เซียนหมากข้ามมิติ 539 ดูเหมือนวันถัดไป

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 539 ดูเหมือนวันถัดไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 539 ดูเหมือนวันถัดไป

……….

อิงเฟิงดึงพู่ที่ด้านหนึ่งของเชือกมัดเซียน ระหว่างที่ดึงนั้นมีความรู้สึกเลือนรางน่าประหลาดใจ เหมือนกับสายตาถูกพันธนาการอยู่ใกล้ๆ เชือกมัดเซียน เมื่อมองให้ละเอียดความรู้สึกนั้นพลันหายไป มหัศจรรย์นัก

เห็นสหายสองคนข้างๆ จ้องมองตลอด อิงเฟิงรู้สึกได้ใจอยู่บ้างเช่นกัน เห็นจี้หยวนกำลังลวกผักกิน อีกทั้งนึกได้ว่าท่านอาจี้ของตนนิสัยเป็นอย่างไร จึงกล่าวกับสหายทั้งสองที่มาจากแดนไกลอย่างสบายๆ ว่า

“นี่ก็คือเชือกมัดเซียนที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้ ของวิเศษนี้สำเร็จที่ถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอด ผู้สูงส่งระดับสุดยอดทั้งห้ารวมเซียนและปีศาจร่วมมือกัน หลอมสร้างด้วยเพลิงสมาธิของท่านอาจี้ข้า ไม่เข้าสู่หยินหยางและไม่จัดอยู่ในห้าธาตุ ทว่าเข้าสู่หยินหยางได้และเปลี่ยนห้าธาตุได้ เปลี่ยนแปลงนับพันหมื่นยากคาดเดา ท่านพ่อข้าบอกกับข้าว่าตอนของวิเศษสำเร็จนั้น ฟ้าดินอวยพร นิมิตมงคลเกิดขึ้นมากมาย”

“อ๋อ…”

“ซี้ด…ของวิเศษชั้นยอด…”

สองคนข้างๆ ทั้งเผ็ดทั้งสะท้านใจอย่างแท้จริง ของล้ำค่าพรรค์นี้อยู่ตรงหน้า ห่างแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้เป็นปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้ามาแล้วก็ทำได้แค่น้ำลายไหลเท่านั้น ไม่กล้ายื่นมือไปแย่งชิง

บุตรมังกรผู้นี้พูดได้งดงามน่าฟังนัก กระนั้นรับรู้ได้จากทุกคำพูดว่าออกมาจากใจจริง น่าสนใจดีจริงๆ จี้หยวนฟังอยู่ด้านข้างแล้วอยากหัวเราะขึ้นมา

ฝ่ายบุตรมังกรเห็นจี้หยวนยิ้มก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นคืนเชือกมัดเซียนให้จี้หยวนแล้วเอ่ยว่า

“นี่ ท่านอาจี้อย่าหัวเราะเลย หลานคงไม่ได้พูดมั่วกระมัง หรือเป็นท่านพ่อที่หลอกข้าเข้าให้แล้ว”

“ไม่ได้พูดมั่ว แต่ขืนพวกเจ้าไม่กินอะไร อาหารบนโต๊ะจะไปอยู่ในท้องข้าทั้งหมด”

จี้หยวนคีบเนื้อชิ้นหนึ่งจิ้มน้ำจิ้มข้างๆ จากนั้นจิ้มผงพริกแห้งครั้งหนึ่งก่อนใส่เข้าปาก รสชาติในปากทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาเมื่อชาติก่อน ความสุขนั้นยากจะใช้คำพูดอธิบายได้

อิงเฟิงหันกลับมามอง จี้หยวนกินอาหารบนโต๊ะหมดไปเกือบครึ่งภายในเวลาไม่นาน แต่นี่เป็นเพราะอาหารที่สั่งใหม่ยังไม่มา จึงรีบบอกให้สหายสองคนกินด้วยกัน

“กินๆๆ กินกันให้หมด อย่าสำรวมเพราะท่านอาจี้เลย!”

“ได้เลย!”

“ขอรับๆๆ องค์ชายก็กินเถอะ!”

ปีศาจอีกสองตนไม่อาจผ่อนคลายได้โดยสิ้นเชิง บุตรมังกรกับท่านจี้มีความสัมพันธ์เช่นน้าหลาน ฝ่ายหลังอาจเห็นฝ่ายแรกเติบใหญ่ แต่พวกเขาไม่กล้า โชคดีที่ท่านจี้เป็นคนง่ายๆ อย่างแท้จริง แน่นอนว่าเพราะเขารู้ว่าพวกเขาเป็นสหายของบุตรมังกรอย่างแน่นอน

ตอนเพิ่งมาอยู่ที่โลกนี้ ในความคิดของจี้หยวนนั้น ปีศาจจำนวนหนึ่งมีร่างกายยักษ์ใหญ่ กินอาหารบนโต๊ะคงไม่พอยัดใส่ซอกฟันอย่างแน่นอน รสชาติคงน่าเบื่อสำหรับพวกมันด้วยกระมัง

แต่ยิ่งรู้จักที่นี่มากขึ้น เขาก็ยิ่งไม่คิดแบบนั้นแล้ว ปีศาจ ภูต หรือเผ่าอื่นที่มีร่างกายขนาดใหญ่ ขอเพียงมรรควิถีสูงถึงขั้นที่แปลงกายเป็นคนได้ โครงร่างนั้นย่อมต่างกับคนมาก เมื่อกินอาหารเข้าปากลงท้อง พวกมันล้วนมีการรับรู้รสชาติและรู้สึกได้ถึงอาหารในท้อง ไปจนถึงความพึงพอใจต่ออาหารรสเลิศไม่ต่างจากคน เพียงแต่ยากจะกินจนอิ่มท้องได้เท่านั้น

จี้หยวนก็เป็นเช่นนั้นในบางระดับ นี่เป็นสภาวะใดกัน นี่เป็นสภาวะร่างกายที่หลายคนเมื่อชาติก่อนฝันอยากได้แต่ไม่ได้มา! ดังนั้นสี่คนหน้าโต๊ะกินหม้อไฟอย่างเอร็ดอร่อยจริงๆ ไม่มีทางมีความรู้สึกไม่สบอารมณ์แต่อย่างใด

“ลูกค้า อาหารของพวกท่านมาแล้ว…”

เสี่ยวเอ้อร์ร่างกายแข็งแรงคนหนึ่งอ้อมโต๊ะข้างๆ มาถึง ถือถาดที่ใหญ่กว่าปกติเอาไว้ทั้งสองมือ ในจานแต่ละจานเต็มไปด้วยอาหารพูนจาน ล้วนเป็นผักและเนื้อแกะหั่นอย่างดี รวมถึงเนื้อปลาที่เลาะก้างแล้วด้วย

“ลูกค้าช่วยหน่อยเถอะ!”

อิงเฟิงรีบลุกขึ้นช่วย ยกจานแต่ละจานจากมือข้างหนึ่งของเสี่ยวเอ้อร์แล้ววางลงบนชั้นไม้ด้านข้าง ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นเสี่ยวเอ้อร์วางลงเอง อีกทั้งถือโอกาสเดินไปลากชั้นไม้มาอีกสองอันด้วย ที่แท้ชั้นไม้ไผ่ข้างๆ วางถาดไว้ได้พอดี

“ขอบคุณลูกค้ามาก ข้าจะเก็บชั้นวางที่ว่างออกไป อืม ส่วนน้ำแกงในหม้อพวกท่าน อีกเดี๋ยวข้าจะมาเติมให้”

เสี่ยวเอ้อร์กระตือรือร้นอย่างชัดเจน เก็บถ้วยชามที่ว่างแล้ววางลงบนถาด จู่ๆ เขาได้กลิ่นเผ็ดร้อนจากบนโต๊ะ ก่อนจะมองเห็นจานผงพริกของพวกจี้หยวน

“เอ่อ ร้านนี้ไม่มีสิ่งนี้นี่นา ลูกค้า นี่คืออะไรหรือ กลิ่นแรงมากทีเดียว ข้าลองชิมได้หรือไม่”

“ผงพริกขี้หนูและพริกฮวาเจียว ใช้นิ้วแตะชิมดูได้”

จี้หยวนพูดขึ้น ฝ่ายเสี่ยวเอ้อร์ร้องรับแล้วยื่นมือแตะผงเพื่อชิมเล็กน้อย

“ซี้ด…ฮู่…จิ๊ๆ รสชาติแรงจริงๆ!”

เดิมทีเสี่ยวเอ้อร์อย่างพูดมากกว่านี้ แต่ยิ่งมายิ่งทนไม่ได้ ทำได้เพียงรีบยกถาดจานชามจากไป ตอนกลับถึงหลังควรแล้วทั้งน้ำมูกและเหงื่อล้วนไหลออกมา พลันนับถือสี่คนที่มุมโถงทางนั้น นี่เป็นสิ่งที่คนกินลงไปได้หรือ ทั้งวันนี้เสี่ยวเอ้อร์ทำอะไรก็รู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม ไม่รู้สึกหนาวและไม่รู้สึกเหนื่อย ลมเย็นข้างนอกชวนให้สบายกายเหมือนกับลมฤดูใบไม้ผลิ

หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ไปแล้ว อาหารบนโต๊ะก็ถูกเติมจนเต็มแล้ว ตอนทั้งสี่คนเริ่มลงมืออีกครั้ง บุตรมังกรรู้สึกว่าท่านอาจี้ไม่ได้รังเกียจสองคนข้างกายแต่อย่างใด ถึงได้รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว และแนะนำให้จี้หยวนรู้จักสหายทั้งสองของตนเอง

สองคนนี้ล้วนมาจากทะเลบูรพา อาศัยอยู่ในร่องลึกของนอกทะเล แม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอะไรกับตระกูลอิง แต่เป็นสหายประเภทที่นัดพบกันได้ทุกเมื่อ

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม นอกจากจี้หยวนแล้ว บุตรมังกรและอีกสองคนต่างก็กินหม้อไฟจนเหงื่อแตก พวกเขาไม่เคยเผชิญประสบการณ์กินอาหารแล้วเหงื่อออกมากขนาดนี้ ทว่าก็พึงพอใจมากเช่นกัน

ในเมื่อมังกรเฒ่าไม่อยู่ กอปรกับได้ยินว่าบุตรีมังกรยังอยู่ที่ทะเลบูรพา จี้หยวนก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปจวนบาดาลแม่น้ำเทียมฟ้าแล้ว เมื่อกินอาหารเสร็จจึงบอกลาพวกอิงเฟิงที่ท่าเรือจ้วงหยวน แล้วเหยียบขึ้นฝั่งจากไปตามลำพัง

บุตรมังกรมองส่งจี้หยวนจากไปอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายแล้วถึงเรียกสหายสองคน หากไม่ใช่เพราะสองคนนี้อยู่ด้วย เขาต้องร่วมทางกับท่านอาจี้สักช่วงหนึ่ง อาจได้ไปเที่ยวเล่นที่อำเภอหนิงอันก็ได้

“เฮ้อ ไม่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้พวกเจ้าสองคนบ่นว่าอยากมีโอกาสขอเซียนชี้แนะไม่ใช่หรือ ท่านอาจี้อยู่ตรงหน้าแท้ๆ ไยเมื่อครู่ไม่พูดอะไรเลยเล่า”

อิงเฟิงมองสองคนข้างๆ ฝ่ายหลังมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เอ่อ คือว่า…ไม่กล้าพูด…”

เดิมทีอีกคนหนึ่งกำลังคิดเหตุผลอยู่ ได้ยินคนข้างๆ พูดตามตรงว่าไม่กล้า ตจึงพูดออกไปตรงๆ เช่นกัน

“ข้าก็เหมือนกัน”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…ไอ้หยาน่าขันนัก ฮ่าๆๆๆๆ…”

คำพูดของทั้งสองคนทำให้อิงเฟิงหัวเราะก๊าก ก่อนหน้านี้ยังคุยโม้ด้วยกันอยู่เลย บอกว่าพบเซียนสูงส่งตัวจริงแล้วจะต้องลองร้องขอให้ได้ อีกคนหนึ่งบอกว่าอยากทำท่าคุกเข่าโขกศีรษะให้สะเทือนฟ้าดิน ผลปรากฏว่าพบท่านอาจี้แล้วอย่าว่าแต่ขอร้องอย่างหน้าไม่อายเลย พูดสักคำยังไม่กล้าพูด

ผ่านไปครู่ใหญ่อิงเฟิงถึงหยุดหัวเราะ

“ไปเถอะๆ ไปจวนบาดาลได้แล้ว มนุษย์น่าจะใจกล้ายิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”

“นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นใคร องค์ชาย พวกข้าสองคนไม่ใช่ท่าน ถึงได้ทำตัวสบายๆ ต่อหน้าท่านจี้ได้ ขอพูดตามตรงไม่ปิดบังท่าน ฉลามดำอันเป็นร่างเดิมของพวกข้าตอนตื่นรู้เมื่อปีนั้นกินชาวประมงตกน้ำเข้าไป อีกทั้งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เมื่อครู่นั่งนิ่งๆ กินดื่มตามปกติได้ก็นับว่ากล้ามากแล้ว…”

“ใช่ องค์ชายดูฝ่ามือข้าเถอะ เหงื่อซึมจนเปียกไปหมดแล้ว ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะเผ็ด อีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะกลัว…”

อิงเฟิงเก็บสีหน้าหยอกเย้าแล้ว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านอาจี้เกลียดความชั่วร้ายอย่างถึงที่สุดจริงๆ ท่านพ่อข้าบอกไว้เช่นกันว่าท่านอาจี้ดูพูดจาดี แต่กระบี่เซียนอย่างกระบี่เครือเขียวสังหารปีศาจมาไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่พวกเจ้าก็ไม่ต้องสำรวมมากเกินไป ท่านอาจี้เป็นผู้ฝึกปราณแท้จริง หากเมื่อครู่นี้เขามีความเห็นอะไรต่อการกระทำของพวกเจ้า เขาไม่มีทางมีเมตตากับพวกเจ้าเช่นนี้แน่ ข้าเองก็ไม่ได้มีเกียรติขนาดนั้น”

“ขอรับ องค์ชายพูดถูกต้อง!”

“ใช่ๆ เป็นแบบนี้ดีที่สุดแล้ว!”

“ไปๆๆ ไปจวนบาดาล”

แม้ไม่ได้พบมังกรเฒ่า แต่กินหม้อไฟมื้อหนึ่งแล้วทำให้จี้หยวนพอใจมาก ถึงขนาดคิดทำหม้อให้ตนเองสักใบหนึ่ง หากหลังจากนี้อยากกินอีกก็ค่อยลองทำได้ อย่างไรเสียเขารู้สึกว่าตนเองในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงพรสวรรค์ในการฝึกปราณ ยังมีพรสวรรค์ในการทำอาหารด้วยเช่นกัน

เหยียบเมฆไม่ถึงครึ่งวัน ในสายตาปรากฏเขาโคเทพและอำเภอหนิงอันที่อยู่ลิบๆ แล้ว

เมื่อกลับถึงอำเภอหนิงอัน จี้หยวนเกิดความรู้สึกสบายใจ การเดินทางครั้งนี้หากนับเวลาดูแล้วผ่านพ้นไปเกือบเจ็ดปี สำหรับคนทั่วไปแล้วเท่ากับเวลาชีวิตหายไปเจ็ดปีกระมัง

ไม่รู้เหมือนกันว่าซุนหย่าหย่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นับนิ้วดูน่าจะอายุสิบแปดปี ระหว่างเจ็ดปีนี้ได้ตั้งใจเรียนตัวอักษรหรือไม่ และไม่รู้เหมือนกันว่าหูอวิ๋นฝึกปราณเป็นอย่างไรบ้าง ก้าวหน้าไปเท่าไหร่แล้ว อีกทั้งไม่รู้เหมือนกันว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ต้นพุทรากลางลานออกดอกหรือไม่ ถึงตอนนี้จะออกผลแล้วหรือยัง

จี้หยวนไม่ได้คำนวณได้ทุกเรื่อง เรื่องบางเรื่องคำนวณไม่ได้ เรื่องบางเรื่องไม่อยากคำนวณ จี้หยวนเก็บความคิดมากมายไว้แล้วร่อนลงนอกอำเภอหนิงอัน จากนั้นเดินเข้าไปในอำเภอหนิงอันช้าๆ ทีละก้าว

อำเภอหนิงอันเหมือนกับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ถนนและตรอกหลักล้วนไม่เปลี่ยนแปลง ผู้คนยุ่งกับการทำงานหนักเหมือนเดิม ทว่าอำเภอหนิงอันที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยนี้ ทุกปีมีเรือนใหม่ถูกสร้างขึ้นเสมอ เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนและอำลาสหายเก่า

“ท่านจี้กลับมาแล้วหรือ”

ครั้นได้ยินเสียงเอ่ยถาม จี้หยวนชะงักไปเล็กน้อยก่อนหันไปมอง เป็นชายชราที่นั่งอยู่หน้าแผงลอยข้างทาง สิ่งที่เขาขายคือผักและผลไม้ จี้หยวนไม่รู้จักชายชราผู้นี้โดยสิ้นเชิง เสียงของเขาก็ไม่คุ้นหู คาดว่าเมื่อก่อนคงไม่ค่อยได้สนทนากับเขาสักเท่าไหร่

เห็นจี้หยวนหยุดฝีเท้าแล้ว ชายชราลุกขึ้นมองอย่างละเอียด

“เป็นท่านจริงๆ ด้วย เห็นทีสายตาข้ายังดีอยู่ ไม่ได้จำผิด! อ้อ ข้าคือหวังเสี่ยวจิ่ว ที่บ้านเรียกกันว่าเหล่าจิ่ว”

“อ้อๆๆ ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง”

จี้หยวนพูดไปตามมารยาท ความจริงแล้วเขาจำคนผู้นี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าหวังเสี่ยวจิ่วเป็นใคร แต่อีกฝ่ายกลับดีใจมากอย่างน่าประหลาด

“ใช่ๆๆ เป็นข้าเอง ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่หอนอกศาล ยังเคยเตรียมขนมให้ท่านครั้งหนึ่งเลย ท่านกับผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขอบคุณข้าด้วย ตอนนั้นข้าทำงานได้สองปีแล้ว มีคนกล่าวขอบคุณน้อยนัก!”

พูดเช่นนี้แล้วจี้หยวนพลันนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็คือพนักงานหอนอกศาลที่ต้อนรับพวกเขาตอนที่เทพหลักเมืองชราเลี้ยงมื้อเช้าเขาในปีนั้น

“ท่านจี้จำข้าได้ ฮ่าๆๆ จริงสิ ท่านจี้ดูผักของข้าสิ จะนำไปกินสักหน่อยก็ได้ ข้าปลูกเอง พึ่งพาธรรมชาติล้วนๆ เพิ่งเก็บมาเมื่อเช้านี้ สดอร่อยทีเดียว!”

“ฮ่าๆๆ ไม่ดีกว่า ข้าคนแซ่จี้เพิ่งกลับมา ยังต้องทำความสะอาดภายในบ้านสักหน่อย ไม่มีเวลาลงครัวตั้งเตา กินข้าวคงต้องไปกินข้างนอก หลังจากนี้มีโอกาสข้าจะมาซื้อผักแล้วกัน”

“ได้เลย วันหน้าหากท่านจี้ต้องการก็มาได้ทุกเมื่อ! ท่านจี้เป็นถึงเซียนจริงๆ ด้วย น่าจะผ่านสามสามสิบปีแล้วกระมัง ทว่าท่านจี้ยังเยาว์เหมือนเมื่อก่อนเลย!”

ชายชรากระตือรือร้นยิ่ง จี้หยวนทำได้เพียงพยักหน้ารับ จากนั้นบอกลาเพื่อกลับบ้าน ขณะเดียวกันคิดในใจว่าบางทีตนเองไม่ควรเผยใบหน้าเดิมเมื่ออยู่ที่อำเภอหนิงอัน ไม่แน่ว่าสักวันข้างหน้าจี้หยวนควรจะ ‘ตาย’ จากอำเภอหนิงอันกระมัง

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด