“เข้าใกล้หน้าผาขนาดนั้นเชียวหรือ”
“อืม มองแบบนี้แล้วมองเห็นเหวข้างล่างได้”
คำตอบของจวงเจ๋อทำให้จ้าวอวี้พยักหน้าน้อยๆ จี้หยวนไม่ได้พูดอะไร เพียงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้จวงเจ๋อ ฝ่ายหลังรับไว้ด้วยสองมือ เมื่อคลี่ออกดูบนว่าบนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ตั้งมั่นทำใจให้บริสุทธิ์’
“ไม่ใช่ของดีอะไร แต่เป็นบัญชาธรรมดาแผ่นหนึ่ง จำไว้ก็พอแล้ว”
นี่ไม่ใช่เวทอัศจรรย์อะไรจริงๆ เป็นแค่บัญชาแผ่นหนึ่ง หากมารมาจากด้านนอกจะมีวิชาและสิ่งของป้องกันใจ หากเกิดมารขึ้นในใจ พลังงานภายนอกทำได้เพียงส่งผลกระทบถึง สุดท้ายต้องพึ่งตนเอง
“ขอบคุณท่านจี้!”
“ท่านจี้จะไปแล้วหรือ”
“ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอด ยิ่งมีธุระของตนเองต้องไปจัดการ ไม่อาจเกียจคร้านอยู่ที่นี่ตลอดได้กระมัง อย่าเสียใจไปเลย ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเราฝึกฝนมรรคเพื่อตื่นรู้ แม้ท้องฟ้ากว้างใหญ่ แต่ต้องมีสักวันที่ได้พบกันอีกครั้ง”
อาเจ๋อมองไปยังทางเดินเล็กๆ
“วันนี้พี่จิ้นยังไม่มาเลย ท่านจี้จะรอนางก่อนหรือไม่”
“เอ่อ ไม่รอแล้ว เจ้าฝากบอกนางแทนข้าที ข้าจะไปแล้ว มีเจ้าสักนักจ้าวไปส่งข้าก็พอ”
จ้าวอวี้ยิ้มและพยักหน้าอยู่ข้างๆ
“ตั้งใจฝึกฝน อย่าได้ทำให้ท่านจี้ผิดหวัง”
จี้หยวนยิ้มและกล่าวเสริม
“อย่าได้ทำให้เขาเก้ายอดผิดหวัง”
พูดจบแล้วจี้หยวนกับจ้าวอวี้สบตาและยิ้มให้ก่อน จากนั้นเหยียบเมฆจากไป ฝ่ายอาเจ๋อยืนมองอยู่ริมผาจนกระทั่งมองไม่เห็นเมฆก้อนนั้นแล้ว
มีสคุณสมบัติให้เจ้าสักนักเขาเก้ายอดมาส่งด้วยตนเอง จี้หยวนนับว่ามีเกียรติอย่างยิ่งยวด จ้าวอวี้ไม่ได้ส่งจี้หยวนออกจากเขาเก้ายอดแล้วจากไป ทว่าไปส่งถึงท่าเรือเขาพิณพระจันทร์ ส่งจี้หยวนขึ้นเรือเหาะข้ามท่าของเขาเก้ายอด
เรือลำนี้เดิมทีไม่ควรอยู่ที่นี่ เพื่อให้จี้หยวนโดยสารเพียงลำพังแล้วจึงเปลี่ยนเส้นทางโดยเฉพาะ สามวันก่อนหน้านี้รีบกลับท่าเรือเขาพิณพระจันทร์เพื่อคอยท่า แน่นอนว่านอกจากผู้ว่าสองท่านของเขาเก้ายอดบนเรือแล้ว ผู้โดยสารคนอื่นและคนที่อาศัยอยู่บนเรือต่างก็ไม่รู้เรื่องการเปลี่ยนเส้นทาง
หลังจากเรือเหาะออกเดินทาง เมื่อมองท่าเรือเขาพิณพระจันทร์ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ไปจนถึงเขาเก้ายอดที่เหมือนกับอาคารขนาดใหญ่ ความคิดของจี้หยวนราวกับล่องลอยเข้าไปในถ้ำสวรรค์ มือขวาในแขนเสื้อกำตัวหมากใหม่ในตอนนี้
ตัวหมากนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นตอนนี้ แต่เกิดขึ้นตอนที่พาอาเจ๋อจากถ้ำสวรรค์กลับสู่เขาเก้ายอด และตอนที่เขาพูดว่า ‘คิดดูสิว่าข้าจะมองเจ้าอย่างไร’ จากนั้นจวงเจ๋อเลื่อมใสเขาอย่างจริงจัง
จี้หยวนสัมผัสได้ว่าหมากตัวนี้จะปรากฏ แต่ในใจไม่หวังให้มันเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง
“มารล้วนมีความยึดมั่น…”
ครั้นทอดถอนใจแล้ว จี้หยวนออกจากกาบเรือ เดินเข้าไปในห้องพักของตนเองภายในห้องโดยสาร
……….
Comments