เซียนหมากข้ามมิติ 538 หม้อไฟ

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 538 หม้อไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 538 หม้อไฟ

……….

คำพูดของเด็กหนุ่มผู้ชั่วร้ายอธิบายแล้วว่าการคาดเดาของจี้หยวนถูกต้อง แม้จี้หยวนไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นกับหูตนเอง แต่ตัวจี้หยวนเดาได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะรู้จักเขา

จี้หยวนรู้ว่าตอนนี้ตนเองมีชื่อเสียงอยู่บ้างอย่างแท้จริง แต่คนที่รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาไม่น่ามีมากเท่าไหร่ นับได้แค่เพียงกลุ่มคนที่สนทนากันเกี่ยวกับมรรคเซียนและมรรคเทพ ส่วนพวกปีศาจมารนั้นรู้ว่าเขาเก่งกาจยากจะสู้ได้ซึ่งตรง

เมื่อรวมกับสิ่งที่พบเจอก่อนหน้านี้ จี้หยวนมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเขาได้พบกลุ่มปีศาจมารพิเศษที่รวมตัวกันด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้อมูลจำนวนหนึ่งถูกแลกเปลี่ยนกันภายในกลุ่ม เป็นไปได้ว่าถูซือเยียนก็เป็นหนึ่งในสมาชิกเช่นกัน หากบอกว่าพวกเขารวมตัวกันเพื่อทำเรื่องดี จี้หยวนไม่เชื่ออย่างแน่นอน

จี้หยวนรู้ผลประโยชน์ของท่าเรือมรรคเซียนดี อาจรู้ของมารปีศาจด้วยเช่นกัน อีกทั้งอยากคิดหาหนทางเสาะหาผลประโยชน์นี้ นี่อาจเป็นเหตุผลที่จี้หยวนเจอเด็กหนุ่มกิ่งดอกท้อที่นี่ถึงสองครั้ง

แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากหลอมเชือกมัดเซียนสำเร็จ ตอนจี้หยวนกับพวกมังกรเฒ่าร่วมเดินทางไปถึงเขาลาดชันก็หารือกันแล้ว แต่โดยพื้นฐานแล้วกลุ่มปีศาจมารเหมือนปลาที่กำลังข้ามแม่น้ำ อาณาเขตปีศาจ มาร ผีอย่างภูเขา ถ้ำ หุบเขา ทะเลสาบ หรือแม้กระทั่งเมืองมีอยู่มากมาย การสื่อสารระหว่างกันวุ่นวายอย่างน่าประหลาด การดับสูญและเกิดใหม่ย่อมไม่น้อย ยากจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง ในเมื่อคำนวณได้ไม่ชัดเจนก็ทำได้เพียงให้ความสนใจหน่อยแล้ว

ครั้งนี้จี้หยวนคิดเช่นนี้เหมือนกัน และไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นกลุ่มปีศาจมารอะไร เขาคนแซ่จี้ที่อยู่ในระดับ ‘ตัวอันตราย’ ในสายตาพวกมันต้องถูกผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก ไม่อาจจับกุมเด็กหนุ่มกิ่งดอกท้อได้โดยตรง จะคอยตามหาไปทั่วทั้งโลกก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากเล่าเรื่องนี้กับผู้ฝึกปราณเขากวางจันทร์แล้ว จี้หยวนเลือกจากที่นี่แล้วกลับไปยังต้าเจิน

เมฆขาวก้อนหนึ่งลอยไปทางใต้ คราวนี้จี้หยวนไม่ได้มุ่งหน้ากลับบ้าน ทว่าต้องไปที่แม่น้ำเทียมฟ้าสักครั้งหนึ่ง ก่อนมังกรเฒ่าไปบอกกับเขาไว้แล้วว่าหากตำราสวรรค์หยินหยางห้าธาตุซึ่งเกี่ยวพันกับมรรคหลอมของวิเศษสำเร็จแล้ว เมื่อกลับมาต้องนำไปให้เขาอ่านเป็นอันดับแรก คำขอของสหายคนสนิทนี้จี้หยวนย่อมต้องทำตาม

ตอนนี้ต้าเจินเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่เหนือแม่น้ำเทียมฟ้ายุ่งที่สุด เรือสินค้าจากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางไปมายังแม่น้ำเทียมฟ้า ขนสัตว์ อาหารแห้ง เครื่องปรุงรส และของแปลกใหม่หลายชนิดล้วนมีครบ นอกจากของอย่างเสื้อผ้าและอาหารปรุงสุกแล้ว เรือที่บรรทุกคนมาก็ไม่น้อยเลย

ตอนจี้หยวนเหาะเข้าใกล้แม่น้ำเทียมฟ้าแล้วข้ามท่าเรือจ้วงหยวนตามความเคยชิน ทว่าหลายครั้งไม่รั้งรอ วันนี้เห็นภาพใบเรือนับพันอยู่เหนือแม่น้ำเทียมฟ้า จึงร่อนลงที่ฝั่งแม่น้ำด้านข้างท่าเรือจ้วงหยวน มองท่าเรือจังหวัดจิงจีฝั่งตรงข้ามอยู่หลายครั้ง

ดูเหมือนว่าช่วงหลายปีแรกจะไม่ได้พูดเกินจริง การเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดที่สุดนอกจากจำนวนเรือและรูปลักษณ์ของท่าเรือ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อย่างเช่นในความทรงจำของจี้หยวน ร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความจำนวนหนึ่งของฝั่งตรงข้ามเทียบท่าเรือจ้วงหยวนฝั่งนี้ไม่ได้ แต่วันนี้เห็นทีแม้รวมศาลเทพแม่น้ำด้านข้างท่าเรือจ้วงหยวนก็ยังคึกคักมีสีสันได้ไม่เท่าฝั่งตรงจ้าม อาจนับได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงอำนาจของอาณาจักรต้าเจินที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้

ขณะมองอยู่นั้น จี้หยวนพลันนึกอะไรขึ้นได้ รีบกวาดสายตามองไปทางท่าเรือจ้วงหยวนที่อยู่ไม่ไกล ท่ามกลางความพร่ามัวเพราะมีปลาและมังกรมากมาย เขาเหลือบเห็นเงาร่างที่ชัดเจนอยู่บ้าง

ท่าเรือฝั่งตรงข้ามท่าเรือจ้วงหยวนมีร้านค้าขนาดใหญ่เปิดกิจการใหม่เมื่อหลายเดือนก่อน ข้างในมีอาหารแปลก เรียกได้ว่าเป็นวิธีการทำอาหารที่น่าสนใจและแปลกใหม่ จึงโด่งดังเป็นอย่างยิ่งภายในเวลาอันสั้น ถึงขนาดว่าขุนนางชนชั้นสูงภายในเมืองหลวงเดินทางมาลิ้มรสอยู่หลายครั้ง

ทว่าเปิดกิจการในสถานที่อย่างท่าเรือนั้น ร้านค้าย่อมไม่ได้รับการออกแบบตกแต่งให้หรูหรา แม้แต่คนงานท่าเรือก็มากินดื่มอาหารแปลกได้ กอปรกับภาชนะใส่อาหารค่อนข้างพิเศษ จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มาก

ตอนจี้หยวนถึงท่าเรือจ้วงหยวน เขามองเห็นร้านค้าที่กำลังวุ่นวายอยู่ข้างใน ร้านชื่อว่า ‘ร้านหม้อไฟตระกูลเว่ย’ สิ่งที่อยู่ข้างในเหมือนหม้อไฟทำจากทองแดง วิธีกินก็คล้ายๆ กัน นั่นก็คือกินเคียงกับน้ำจิ้ม

ในต้าเจินหรืออาณาจักรมนุษย์ทั้งหลาย นิยมนำทองแดงนำมาผลิตเหรียญ ส่วนใหญ่แล้วทองแดงเท่ากับเงิน ใช้เครื่องครัวทองแดงกินอาหารจึงน่าสนใจมาก ใช้รับแขกแล้วจึงเป็นสิ่งที่มีเกียรติยิ่งนัก

เห็นชื่อร้านนี้แล้ว กอปรกับสิ่งของที่คล้ายคลึงกับที่เคยเห็นที่จวนตระกูลเว่ย จี้หยวนเดาได้ไม่ยากว่าอาจเป็นร้านที่เปิดกิจการโดยตระกูลเว่ยแห่งจังหวัดเต๋อเซิ่ง ปรับปรุงและส่งเสริมอาหารท้องถิ่นจากภูเขาอันห่างไกลของต้าเจินให้โด่งดัง ความเฉียบแหลมทางธุรกิจของเว่ยอู๋เว่ยโดดเด่นในหมู่คนอย่างแท้จริง

ตอนนี้มุมหนึ่งของโถงใหญ่ในร้านมีคนสามคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวใหญ่ บนโต๊ะและบนชั้นไม้ด้านข้างวางผักไว้จนเต็ม ทั้งสามคนลวกผักในหม้ออย่างต่อเนื่อง กินกันเอร็ดอร่อย

“มาๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ ชิมดู ต้องจิ้มน้ำจิ้มด้วย!”

“ข้าทำเองๆ!”

“อืมๆ อร่อยจริงๆ!”

“เป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้ากระมัง อร่อยใช่หรือไม่”

“ไม่เลวๆ!”

“ไม่ใช่แค่อร่อยนะ ยังสนุกอีกต่างหาก!”

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

“ใช่ๆ สนุกด้วย!”

คนหนึ่งในนั้นกำลังยัดเนื้อลวกชิ้นหนึ่งเข้าไปในปาก เมื่อหันศีรษะไปพบว่าจี้หยวนยืนอยู่ข้างนอกโถง ขณะที่เคี้ยวเนื้อในปากก็ลุกขึ้นยืน

“ท่านอาจี้?”

อีกสองคนบนโตณะพลันเงียบเสียง หันมองตามสายตาของอิงเฟิง เห็นชายสวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างนอกและมองมาทางนี้

อิงเฟิงวางตะเกียบออกจากที่นั่งทันที เดินผ่านโต๊ะข้างๆ มากมาย พอเดินออกไปถึงด้านนอกแล้ว สองคนข้างกายไม่กล้านั่งต่อไป ตามอิงเฟิงออกจากโถงไปข้างนอกเช่นกัน

“หลานคารวะท่านอาจี้!”

อิงเฟิงโค้งกายคารวะ สองคนด้านข้างก็รีบโค้งกายคารวะเช่นเดียวกัน

“คารวะท่านจี้!”

แน่นอนว่าจี้หยวนมองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกสองคนเป็นปีศาจเผ่าวารีเช่นกัน เขาพยักหน้าให้ทั้งสามคนก่อนมองโถงด้านใน ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นมาแล้ว

“ที่นั่งข้างๆ พวกเจ้าสามคนมีคนนั่งหรือไม่”

“ไม่มีๆ ท่านอาจี้เชิญข้างในเถอะ!”

“ใช่แล้วท่านจี้!”

“เชิญท่านจี้!”

เดิมทีเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยุ่งอยู่ในร้านอยากเรียกจี้หยวนเช่นกัน แต่ตอนนี้เห็นแขกข้างในรู้จักเขาก็ลอบยินดีที่ไม่ต้องเหนื่อยเพิ่ม

อิงเฟิงมากินหม้อไฟที่นี่แล้วไม่ได้เปิดห้องส่วนตัวแต่อย่างใด ทว่านั่งอยู่ในโถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่จี้หยวนคิดไม่ถึง ทั้งสามคนเดินผ่านโถงใหญ่ที่กว้างขวางมาถึงมุมหนึ่ง เสียงสนทนาในโถงดังมาก มีทั้งเสียงพูดและเสียงหัวเราะ เสียงจอแจและเสียงกลืนอาหารดังต่อเนื่อง อีกทั้งมีเสียงชนแก้วดื่มสุราด้วย คึกคักเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับความร้อนของถ่านไม้ใต้หม้อทั้งหลาย แม้โถงใหญ่แห่งนี้จะเปิดประตูเอาไว้ แต่ข้างในไม่หลงเหลือความเย็นของกลางฤดูใบไม้ร่วงเลยสักนิด ส่วนมากแล้วคนกินหม้อไฟพร้อมเหงื่อแตกพลั่ก

“ท่านอาจี้ เชิญนั่งเถอะ!”

อิงเฟิงผายมือไปยังที่นั่งเดิมของตนเอง จี้หยวนไม่ปฏิเสธเช่นกัน หลังจากพยักหน้าและนั่งลงแล้ว อีกสามคนถึงค่อยนั่งลงพร้อมกัน อิงเฟิงยังตะโกนเสียงดังว่า

“เสี่ยวเอ้อร์ ขออาหารชุดเดียวกันนี้มาอีกชุดหนึ่ง!”

“ได้เลย…”

“ท่านอาจี้ หม้อไฟนี้กินแล้วมีแรงดี ท่านต้องไม่เคยกินเป็นแน่!”

อิงเฟิงยิ้มแล้วไม่ลืมสอนจี้หยวนว่ากินอย่างไร ฝ่ายหลังเพียงพยักหน้าไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเคยกินหม้อไฟมาไม่น้อย และเขารู้สึกว่าหม้อไฟนี้ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ เพราะขาดรสชาติเผ็ดร้อนไปมาก ส่วนประกอบของน้ำจิ้มคือซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูหมัก น้ำแกง และเครื่องปรุงแบบผงที่ทำขึ้นเองจำนวนหนึ่ง

จี้หยวนหยิบห่อเครื่องปรุงเล็กๆ ออกมาจากในแขนเสื้อ นี่คือสิ่งที่ได้มาจากอารามเขาเมฆาก่อนหน้านี้ เมื่อเปิดห่อกระดาษมันออกแล้ว กลิ่นพริกสายหนึ่งพลันโชยออกมา

“ฮ่าๆ กินหม้อไฟแล้วขาดสิ่งนี้ไม่ได้ พวกเจ้าก็ลองดูเถอะ”

จี้หยวนหยิบจานสะอาดมาหลายใบแล้วเทเครื่องปรุงลงไป ก่อนจะแบ่งให้สามคนลองชิมดู อิงเฟิงชิมเป็นคนแรก คีบเนื้อกลิ้งกับเครื่องปรุงเล็กน้อย เมื่อกินเข้าไปแล้วยิ่งกระตุ้นความอยากอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่า

“ฮู่…ฮู่…ซี้ด…เผ็ดร้อนนัก! แต่อร่อยจริงๆ!”

จี้หยวนคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเช่นกัน จิ้มผงพริกแล้วนำเข้าปากเคี้ยว บนใบหน้าปรากฏสีหน้าปีติอย่างชัดเจน

เดิมทีรสเผ็ดไม่มีอยู่จริง แต่เป็นความรู้สึกเจ็บ สำหรับปีศาจหรือคนที่ฝึกเซียนเข้าขั้นแล้วอาจไม่รู้สึก ผิดกับคนธรรมดาที่รู้สึกเผ็ดได้ เพราะไม่รู้จักความเจ็บปวด ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในมือจี้หยวนจึงถูกทำขึ้นมาด้วยกรรมวิธีพิเศษโดยผ่านเพลิงสมาธิก่อนรอบหนึ่ง กินแล้วจะมีความรู้สึกร้อนเล็กๆ ส่วนคนธรรมดากินเข้าไปแล้วจะรู้สึกว่าเผ็ดมากจนทนไม่ไหว แต่แม้มังกรเฒ่ากินแล้วก็รู้สึกถึงรสเผ็ดได้เช่นกัน

“ซี้ด…ฮู่…เผ็ดนัก อร่อย!”

“ท่านอาจี้ ที่แท้ท่านกินเป็นอยู่แล้ว กินด้วยกันแล้วยอดเยี่ยมนัก!”

อีกสองคนที่เดิมทีสำรวมกิริยาเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้กินข้าวร่วมโต๊ะกันได้ครู่กนึ่งแล้ว รวมถึงบรรยากาศรอบข้างคึกคักนักจึงสนุกสนานขึ้น ผ่อนคลายลงไม่น้อย

“องค์ชายอิงเฟิง บิดาท่านอยู่ในจวนบาดาลกระมัง”

อิงเฟิงกลืนเนื้อที่เคี้ยวอยู่ในปากแล้วถึงตอบ

“ช่วงก่อนท่านพ่อข้าเพิ่งกลับมา มีคนจากทางทะเลบูรพามาหาท่านพ่อ…”

อิงเฟิงมองไปทางซ้ายและขวา เข้าใกล้จี้หยวนเพื่อพูดต่อ

“ท่านอาจี้ ท่านเคยได้ยินเรื่องหนอนศพมังกรหรือไม่”

จี้หยวนพยักหน้า ไม่เพียงเคยได้ยิน ยังเคยเห็นอีกต่างหาก เห็นทีเป็นเรื่องเมื่อครั้งก่อน

“อืม ท่านเคยได้ยินก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องอธิบาย เอาเป็นว่าเกี่ยวข้องกับหนอนศพมังกร ท่านพ่อข้ากลับมาแล้วยังไม่ทันได้นอนหลับก็ออกไปอีก เกรงว่าคงไม่ได้กลับมาภายในเวลาอันสั้น”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นบิดาเจ้ากลับมาแล้วก็บอกเขาว่าข้าเขียนตำราเสร็จแล้ว ไปอ่านได้ทุกเมื่อ”

“ขอรับ หลานจะจำไว้”

พูดแล้วอิงเฟิงมีสีหน้าตื่นเต้นเล็กๆ มองจี้หยวนที่กำลังกินอาหารแล้วพูดอย่างระมัดระวัง

“ท่านอาจี้ เอ่อ หลานสนใจเชือกมัดเซียนนั้นของท่านมาก…พอจะให้หลานดูสักนิดหรือไม่”

ปีศาจเผ่าวารีสองตนที่ก้มหน้าก้มตากินไม่กล้าเอ่ยวาจามีสีหน้าสงสัยเช่นกัน จี้หยวนส่ายหน้าแล้วยิ้ม บุตรมังกรผู้นี้เหมือนมังกรเฒ่ามากในบ้างเรื่องจริงๆ

แขนเสื้อข้างขวาขยายออก เชือกสีทองเส้นหนึ่งไหลออกมาจากข้างใน ขดเป็นวงอยู่ที่มุมโต๊ะโดยมีหนังกลับอยู่ด้านหน้าและมีหยกอยู่ด้านหลัง มองดูแล้วงดงามยิ่ง แต่เชือกสีทองที่น่ามองมากเช่นนี้กลับเป็นของล้ำค่าที่สะเทือนทั้งงานชุมนุมเซียนพเนจร ตั้งแต่อิงเฟิงรู้เรื่องนี้ก็อยากเห็นกับตายิ่งนัก วันนี้นับว่าสมปรารถนาแล้ว

จี้หยวนหยิบเชือกมัดเซียนส่งให้อิงเฟิง บ่งบอกให้เขาดูอย่างละเอียด ฝ่ายหลังรับมาด้วยความรู้สึกแปลกใจระคนดีใจ ทั้งพิจารณาและดึงไปมา แม้ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่รู้สึกถึงความพิเศษอะไรมาก แต่เขายังคงตื่นเต้นมากอยู่ดี

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด