เซียนหมากข้ามมิติ 291 ใช้แรงทำลายแรง

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 291 ใช้แรงทำลายแรง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 291 ใช้แรงทำลายแรง

บนเนินเขาท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน ปาจื่อสงบลมหายใจถี่กระชั้นของตนเองลง กล่าวกับจี้หยวนว่า

“ตรงนั้นคือค่ายราชาทักษิณแล้ว”

ความจริงแล้วเดินออกจากหมู่บ้านร้างจนสำรวจสถานที่ต่อสู้ จนมาถึงค่ายโจรภูเขาตรงนี้เสียเวลาไปทั้งหมดน้อยมาก ถึงแม้เหยียบเมฆบังคับหมอกมา ความเร็วของการบินระยะสั้นไม่มีทางเร็วเกินไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การแยกทิศทางและความเป็นไปได้ที่อาจบินผ่านในทันที จึงไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการร่นระยะทาง

แม้ตลอดการเดินทางปาจื่อไม่จำเป็นต้องวิ่งเอง แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้ เขาหมดแรงกายไปไม่น้อย ความจริงเพราะถูกกระตุ้นทางจิตใจอย่างมาก

จี้หยวนมองไปทางค่ายภูเขาที่มืดทะมึน ตาทิพย์เห็นว่าควันไฟยังคงหนาแน่น แต่เขารู้ว่านี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ลวง เพราะควันไฟไม่พวยพุ่งอีก เหมือนกับหมอกเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวหลังไฟมอด ดูแล้วยังคงหนาแน่น แต่ความจริงดับไฟไปแล้ว

จี้หยวนจับคอเสื้อปาจื่อแล้วกระโจนตัว ใช้เท้าย่ำลมฝนกลางอากาศเล็กน้อย ข้ามระยะทางหลายร้อยจั้งก่อนตกลงกลางค่ายราชาทักษิณโดยตรง

ทั้งค่ายเงียบกริบ ไม่มีเสียงอะไรเลยสักนิด แม้แต่ม้าในคอกเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในตาทิพย์ของจี้หยวน ภายในค่ายไม่เพียงไร้สิ่งมีชีวิต กระทั่งวิญญาณก็ไม่เหลือ ชัดเจนว่าไม่ว่าคนหรือม้าล้วนถูกดูดปราณดั้งเดิมทั้งตัวไปจนหมดเกลี้ยง

เมื่ออยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้แล้ว จี้หยวนได้กลิ่นเหม็นเข้มข้นแล้วเช่นกัน

“ไม่ได้มีตัวเดียว? อยู่ใต้ดินหรือ”

จี้หยวนมุ่นคิ้ว สะบัดมือ กระบี่เครือเขียวหมุนเป็นเกลียวลอยขึ้นฟ้า

“เอ่อ…อะ อะไรที่ไม่ได้มีตัวเดียว”

ปาจื่อกลืนน้ำลาย ถามอย่างกระวนกระวาย แต่ยังไม่ทันได้คำตอบจากจี้หยวนก็รู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลตรงคอเสื้อ ตัวเขาเสียสมดุลไปแล้ว

“อ๊าก!”

จี้หยวนโยนปาจื่อขึ้นท้องฟ้า แทบจะในวินาทีเดียวกับที่ปาจื่อบินขึ้น พื้นดินพากันระเบิดออก

ตูม…

ตูม…

ตูม…

ศพสามศพในเสื้อผ้ามอมแมมพุ่งออกมากระโจนใส่จี้หยวน พร้อมกันนั้นมีอีกศพหนึ่งเข้าใกล้จากใต้ดินข้างหลัง ยื่นกรงเล็บใส่ข้อเท้าจี้หยวน

ศพประหลาดเหล่านี้รวดเร็วดุจเงา อยู่ตรงหน้าแท้ๆ จี้หยวนกลับมองไม่ทัน

จี้หยวนเหมือนกับเล่นสเก็ตน้ำแข็ง ถลาไปหาศพประหลาดที่อยู่ฝั่งซ้าย โคจรวิชาฝ่ามือจากเทียบรบทัณฑ์เหล็ก ใช้ปราณวิญญาณเป็นพื้นฐาน หนึ่งฝ่ามือฟาดข้างศพประหลาดศพหนึ่งอย่างแรง

ปัง… เสียงดังขึ้นราวกับกระแทกบนผิวหนังพันชั้น ศพประหลาดที่ถูกจู่โจมเหมือนถูกสัตว์ร่างยักษ์ทำร้าย ลอยหวือไปด้านข้างไกลหลายจั้ง จากนั้นเสียงปังกระแทกสู่ใจกลางเรือนหลังหนึ่งของค่ายภูเขา และมีเสียงตูมดังขึ้นอีกเพราะผนังด้านหนังของเรือนระเบิดออก กระแทกกับบนพื้นอย่างจัง เท่านี้ก็เห็นอานุภาพฝ่ามือนี้ของจี้หยวนอย่างชัดเจนแล้ว

แต่หลังจากหนึ่งฝ่ามือผ่านไป จี้หยวนรู้สึกได้ถึงแรงย้อนกลับที่ผิดคาดสายหนึ่ง ทว่าเขาตั้งใจไม่แปลงพลังสายนี้ ร่างกายจึงไถลไปด้านหนึ่งเพราะแรงมหาศาล ตลอดเวลานี้สองเท้าเตะน้ำโคลนบนพื้นกระเด็นขึ้นมา

ศพประหลาดอีกสองศพสบโอกาส แปลงกายเป็นเงากระโจนเข้าหาจี้หยวนที่ลอยไปอีกครั้ง

หวือ…

ปราณสกปรกดุจลมคลั่งสายหนึ่งพัดขึ้น ลมปราณสีเทาแดงพ่นออกจากปากจี้หยวน ไล่ตามศพประหลาดชั่วร้ายสองศพพอดี

ปราณที่ปรากฏออกมาเป็นสีแดงอ่อนอย่างชัดเจน ส่องสว่างม่านราตรีสีดำขลับรอบข้าง

ซ่า…ศพประหลาดสองศพกลายเป็นสีเพลิงในทันที ร่างทั้งสองคล้ายกับกลายเป็นฟืนที่ถูกเผาจนเป็นสีแดง พลังไฟและแสงไฟทำให้หยดน้ำฝนบนตัวพวกมันเดือดจัดส่งเสียงปุดๆๆ ไอสีขาวกลุ่มใหญ่ลอยอยู่โดยรอบ

“โฮก…”

“โฮก…”

ระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ ที่ศพประหลาดถูกเผายังคงมีความรู้สึก สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดทำให้พวกมันกลิ้งเข้าหาแอ่งน้ำ แต่ไฟนี้ไม่ยอมดับโดยสิ้นเชิง

กระบวนการเผาทั้งหมดเกิดขึ้นภายในสองลมหายใจ หลังจากนั้นมนุษย์ไฟทั้งสองหมดแสงสว่าง ก็กลายเป็นเถ้าและละลายอยู่กลางแอ่งน้ำจนหมดสิ้น

จี้หยวนชำเลืองมองบนพื้น ศพที่เพิ่งคว้าข้อเท้าตนเองหายไปแล้ว

โอกาสดีที่จี้หยวนตั้งใจช่วยพวกมันสร้างขึ้นไม่อาจดึงดูดตัวที่อยู่ใต้ดินให้ออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจู่โจมขนาบข้างของพวกที่ออกมาจากใต้ดินแล้วเหล่านั้น บ่งบอกว่าพวกมันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่รู้จักเพียงการฆ่ากินเป็นอาหาร กระนั้นมีปัญญาแล้ว

“ผีดิบหรืออย่างไร ดำดินเป็นด้วยหรือ ลื่นไปหมด…”

ขณะพูดกับตนเอง เขาร่นระยะทางเดินไปข้างหน้า กระโดดเข้าไปในเรือนที่ถูกโจมตีทะลุโดยตรง มาถึงข้างศพประหลาดที่ถูกฝ่ามือหนึ่งของเขาอย่างจัง

ตอนนี้มันเพิ่งลุกขึ้นยืน จี้หยวนย่ำเท้าราวกับลอยไปอยู่บนเศษแผ่นไม้ข้างๆ มันแล้ว จากนั้นยื่นมือขวาแล้วสะบัดแขนเสื้อ

ซ่า ศพประหลาดบนพื้นหายไปไม่เห็น ถูกเก็บเข้าแขนเสื้อทันที

“เหมือนจะยังมีอีกหลายตัวกระมัง หึ!”

จี้หยวนตั้งสติมองรอบๆ ค่ายภูเขา ย่ำเท้ากระโจนตัวจับปาจื่อที่กำลังร้องโวยวาย ก่อนจะตกลงบนยอดหลังจากเรือนหลังหนึ่งของค่ายภูเขา

กลางอากาศ กระบี่เครือเขียนส่องแสงจ้า

ชิ้ง

กระบี่เซียนออกจากฝัก แสงสีเงินสายหนึ่งสว่างวาบ เห็นค่ายภูเขา ภาพรวมภูเขาเชื่อมกันเป็นเส้นตรงกับกระบี่เซียนบนท้องฟ้า

ตูม

พื้นดินถูกกระบี่เซียนกรีดออกเป็นรูขนาดใหญ่…

แทบจะในขณะเดียวกันนั้น…

โครม

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ประกายกระบี่สี่เงินจากยอดเขาพุ่งลงสู่เบื้องล่าง เปิดทางทะลุ ปราณกระบี่ทะลุผ่านภูเขาทั้งลูกแล้ว

ทันใดนั้นภูเขาส่งเสียงครืน พื้นดินสั่นไหวเล็กน้อย

ปาจื่อมีมือหนึ่งของจี้หยวนจับคอเสื้อตนเองไว้ถึงไม่ล้มลงไป เพราะสองขาตอนนี้อ่อนเปลี้ยไปหมดแล้ว

ในหมู่บ้านร้าง บนขื่อของบ้านหลังใหญ่นั้น กระเรียนกระดาษตัวหนึ่งก้มศีรษะลงมองข้างล่าง

ข้างนอกมีหนึ่งกองไฟ ข้างในมีหนึ่งกองไฟ กระเรียนกระดาษอยู่ตรงกลางระหว่างขื่อพอดี หลบเลี่ยงพลังงานความร้อนที่ลอยขึ้นจากกองไฟ

แม้กระเรียนกระดาษยังไม่เกิดปัญญาอย่างชัดเจน แต่สัญชาตญาณเลี่ยงความชั่วเสาะหาความดีกลับรุนแรงมาก หลายครั้งรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง กับลมปราณเล็กน้อยและสิ่งของที่มีคุณสมบัติพิเศษจึงว่องไวผิดปกติ

ทีแรกนักพรตตู้ใช้ยันต์คนกระดาษเพื่อเชิญจอมพลังมา ตอนที่ยันต์กระดาษเปลี่ยนสถานะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกและมหัศจรรย์ กระเรียนกระดาษน้อยรู้สึกได้เช่นเดียวกันจึงพาจี้หยวนตามไปเสาะหา

จี้หยวนให้กระเรียนกระดาษอยู่ที่นี่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อย่างไรเสียบางครั้งการตอบสนองของคนธรรมดาก็ไม่เพียงพอ ขาดความสามารถในการตรวจจับวิกฤติการณ์ล่วงหน้า

ตอนนี้กระเรียนกระดาษนอกจากมองยันต์กระดาษเหลืองในเมือหวงจือเซียนอย่างตั้งใจ ยังสังเกตการกระทำของทุกคนข้างล่างด้วยเช่นกัน

จอมยุทธ์จำนวนหนึ่งตากเสื้อนอกแห้งแล้วจึงให้สหายกำบังเพื่อถอดเสื้อข้างในออก สวมเสื้อนอกแทน จากนั้นตากเสื้อผ้าตัวอื่น เด็กสาวทางนั้นดื่มน้ำอุ่นกินขนมเปี๊ยะที่อุ่นจนนิ่มแล้ว ส่วนบุรุษคนหนึ่งเกร็งร่างกายปล่อยปัสสาวะทีละนิด อีกทั้งทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย…

กระเรียนกระดาษมองภาพทั้งหมดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ถึงขนาดไม่ได้มีความคิดอะไร เพียงมองเท่านั้น โดยเฉพาะบุรุษที่กำลังปัสสาวะ การกระทำนั้นไม่มีความหมายอะไรสำหรับกระเรียนกระดาษ แต่มันกลับยังคงมองอย่างตั้งใจสุดขีด

ทว่าตอนนี้ข้างนอกกลับมีลมปราณที่ทำให้กระเรียนกระดาษวุ่นวายใจปรากฏขึ้น มันเสาะหาเงาร่างของจี้หยวนตามสัญชาตญาณ แต่ตอนนี้เจ้านายไม่อยู่ที่นี่ จากนั้นกระเรียนกระดาษจ้องมองหวงจือเซียนหรือไม่ก็จ้องยันต์คนกระดาษสีเหลืองในมืออีกฝ่าย

ไม่นานเท่าไหร่นักม้าสองตัวข้างนอกก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน

“ฮี้ๆๆๆ…ฮี้ๆๆๆ”

กับๆ…กับๆๆๆ…

นี่คือม้าแก่อายุปีกว่า ผอมแห้งทว่ามีชีวิตชีวามาก พวกมันย่ำกีบเท้าอยู่ข้างนอก ส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง ร้อนใจคิดหลุดออกจากพันธนาการของเชือก

เมื่อได้ยินเสียงของม้า หานหมิงและอีกหลายคนทางนั้นสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะม้าเป็นสมบัติสำคัญของพวกเขา

“ต้องออกไปดูม้าของพวกเราหน่อยแล้ว ถ้าวิ่งหนีไปจะทำอย่างไร”

“ใช่ๆๆ ต้องออกไปดูหน่อย!”

หานหมิงและชายหนุ่มอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน หวงจือเซียนเห็นว่าข้างนอกมืดทะมึน อีกทั้งเห็นว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดาไม่เป็นวรยุทธ์จึงลุกขึ้นกล่าว

“ข้าจะไปดูให้พวกท่านเอง”

เห็นหวงจือเซียนตั้งท่าจะออกไป กระเรียนกระดาษบนขื่อตีปีกบินลงมาทันที พลันบินถึงตรงหน้าหวงจือเซียน หวงจือเซียนเพียงรู้สึกว่ามีอะไรผ่านหน้าไป ยังไม่ทันมองชัดเจนว่าเป็นอะไรก็เจ็บปลายนิ้วขึ้นมา

“ซี้ด…อ๊ะ…”

นิ้วโป้งของหวงจือเซียนถูกกัดเป็นแผลขนาดเล็ก ทำให้เขาปล่อยมือเพราะความเจ็บโดยพลัน ยันต์กระดาษเหลืองหล่นลงจากมือ

“มีนกกัดคน…”

“หลบฝนอยู่ในเรือนหรือนี่”

“ไม่ใช่ เป็นแค่นกกระดาษ!”

“มะ มันบินเองได้?”

หวงจือเซียนเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้วส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ คนข้างๆ ต่างลุกขึ้นยืนโดยจิตใต้สำนึกทั้งสิ้น

นกกระดาษตัวหนึ่งบินกลับไปกลับมาที่หน้าประตู แม้ทำให้ตกใจทว่าไม่ถึงขั้นน่ากลัว หลายคนล้วนมีสีหน้าสงสัย

กระเรียนกระดาษตีปีกไปหยุดลงข้างๆ ยันต์กระดาษบนพื้น ปีกข้างหนึ่งกระพือขึ้นลงตียันต์กระดาษเหลืองบนพื้น

ตอนนี้คนจำนวนหนึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าคนกระดาษเหลืองส่องแสงสีเหลืองที่เหมือนกับควันออกมาหลายกลุ่ม

หวงจือเซียนมองแผลบนนิ้วมือ คนกระดาษเหลืองบนพื้นเปื้อนเลือดแล้ว

กระเรียนกระดาษมองออกไปข้างนอก เปลี่ยนมุมอีกครั้งแล้วบินไปยังด้านหนึ่งของคนกระดาษเหลือง ยังคงใช้ปีกตียันต์กระดาษ

ทันใดนั้นหวงจือเซียนเข้าใจความหมายของมันแล้ว เขามองออกไปข้างนอก มุ่นคิ้วลังเลคู่หนึ่งแล้วลองตะโกนออกไป

“จอมพลังจงมา”

ซ่า

กระดาษเหลืองพลันกลายเป็นควันส่องแสงสีเหลืองไปทั่วทุกทิศ เงาร่างกำยำแปลกประหลาดปรากฏขึ้นตรงกลาง จากนั้นแสงสีเหลืองก็หายไปในระยะเวลาอันสั้นอย่างยิ่ง

ตรงที่เดิมปรากฏเทพที่แข็งแรงเป็นพิเศษ ส่วนสูงมากกว่าสิบฉื่อ ทั่วกายหุ้มเกราะทอง ใบหน้าแดงเหมือนกับหยกสีแดง เคราเหมือนกับเข็มเหล็ก ผ้าสีเหลืองทั้งหน้าและหลังให้ความรู้สึกลึกลับบางอย่างด้วย

เดิมทีหวงจือเซียนนับว่าเป็นชายหนุ่มกำยำคนหนึ่ง ทว่าอยู่ต่อหน้าจอมพลังเกราะทองกลับคล้ายกับเด็กที่ยังไม่โต

จอมพลังเกราะทองก้มหน้ามองหวงจือเซียน จากนั้นมองกระเรียนกระดาษที่อยู่ข้างๆ

หลังจากเงียบเชียบอยู่สองอึดใจ จอมพลังหันกายเปลี่ยนมุม หันหน้าไปหากระเรียนกระดาษที่บินอยู่กลางอากาศ ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

“นายท่าน!”

หลังจากทำความเคารพแล้ว จอมพลังเกราะทองหันไปมองข้างนอกประตู แล้วก้มหน้าลอดกรอบประตูก้าวออกไป

สายตาของทุกคนในเรือนออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง ต่างฝ่ายต่างก็จองเทพเกราะทองเขม็ง

เห็นเทพเกราะทองเดินออกไปข้างนอกก่อนจะโค้งตัวลง แขนซ้ายขวางอยู่ข้างหน้า แขนขวากำกำปั้นชกไปข้างหน้า ผ้าสีเหลืองทั้งหน้าและหลังปลิวไสว

ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว หมัดของจอมพลังเกราะทองระเบิดออกเหมือนประทัด กระแทกพื้นดินข้างหน้าทันที

วูม…โครม…

พื้นดินแตกออก รอยแตกขยายออกไปสิบกว่าจั้งในเวลานี้

ตูม…

พื้นดินไกลออกไปหลายสิบจั้งระเบิดออก เงาดำสายหนึ่งโผล่ออกจากใต้ดินเพราะการจู่โจมนี้

ครืน…

พื้นดินกำลังสั่นไหวเล็กน้อย ทุกคนภายในเรือนข้างหลังจอมพลังเกราะทองมีความรู้สึกว่ายืนไม่มั่นคง มีฝุ่นตกลงมาจากบนหลังคาอย่างต่อเรื่อง ทว่าไม่นานเท่าไหร่ก็สงบลง

————————————————————————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด