เซียนหมากข้ามมิติ 536 พบกันอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่ 536 พบกันอีกครั้งหนึ่ง
……….
ห้องพักของจี้หยวนบนเรือเหาะไม่นับว่าโอ่อ่ามาก ทว่าสงบเงียบนัก หลังจากเขากลับห้องหักแล้วก็อ่านตำราปรับตำราเป็นหลัก นอกจากตำราแปรสวรรค์อัศจรรย์ที่สำเร็จแล้ว ยังมีวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาด้วย
วิชาฟ้าดินอัศจรรย์และตำราแปรสวรรค์อัศจรรย์นั้นเรียกได้ว่าเกิดขึ้นจากการรวบรวมการฝึกปราณของจี้หยวนตั้งแต่ขั้นต้น เป็นความภาคภูมิใจในการฝึกวิชามากมาย และจี้หยวนรวบรวมมันเป็นผลงานได้จากการบรรลุการฝึกปราณ ต้องเหนื่อยหนักแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
บทแรกของวิชาฟ้าดินอัศจรรย์มีวิชาและเคล็ดวิชาที่จี้หยวนดัดแปลงจากมรรคพุทธ อย่างเช่นสามดัชนีสะท้านภูเขาที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งเคล็ดวิชาทำลาย ชั่งตวง ผนึก พันธนาการ และปลดปล่อยที่ไม่เคยใช้ แม้ว่าพื้นฐานของแรงบันดาลใจและวิวัฒนาการมาจากวิชามรรคพุทธตอนเสวนามรรคกับพระวิทยาราช แต่ความจริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง
เคล็ดวิชามรรคพุทธอาศัยพลังของตนเองและการรับรู้มรรคพุทธ ไปจนถึงบทสวดพุทธที่ทำลายปราการความชั่วร้าย แทนที่จะพูดว่าเป็นเคล็ดวิชาผสมผสาน มิสู้พูดว่าสองฝ่ายส่งเสริมกันและกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ใช้งานเดี่ยวๆ ได้ ทว่าผสมผสานกันแล้วยิ่งแข็งแกร่ง
เคล็ดวิชาของจี้หยวนไม่เหมือนกับเคล็ดวิชามรรคพุทธ ไม่มีมนต์คาถา และที่แตกต่างกันที่สุดอยู่ที่นอกจากความแข็งแกร่งอ่อนด้อยของพลังตนเอง ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการตื่นรู้และเปลี่ยนผันเขตแดนและอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง สองอย่างนี้เป็นหนึ่งในพื้นฐานของการฝึกวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ ส่วนสามดัชนีสะท้านภูเขาก็ต้องมีเจตของสามดัชนีครอบคลุมภูเขาเช่นกัน
ในบางระดับอาจพูดได้ว่าวิชาฝึกปราณที่จี้หยวนอนุมานขึ้นต้องอาศัยพรสวรรค์สูงมาก ทว่าจุดสนใจต่างจากสำนักเซียนฝึกปราณทั่วไป หากจวนเซียนทั่วไปให้ความสำคัญกับจิตใจและรากฐาน เช่นนั้นวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ก็ชักนำจิตใจเป็นหลัก แม้รากฐานของเจ้าไม่มีรากฐานของผู้ฝึกเซียน ฝึกฝนจนใจเกิดฟ้าดินได้นั้นยากอย่างยิ่งยวดแน่นอน แต่เรียนต่อไปได้ และยิ่งเวลาผ่านไป สัดส่วนของ ‘เจต’ จะมีอิทธิอย่างมากต่อขีดจำกัดบน
แต่สำหรับบทแรกของวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ พลังสำคัญกว่าวิชา วิวัฒน์ฟ้าดินอัศจรรย์เป็นรากฐานในรากฐาน เรียนเคล็ดวิชาได้ ทว่าทะลวงได้ไม่ลึกเท่าไหร่ จนเขียนบทส่งท้าย จี้หยวนหารือกับมังกรเฒ่า ขอทานชรา และคนอื่นๆ ยาวนานถึงหกปี สิ่งที่ได้จากการเสวนามรรคไม่นับว่าน้อย จี้หยวนเห็นการใช้งาน ‘พลัง’ ของขอทานชราและมังกรเฒ่านานแล้ว ยิ่งทำให้จี้หยวนเสริมความคิดของตนเองเข้าไปด้วย
ตอนที่เขียนถึงบทสรุปจึงก่อร่างเป็นวิชาและเคล็ดลับเคียงข้างกันไป นอกเสียจากจี้หยวนอาศัยตำรามรรคดั้งเดิมและวิชาดวงดาวที่ศึกษาร่วมกับฉินจื่อโจวไม่เปลี่ยนแปลง มีการเพิ่มเติมและปรับแต่งเคล็ดวิชาบทแรก รวมถึงวิชาอัศจรรย์รากฐานห้าธาตุจำนวนหนึ่ง ยิ่งเพิ่มเจตนาหลักของลำนำที่เคยร้องก่อนหน้านี้เข้าไปด้วย
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่ได้ใส่ทุกอย่างลงไป อย่างน้อยไม่เหมาะใส่ลงไปโดยสมบูรณ์ มีวิชาฟ้าดินอัศจรรย์และมีตำราอัศจรรย์แปลงฟ้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เพียงพอ
อย่างไรเสียตำราสวรรค์สองเล่มนี้มีความตั้งใจเต็มเปี่ยม จี้หยวนพูดได้ว่ายืนอยู่บนระดับความสำเร็จที่สูงมากแล้ว ทว่ายากเกินไปสำหรับผู้เรียนที่จะฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้น
ดังนั้นจี้หยวนกับฉินจื่อโจวล้วนคิดว่าศิษย์ทั่วไปที่เข้าอารามเขาเมฆาในตอนแรกควรเรียนตำรามรรค เรียนรู้ ‘วิชาฝึกปราณฝึกใจมนุษย์’ อันเป็นวิชาดั้งเดิมของพวกนักพรตชิงซงอย่างน้อยสามปี ถึงเริ่มเปิดอ่านวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ได้
มีตัวอักษรร้อยกว่าตัวคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ตอนจี้หยวนอนุมานตำราจึงวางใจลงได้เล็กน้อย ไม่ได้มีความกดดันต่อการเขียนบทสรุปของวิชาฟ้าดินอัศจรรย์แต่อย่างใด แน่นอนว่าโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นบทแรกที่จะทำให้เกิด ‘การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ’ จริงๆ
ตอนจี้หยวนเขียนบทสรุปของวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ เขาวางตำราแปรสวรรค์อัศจรรย์ไว้ด้านข้าง แทบพลิกอ่านอยู่ตลอดเวลา ตำราทั้งสองเล่มเกี่ยวข้องกัน นับว่าช่วยให้การอนุมานตำราของจี้หยวนราบรื่นยิ่งขึ้น
…
จี้หยวนเข้าไปในห้องพักภายในห้องโดยสารแล้วไม่ออกมา คนจากเขาเก้ายอดบนเรือเหาะย่อมไม่กล้าไปรบกวนเขา ส่วนเส้นทางของเรือเหาะเขาเก้ายอดแตกต่างจากจังหวัดเสวียนซินในตอนแรก เวลาแตกต่างกันอยู่บ้างเช่นกัน จี้หยวนจึงอยู่ในห้องพักหลายเดือนเต็มๆ ไม่ออกมา
วันนี้จี้หยวนเขียนรายละเอียดยิบย่อยบางอย่างในบทสุดท้ายของวิชาฟ้าดินอัศจรรย์เสร็จแล้ว ถึงนับว่าจบสภาวะเข้าฌานได้เสียที
จี้หยวนวางพู่กันลง สองมือชูขึ้นฟ้าเพื่อบิดขี้เกียจ เส้นเอ็นกระดูกทั่วร่างส่งเสียงกรอบแกรบชัดเจน ปากยังหาวออกมาอีกด้วย
“หะ…หาว…ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคนพวกนี้นั่งนิ่งไม่ขยับได้อย่างไรเป็นสิบกว่าปีหรือหลายสิบปี…”
จี้หยวนพึมพำ แขวะออกมาอย่างหาได้ยาก จากนั้นเขาฉุกคิดขึ้นได้ นับนิ้วคำนวณดูแล้วถึงรู้ว่ากลับถึงทวีปเมฆาบูรพาแล้ว
สามวันหลังจากนั้น จี้หยวนยืนอยู่บนกาบเรือมองไปไกล เหมือนว่าท่าเรือเขากวางจันทร์ที่มีทะเลรองรับสะท้อนสู่สายตาแล้ว เทียบกับท่าเรือเขาพิณพระจันทร์แล้ว ที่นี่เงียบสงบไม่น้อยเพราะการจบลงของงานชุมนุมเซียนพเนจร ท่าเรือยอดเขาไม่ได้แตกต่างจากตอนจี้หยวนมาถึงคราแรกมากนัก
ครั้นเรือเหาะเขาเก้ายอดค่อยๆ ร่อนลง บนท่าเรือยอดเขามีคนล้อมเข้ามาไม่น้อยแล้ว บ้างเป็นคนธรรมดาที่เข็นรถเข็น บ้างเป็นผู้ฝึกเซียนและภูต
ผู้ว่าการสองคนจากเขาเก้ายอดยืนประกบจี้หยวนทั้งซ้ายขวา อีกสักครู่จี้หยวนจะลงเรือแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องส่งเขาลงเรือ นี่เป็นคำสั่งของเซียนเจ้าสำนักเอง ทว่าต่อให้จ้าวอวี้ไม่ได้สั่งไว้ ทั้งสองคนก็ไม่กล้าเลินเล่อโดยสิ้นเชิง ต้องรู้ไว้ว่าผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดส่วนใหญ่อาจไม่เคยพบจี้หยวน แต่ใครๆ ล้วนรู้ว่าท่านเซียนเป็นบุคคลมรรคเซียนระดับใด
ผู้ว่าที่เหมือนชายหนุ่มไร้หนวดเคราคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เพราะตอนนี้เขาเห็นท่านจี้เผยรอยยิ้มจาง กำลังมองไปไกลๆ ส่วนผู้ว่าอีกคนหนึ่งก็ใคร่รู้อย่างชัดเจนเช่นกัน ทว่าผู้ร่วมสำนักเอ่ยถามออกมาก่อน
จี้หยวนหันไปมองผู้ถาม ตอบไปเรื่อยเปื่อยว่า
“ไม่มีอะไร เห็นเรื่องน่าสนใจเท่านั้น”
พอเรือเหาะหยุดนิ่ง กระดานลงเรือสองข้างวางลงแล้วเช่นกัน จี้หยวนบอกลาทั้งสองคนแล้วเดินผ่านกระดานลงเรือไป ผู้ว่าสองคนต่างตามไปและลงเรือไปด้วย
จี้หยวนหันไปประสานมือให้ผู้ว่าเขาเก้ายอดสองคน
“ทั้งสองท่านส่งเท่านี้พอ พวกเราต้องบอกลากันแล้ว”
ผู้ว่าบนเรือเหาะเขาเก้ายอดสองคนสบตากัน คราวนี้ถึงโค้งกายคารวะจี้หยวนพร้อมกัน
“น้อมส่งท่านจี้!”
คนที่ล้อมอยู่ด้านล่างเรือพากันแหวกทาง ยิ่งสนอกสนใจจี้หยวนอย่างเต็มที่ พวกเขาไม่รู้จักจี้หยวน ทว่าผู้ว่าสองคนและคนที่ลงจากเรือเหาะส่วนใหญ่ล้วนรู้จัก
จี้หยวนไม่ได้รั้งรอ พยักหน้าให้ผู้ว่าสองคนแล้วเร่งฝีเท้าจากไป เดินเข้าสู่กระแสผู้คนที่คึกคักทางฝั่งท่าเรือยอดเขา ผู้ฝึกปราณและภูตรอบๆ อยากตามหาจี้หยวนมากมาย แต่ไม่นานก็มองไม่เห็นและหาเขาไม่เจอแล้ว
ตอนนี้เด็กหนุ่มที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับอาเจ๋อกำลังวิ่งลงจากเขาใกล้ท่าเรือยอดเขาอย่างรวดเร็ว ข้างกายเขามีคนสองคน เป็นชายร่างผอมคนหนึ่ง และสตรีร่างท้วมทว่าประทินโฉมงดงาม
“นี่ๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดรีบร้อนปานนี้”
ชายร่างผอมถามอย่างอดไม่ได้ สตรีข้างๆ ก็สงสัยเช่นกัน
“เจ้าบอกว่ามีอันตราย อันตรายอะไรกัน เจ้าเห็นใครหรือ”
แม้สองคนเอ่ยถาม ทว่าเท้ากลับไม่หยุดขยับ รวดเร็วราวกับบินเหมือนกับชายหนุ่ม ช้ากว่าวิชาตัวเบาไม่เท่าไหร่ ทว่าไม่ได้พลิ้วไหวเหมือนกับผู้สูงส่งมรรคเซียนจำนวนหนึ่ง
เด็กหนุ่มหันไปมองท่าเรือยอดเขาที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เป็นระยะ พร้อมกันนั้นอธิบายให้สองคนข้างกายด้วยความร้อนใจเล็กๆ
“หลบมากับข้าก็พอแล้ว ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ ข้าบอกกับพวกเจ้าได้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สูงส่งมรรคเซียนแท้จริง สูงส่งกว่าที่พวกเจ้าคิดไว้มากมายก่ายกองนัก บุคคลระดับนี้รับรู้สวรรค์มองทะลุไปถึงจิตใจ จะพูดถึงเขาในระยะใกล้ไม่ได้ เผลอๆ พูดชื่อเขาแล้ว เขาอาจปรากฏตัวทันที!”
เด็กหนุ่มพูดแล้วหันไปมอง เห็นทุกอย่างทางท่าเรือยอดเขาปกติดีค่อยถอนใจโล่งอก ทว่าความเร็วฝีเท้ากลับไม่ลดลงสักนิด ชายหญิงข้างๆ สบตากันด้วยความประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนขี้กลัวปอดแหกอะไรนี่นา
“อัศจรรย์ขนาดนั้นเชียว เจ้าไม่ได้มองผิดไปกระมัง”
ชายผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะถาม สตรีข้างกายพลันพบว่ามีบางอย่างเพิ่มขึ้นมาในมือเด็กหนุ่ม จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“นี่ แท่งโลหิตของเจ้าล่ะ”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มให้ทั้งสองคน
“จะตีหมาป่าอย่าเสียดายลูก จะหนีก็ไม่อาจเสียดายแท่งโลหิตเช่นกัน อย่าพูดไร้สาระเลย กดลมปราณแล้วเดินต่อ!”
ขณะสนทนากัน สามคนออกจากเขตหวงห้ามด้านข้างท่าเรือยอดเขาแล้ว มาถึงกลางป่าด้านนอก ทว่ากดลมปราณยิ่งขึ้น ไม่ใช่วิชาหลีกหนีและไม่ใช่อภินิหารพิเศษอะไร ใช้แรงสองขาหนีไปยังที่ไกลตลอดทาง
ชายขอบตลาดท่าเรือยอดเขา ใกล้กับส่วนที่ยื่นออกมาด้านหนึ่ง จี้หยวนนั่งยองลงแล้วยื่นมือไปทางริมหน้าผา ตอนชักมือกลับมา ในมือเขามีกิ่งต้นท้อออกดอกสะพรั่งกลับมาด้วย
ฤดูกาลนี้ล่วงเลยเวลาที่ดอกท้อบานเต็มที่มานานแล้ว กิ่งต้นท้อนี้ไม่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่นอน และมันชัดเจนเป็นอย่างยิ่งในสายตาของจี้หยวน ไม่ใช่ว่าจี้หยวนเห็นกิ่งดอกท้อนี้เป็นครั้งแรก ปีนั้นที่มาถึงท่าเรือยอดเขาครั้งแรกก็เคยเห็นแล้ว
“ดอกท้อสีเลือดเกิดมงคล ปราณมรณะทำให้ผู้คนยิ้มแย้ม”
เขาเห็นคนคนเดียวกันในสถานที่เดียวกันสองครั้ง บังเอิญใช่หรือไม่
หึ่ง…
แสงสีเขียวขาวปรากฏข้างหลังจี้หยวน กระบี่เครือเขียวเผยรูปร่างเลือนราง ท่ามกลางเสียงกระบี่ที่เกิดจากการสั่นไหว เจตกระบี่สายหนึ่งที่ไม่อาจควบคุมได้
ปีนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เถาวัลย์เขียวของกระบี่เซียนพันเกี่ยวเกิดปราณชีวิต อาจพูดได้ว่าความชั่วร้ายของกิ่งดอกท้อนี้ขัดแย้งกับคนถือกิ่งดอกไม้โดยธรรมชาติ ประเภทที่แม้เจ้ายังไม่เคยยุ่งกับข้า แต่ก็ไม่พอใจอีกฝ่ายอย่างยิ่งยวดไปเสียแล้ว
……….
Comments