เซียนหมากข้ามมิติ 537 ยันต์ดี

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 537 ยันต์ดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 537 ยันต์ดี

……….

จี้หยวนถือกิ่งต้นท้อแล้วลุกขึ้นยืน ปราณชั่วร้ายบนกิ่งต้นท้ออยู่ที่กิ่งไม้และดอกท้อ คนทั่วไปมองแล้วอาจเป็นเพียงกิ่งดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง ทว่าดอกท้อนี้สดใหม่อย่างแท้จริง และมันชัดเจนเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับจี้หยวนที่สวมชุดสีเทาอยู่ในตอนนี้

“คนผู้นี้รู้จักข้าหรือ”

จี้หยวนพึมพำ ความนัยในคำพูดคือเจ้าของกิ่งดอกท้อนี้พบเขาเป็นครั้งที่สอง และรู้สึกว่าเจ้าของกิ่งดอกท้อนี้รู้จักเขาอย่างแท้จริง ครั้งก่อนพบกันครั้งแรกยังพูดยาก แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็เป็นเช่นนี้

อย่างไรเสียคนที่ทิ้งกิ่งดอกท้อไว้มีมาตรการป้องกันรัดกุมอย่างยิ่ง กำจัดปราณของตนเองจนเกลี้ยง ไม่หลงเลยไว้เลยแม้สักกระผีก ในกิ่งต้นท้อถึงขนาดไม่หลงเหลืออาคมพิเศษอะไรเอาไว้ สะอาดเอี่ยมมาก ทิศทางก็ชัดเจนมากเช่นกัน นี่เป็นการป้องกันไม่ให้กระบี่เซียนที่มีเคล็ดวิชากระบี่มรรคเซียนที่สูงส่งจับสังเกตปราณได้

แม้อาจเป็นเพราะเจ้าของกิ่งดอกท้อมีนิสัยระมัดระวังมาก แต่สัญชาตญาณของจี้หยวนรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้จักเขาคนแซ่จี้ มรรควิถีอยู่ในระดับเดียวกับจี้หยวน ความน่าจะเป็นของความรู้สึกคิดไปเองน้อยนิดมาก หากมีก็เป็นเพราะพลังวิชาสงผลกระทบถึงเก้าในสิบส่วน

หึ่ง…

กระบี่เครือเขียวส่งเสียงอีกครั้ง เจตกระบี่ที่ควบแน่นค่อยๆ จางลง หลังจากเห็นจี้หยวนพยักหน้าแล้ว กระบี่เซียนกลายเป็นประกายกระบี่จางจนไม่อาจสัมผัสได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งตลาดท่าเรือยอดเขามีผู้ฝึกเซียนมากมาย ทว่าผู้ที่รับรู้ได้ว่าประกายกระบี่ลอยขึ้นกลับมีอยู่ไม่กี่คน

กระบี่เซียนลอยออกจากท่าเรือยอดเขา ผ่านเขตอาคมเขากวางจันทร์อย่างมีเป้าหมาย จากนั้นเหาะกลางเขาสองสามรอบ ก่อนจะพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งทันที

‘แย่แล้ว แบบนี้หนีไม่รอดแน่!’

สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเล่า มองชายร่างผอมและสตรีประทินโฉมที่ตามมาติดๆ

“ไม่ได้การแล้ว ใช้หลักการทั่วไปกับคนผู้นั้นไม่ได้ ทำแบบนี้อาจหนีไม่รอด พวกเราต้องแยกทางกันหนีไป ไปกันคนละทางดีกว่า!”

ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มแล้ว สีหน้าของบุรุษและสตรีข้างกายพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน

“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ”

เด็กหนุ่มหันไปมองทางเขากวางจันทร์ แม้มองไม่เห็นท่าเรือยอดเขาแล้ว แต่เหมือนกับสัมผัสได้ถึงบุรุษดวงตาสีเทาสวมชุดสีเทาประดับปิ่นหยกในตอนนี้ เขากำลังถือกิ่งดอกท้อมองมาทางนี้

“คำว่าร้ายแรงคงไม่มากเกินไป เอานี่ไป พยายามอย่าใช้ดีที่สุด แต่ถึงเวลาจำเป็นก็อย่ามัวมัธยัสถ์ รักษาชีวิตเอาไว้เป็นสำคัญ!”

เด็กหนุ่มยื่นยันต์ให้ชายร่างผอมกับสตรีประทินโฉม แสงวิญญาณบนนั้นแม้จางมาก ทว่าเชื่อมโยงกับตัวอักษรวิญญาณทั้งหมด ไม่มีตรงไหนขาดตอนเลยสักนิด เกี่ยวพันกันเป็นตัวอักษร ‘ชะตา’

“ยันต์แทนชะตา!”

ไม่ว่ามรรคเซียน มรรคพุทธ หรือมรรคอื่นนอกเหนือจากนี้ ผู้ฝึกปราณที่มีความสามารถหลอมยันต์แบบนี้ได้มีน้อยมาก และยันต์แทนชะตาไม่ใช่สิ่งที่จะหลอมได้โดยง่าย สิ่งที่แทนชะตาชีวิตคนได้จะหลอมได้ง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร

เมื่อความประหลาดใจของทั้งชายและหญิงหายไป พวกเขาเห็นสีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้าเด็ฏหนุ่ม จึงรีบยื่นมือรับยันต์มาจากมืออีกฝ่าย ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนใจเก็บกลับคืน

ตอนนี้ในมือเด็กหนุ่มเหลือยันต์แทนชะตาแผ่นหนึ่ง เขาหยิบมาไว้ในมือแล้วพูดกับทั้งสองคน

“เชื่อมโยงร่างวิญญาณก่อน หนึ่งคนต่อหนึ่งยันต์แทนชะตา อย่างมากหลอกอีกฝ่ายได้สักครั้ง หากหลอกไม่ได้ มีมากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!”

พูดแล้วก็สำแดงวิชาเชื่อมโยงยันต์แทนชะตากับร่างตนเอง จากนั้นเก็บเข้าไปในอกเสื้อ สองคนข้างๆ เห็นเขาพูดอย่างจริงจัง ยิ่งหยิบของล้ำค่าอย่างยันต์แทนชะตาออกมา ไหนเลยจะกล้าลังเลอีก พากันปรับลมปราณใช้วิชาอย่างระมัดระวัง เชื่อมโยงยันต์แทนชะตากับร่างตนเอง จากนั้นนำมันแนบติดตัวไว้อย่างดี

พอทั้งสองคนทำตาม ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอีก

“พวกเราหนีกันไปคนละทาง จำไว้ว่าต้องระมัดระวัง อย่าเผยปราณปีศาจออกมาเป็นอันขาด หากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นดีที่สุด แต่หากรู้สึกว่าท่าไม่ดี คิดหาวิธีหนีไปยังที่ที่มีเพลิงมนุษย์รุ่งโรจน์หรือปราณปั่นป่วน นั่นอาจทำให้หนีได้ หากทุกอย่างเป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง พวกเราค่อยหาวิธีติดต่อกันอีกครั้ง! ทั้งสองรักษาตัวด้วย!”

“ใช่ๆ ความระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญของความปลอดภัย!”

“ถูกต้อง เจ้าก็ระวังตัวด้วย!”

สิ้นเสียงนั้นแล้วทั้งสามคนแยกกันไปสามทาง ต่างคนต่างไปในทันที อีกทั้งไม่ได้ใช้สองขาวิ่งอย่างเร็วรี่ต่อไป ชายร่างผอมกลายเป็นลมสดชื่นสายหนึ่ง สตรีประทินโฉมกลับกระโดดลงไปในแม่น้ำสายเล็กข้างทาง ผิวน้ำไม่เกิดคลื่นเลยสักนิด ส่วนร่างของเด็กหนุ่มจางลงแนบพื้นดินแล้วจมลงสู้พื้นดินชั้นตื้น จากไปไกลราวกับเกลียวคลื่น ทว่าคลื่นดังกล่าวมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เหมือนคลื่นที่สงบลงอย่างเชื่องช้าบนผิวน้ำ

หลังจากกระบี่เครือเขียวไปแล้ว จี้หยวนเก็บกิ่งดอกท้อในมือเข้าไปในแขนเสื้อ ไม่ได้รั้งรออยู่ที่ท่าเรือยอดเขา ทว่าสาวเท้าก้าวใหญ่เดินลงเขาไป เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคนแล้วไม่เตะตา ส่วนคนหรือผู้ฝึกปราณที่การรับรู้ว่องไวจะพบว่าแม้ชายเสื้อสีเทาดูผ่านข้างกายไปตามปกติ แต่เมื่อมองดูให้ละเอียดกลับห่างออกไปไกลแล้ว

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จี้หยวนเดินออกจากเขากวางจันทร์ถึงได้ยินเสียงฟ้าร้องครืน พอเงยหน้ามองเห็นว่ามีเมฆดำรวมกลุ่ม เมฆนี้มาอย่าง ‘เร็วรี่’ จี้หยวนไม่ต้องคำนวณอะไร แค่ใช้ตาทิพย์กวาดสายตามองไปก็เห็นเค้าลางที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง เป็นเมฆฝนที่คนเรียกมาอย่างชัดเจน

ร่างของจี้หยวนเหมือนมายา ก้าวเท้าราวเคลื่อนไหวรวดเร็ว ยิ่งมีลมบริสุทธิ์เคียงข้าง เมื่อเปรียบกันแล้วนั้น การก้าวเดินในอดีตของจี้หยวน ‘ขาดจังหวะ’ อย่างชัดเจน นี่เป็นหนึ่งในประโยชน์จี้หยวนที่ได้รับจากการเสวนามรรคหลายครั้งและตำราสวรรค์หลายเล่ม สรุปได้ว่าเป็น ‘วิชาเหินดิน’

ครืน…

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น บัดนี้อยู่เหนือศีรษะจี้หยวนแล้ว ฝนตกหนักทั่วบริเวณ ทุกที่ล้วนส่งเสียงฝนตกซู่ซ่า

ในโลกที่เดิมทีควรวุ่นวาย เสียงหยดน้ำเปิดการมองเห็นในใจจี้หยวน ทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

ชิ้ง…

กระบี่เซียนบนท้องฟ้าไกลออกจากฝัก ประกายกระบี่กะพริบแสง เสียงร้องน่าเวทนาสายหนึ่งแม้ถูกกลบด้วยเสียงฝน ทว่ากลับดังถึงหูจี้หยวนชัดแจ้ง

“กรี๊ด…”

นี่เป็นเสียงของสตรีอย่างแน่นอน หลังจากนั้นสิบกว่าลมหายใจ จี้หยวนไปถึงสถานที่ซึ่งกระบี่เครือเขียวออกจากฝัก พื้นโคลนถูกน้ำท่วมด้วยฝนห่าใหญ่ สตรีร่างออกท้วมคนหนึ่งนอนหงายหลังชักกระตุกอย่างต่อเนื่อง แม้ร่างกายยังสมบูรณ์ดี ทว่าปราณฉีกขาดแล้ว ถึงขนาดที่ตาทิพย์จี้หยวนมองรูปลักษณ์เดิมไม่ออก รู้เพียงว่าเป็นปีศาจ

ห่างออกไปประมาณสิบกว่าจั้งมีหุบเหวกว้างหนึ่งฝ่ามือยาวสองฉื่อ หุบเหวนี้ลึกเสียจนไม่เห็นก้น ยิ่งมีความคมกล้าซ่อนเร้นอยู่ น้ำฝนรอบๆ ไหลลงไปในนั้น ชัดเจนว่าเกิดจากหนึ่งกระบี่ที่กระบี่เครือเขียวฟันลง และสองฝั่งของหุบเหวมีร่างกายท่อนหนึ่งอันประกอบไปด้วยขาสองข้าง รวมถึงส่วนบนของต้นขา เหมือนกับสตรีที่กำลังชักกระตุกอยู่ทางนั้น

จี้หยวนเข้าไปใกล้ได้ไม่นานเท่าไหร่ ร่างกายสองฝั่งหุบเหวถึงเริ่มสลายหายไป

เขาเพียงกวาดสายตามองครั้งหนึ่ง เข้าใจโดยคร่าวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น กระบี่เซียนฟันลง เดิมทีคิดฟันขาสตรีนางนี้ให้ขาด คิดไม่ถึงเลยว่าที่ฟันไปจะไม่ใช่ร่างแท้ แต่แม้มีวิชาอัศจรรย์ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงการจู่โจมของกระบี่เซียนได้โดยสิ้นเชิง ได้รับการกัดกร่อนจากปราณกระบี่เซียนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทว่าเหตุผลหลักที่ทำให้นางวิ่งหนีไปไม่ไหวคงไม่ใช่อานุภาพของกระบี่เซียน

จี้หยวนก้าวเข้าใกล้สตรีนางนั้นทีละก้าว ฝ่ายหลังถึงกำลังต่อต้านปราณกระบี่ภายในกายก็ยังคงสังเกตโลกภายนอก เห็นจี้หยวนมาแล้วพลันเผยสีหน้าหวาดกลัวชัดเจน

เขาสะบัดมือครั้งหนึ่ง ข้างกายสตรีนางนั้นมีเศษสิ่งของคล้ายธุลีรวมตัวเข้ามา จากนั้นก่อตัวเป็นร่างห้าธาตุต่อหน้าจี้หยวน ก่อนจะกลายเป็นยันต์ที่ดูเหมือนยังไม่ได้ใช้งาน

แน่นอนว่านี่คือรูปลักษณ์ภายนอก จี้หยวนไม่อาจทำให้ยันต์ที่เคยใช้งานมาแล้วครั้งหนึ่งกลับสู่สภาพที่ยังไม่เคยใช้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าภาพนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก ความจริงแล้วถึงขนาดน่าประหวั่นอยู่บ้าง

“ยันต์แทนชะตา?”

จี้หยวนกวาดสายตา ทำให้สตรีบนพื้นมองเห็นดวงตาสีเทาคู่นั้นชัดเจน

“เป็นยันต์ ‘แทนชะตา’ ที่ดีจริงๆ!”

ยันต์นี้ถูกใช้งานแล้วอย่างชัดเจน คนอื่นตายตนเองไม่อาจตายที่ว่า เมื่ออยู่ที่นี่แล้วเห็นความหมายชัดแจ้งมาก มิตรภาพของปีศาจช่างโหดร้ายเสียจริง

เสียงของจี้หยวนเจือความถากถาง แน่นอนว่าสตรีที่อยู่บนพื้นได้ยินเข้าแล้ว เข้าใจทันทีว่าตนเองติดกับดักของเด็กหนุ่มที่ร่วมเดินทางกันมา ในใจทั้งกลัวทั้งโกรธ สภาวะที่ร่างเหมือนถูกไฟแผดเผายิ่งรุนแรงขึ้น

“เฮือก…ฮู่…ทะ ท่านเซียน ข้า…”

จี้หยวนมองสตรีนางนั้น นางยังพูดไม่จบร่างกายก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ ละลายท่ามกลางดินโคลนโดยรอบ แม้แต่รูปลักษณ์เดิมก็ไม่เผยออกมา สาเหตุการตายของนางไม่ใช่ปราณกระบี่เซียน แต่เป็นเพราะ ‘ยันต์แทนชะตา’ ในมือของจี้หยวน

กระบี่เครือเขียวกลับมาอยู่ข้างกายจี้หยวนแล้ว กลับสู่สภาวะเร้นกายอีกครั้ง อาศัยความรู้สึกทางจิตวิญญาณบนท่าเรือยอดเขาวินาทีนั้น ก็เพียงพอให้ฟันออกไปกระบี่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ไม่อาจสัมผัสได้ถึงปราณใดๆ อีก หากไม่ใช่ซ่อนตัวอย่างดีก็จากไปไกลแล้ว

ฝนห่าใหญ่ไม่ได้หยุดตกเพราะการตายของผู้ใช้วิชา ฝนในตอนนี้เป็นฝนในฤดูใบไม้ร่วงธรรมดา จี้หยวนมองที่ไกลพลางครุ่นคิด จากนั้นก้าวเท้าออกจากโคลนเลย เดินไปทางท่าเรือยอดเขาอีกครั้ง เตรียมเอ่ยถึงเรื่องเด็กหนุ่มชั่วร้ายให้กับผู้จัดการธุระของเขากวางจันทร์ ให้พวกเขาระวังมากยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นครึ่งวัน นอกสถานที่ฝังศพที่ห่างจากเขากวางจันทร์ห้าร้อยลี้ เด็กหนุ่มกับชายร่างผอมปรากฏกายจากวิชาหลบหนี สองฝ่ายมองไปรอบๆ แน่ใจแล้วว่ามีเพียงพวกเขาสองคน

“เส่อเหนียงเล่า หรือว่ายังอยู่ระหว่างทาง”

ชายร่างผอมถาม ชาวหนุ่มมุ่นคิ้วมองไปยังที่ไกล

“เกรงว่าจะโชคดีน้อยโชคร้ายมากแล้ว พวกเรารออยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง หากรอนานแล้วยังไม่มีวี่แววของของนาง พวกเราไปก่อนดีกว่า!”

“อืม มีเหตุผล”

เด็กหนุ่มมองไปทางบุรุษผู้นั้นแล้วยื่นมือออกมา

“คืนยันต์แทนชะตาให้ข้า พวกเราหนีรอดแล้ว เจ้าคงไม่โลภในของล้ำค่าของข้ากระมัง”

ฝ่ายบุรุษหัวเราะ

“ครั้งนี้เจ้าใจกว้างนัก ใจกว้างอีกสักหน่อยแล้วมอบให้ข้าเป็นอย่างไร”

“หึๆ คืนให้ข้า!”

“ได้ๆๆ คืนให้เจ้า”

บุรุษผู้นั้นเห็นอีกฝ่ายโมโหก็ทำได้เพียงหยิบยันต์แทนชะตาออกจากอกเสื้อ ตัดขาดการเชื่อมโยงแล้วคืนให้เด็กหนุ่ม จากนั้นมองไปยังสถานที่ที่จากมา

“จริงสิ คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เจ้ากลัวเขาขนาดนั้นเชียวหรือ”

เมื่อเก็บยันต์แทนชะตาแล้ว เด็กหนุ่มตั้งสติให้ดี รู้ว่าตอนนี้นับว่าอยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว จึงกล่าวตอบไป

“ข้าเคยพบเขาสองครั้ง นี่เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกไม่รู้จัก รู้เพียงว่าเป็นผู้สูงส่งคนหนึ่ง ครั้งนี้ข้ารู้แล้ว เขาน่าจะใช่จี้หยวน”

“จี้หยวน?”

บุรุษผู้นั้นเอ่ยซ้ำอย่างฉงน เด็กหนุ่มฟังแล้วหัวเราะเขาทันที

“ลืมไปว่าเจ้าไม่รู้ ฮ่าๆ ข้าว่าไม่รู้น่าจะดีกว่า”

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด