เซียนหมากข้ามมิติ 99 สองทางเลือก

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 99 สองทางเลือก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 99 สองทางเลือก

ตามนิสัยในอดีตของจี้หยวน เขาจะไม่จงใจทำตัวเป็นพ่อพระต่อหน้าคนอื่น แต่สถานการณ์ในครั้งนี้แตกต่างกัน นายช่างทุกคนในร้านตระกูลเหยียนมีศัตรูคู่แค้นร่วมกันอย่างเห็นได้ชัด เห็นจี้หยวนเป็นคนในยุทธภพเลวทรามที่สนใจในมรดกของตระกูลจั่ว

คำว่า ‘เลวทราม’ อาจจะยังพอปรึกษากันได้ แต่รับประกันว่าวิธีการที่ดีที่สุดของคนตระกูลจั่วคือทำให้คนอื่นคิดว่าตระกูลจั่วไร้ไม่มีใครเหลือ โดยไม่สนว่าผู้มาเยือนจะมาดีหรือมาร้าย

แม้นายช่างทั่วทั้งร้านตระกูลเหยียนจะพูดจาให้ร้ายคนตระกูลจั่ว ถึงขนาดแช่งให้ตระกูลจั่วตายตก ทว่าจี้หยวนไม่เพียงเป็นคนในยุทธภพที่นับถือจั่วหลี ยิ่งเป็นผู้ฝึกเซียนคนหนึ่ง เป็นคนที่ใช้วิชามองเห็นปราณได้คนหนึ่ง

ถึงการมองเห็นปราณจะไม่อาจแยกแยะได้ว่าผู้อื่นพูดโกหกหรือไม่ แต่กลับมองออกว่าโกรธเคืองจริงหรือไม่ อีกทั้งรัศมีปราณยังเปลี่ยนแปลงพร้อมๆ กันอย่างน่าประหลาดด้วย

สถานการณ์แบบนี้น่าเคารพนับถือสำหรับจี้หยวนอย่างเห็นได้ชัด และหากคนที่น่านับถือกลุ่มนี้เชื่อคำคนนอกอย่าง ‘ไม่มีทางทำร้ายตระกูลจั่ว’ ง่ายๆ วางใจบอกเรื่องคนรุ่นหลังตระกูลจั่วกับคนอื่นอย่างใจกล้า เช่นนั้นตระกูลจั่วคงจะตายตกกันไปหมดแล้วจริงๆ

วิธีการที่ดีที่สุดก็คือยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น ยกระดับให้ถึงขั้นที่ไม่มีทางละโมบในผลประโยชน์ของตระกูลจั่ว

ชัดเจนว่าเซียนเหมาะสมกับระดับนั้น!

เมื่อเห็นกระบี่เซียนเคลื่อนไหว คนโดยรอบส่งเสียงเซ็งแซ่ นายช่างวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ที่สุดกลืนน้ำลาย ถามอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว

“ลูกค้า…ท่านก็คือเซียนกระบี่จั่ว…ไม่ เป็นเซียนที่ตามหาจั่วหลีผู้ล่วงลับหรือ”

เมื่อนึกย้อนไปตอนจั่วหลีเป็นสุดยอดของยุทธภพ ภายหลังความต้องการทะลวงระดับขั้นถึงจุดที่ครอบงำจิตใจ แม้จะมีตำนานและเรื่องเล่าบนโลกใบนี้มากมาย ยามตามหายากจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลว ใจหนึ่งอยากเป็นเซียน ใจหนึ่งอยากกลายเป็นมาร อันเป็นสถานการณ์ของจั่วหลีในบั้นปลายชีวิต

“เซียน…”

จี้หยวนตอบกลับเสียงเรียบ

“พูดให้ถูกต้องน่าจะเป็นผู้ฝึกเซียนมากกว่า”

เขาโบกมือง่ายๆ กระบี่เครือเขียวค่อยๆ ลอยกลับไปสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเขามองนายช่างวัยกลางคนรวมถึงนายช่างใหญ่ที่อายุค่อนข้างมากแล้วโดยรอบ เก็บวิชาบังตาและเผยให้เห็นดวงตาสีขาวเทาราวกับบ่อน้ำโบราณไร้ระลอกคลื่น

“ตระกูลจั่วยังมีคนรุ่นหลังอยู่หรือไม่ หากไม่มีจริงๆ ข้าจะไปจากจังหวัดจวินเทียน ครั้งหน้าคิดตามหาข้า อาจจะเป็นจั่วหลีอีกคนหนึ่งไปแล้ว…”

เสียงนี้เจือความเสียดายเล็กๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความนัยในคำพูดก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดไปไกล และครั้งนี้ไม่มีใครกล้าไม่สนใจคำพูดนี้แล้ว

คำพูดของจี้หยวนถึงขนาดจงใจทำให้ทุกคนคิดถึงเรื่องในอดีตว่า ‘ตอนนั้นจั่วหลีเคยได้พบเซียนจริงๆ และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเคยได้รับคำชี้แนะ วิชายุทธ์ของเขาจึงรุดหน้าไปไกลจนไร้เทียมทานในใต้หล้า จนถึงบั้นปลายกลับต้องการตามหาเซียนอีกครั้ง แต่ร่องรอยเซียนสูญหายไม่อาจพบเจอได้อีก สุดท้ายจึงจากโลกนี้ไปทั้งที่ยังไม่สมปรารถนา’

ตอนนี้เซียนผู้นั้นมาหาแล้ว เพียงแต่ช้าไปหลายสิบปี!

ทุกคนพลันนึกถึงคำพูดหนึ่งก่อนหน้านี้ ‘มอบคำชี้แจงที่ช้าไปหลายสิบปีให้กับจั่วหลี’

มีสองคนท่ามกลางนายช่างทุกคนจ้องมอง ‘เซียน’ พร้อมตัวสั่นและหายใจติดขัด มือที่จับขากางเกงจิกถึงเนื้อแล้ว

นายช่างใหญ่ทั้งหมดสูดลมหายใจลึก ในที่สุดเอ่ยสิ่งที่จี้หยวนคาดหวังออกมา

“ไม่กล้าปิดบังท่านเซียน ตระกูลจั่วมีคนรุ่นหลังจริง โย่วเทียน โย่วซิน ออกมาพบท่านเซียน เหยียนหัว ไปเรียกอวี้เหนียยง อา และอาสะใภ้ของเจ้ามา!”

นายช่างวัยกลางคนเปลือยท่อนบนข้างๆ จี้หยวนได้ยินดังนั้นก็งสงบจิตใจ เบียดผู้คนข้างนอกเรือนและวิ่งตรงไปยังบ้านพักตรงนั้น

จี้หยวนฟังดูแล้ว ตระกูลจั่วเหมือนจะยังมีอยู่ไม่น้อย

หลังจากนั้นครึ่งเค่อ เสียงตีเหล็กในร้านดังขึ้นอีกครั้ง ส่วนในกลางห้องโถงริมแม่น้ำข้างหลังร้าน ในที่สุดจี้หยวนก็ได้พบคนตระกูลจั่วที่มีใบหน้าเครียดเกร็งและตื่นเต้น แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นคนตระกูลเหยียน

สามีภรรยาอายุเกินครึ่งร้อยคู่หนึ่ง ชายร่างกายกำยำอายุสามสิบปีคนหนึ่งและอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ไปจนถึงภรรยาของพวกเขา สตรีอายุสิบแปดปีที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง เด็กชายวัยแปดปีคนหนึ่งและเด็กหญิงวัยสามขวบคนหนึ่งล้วนเป็นลูกของชายอายุสามสิบปี พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดและอยากรู้อยากเห็น โดยผู้เป็นแม่จูงมืออยู่ข้างๆ

นอกจากนี้ สตรีที่แต่งเข้าตระกูลล้วนรออยู่ข้างนอกทั้งหมด

จี้หยวนและนายช่างใหญ่ที่อายุมากที่สุดอย่างเห็นได้ชัดต่างก็นั่งลงข้างโต๊ะในห้องโถง บนโต๊ะวางไว้ด้วยจอกชาสองจอก

“ท่านจี้ นี่ก็คือคนรุ่นหลังของตระกูลจั่วทั้งหมด แน่นอนว่าข้างนอกนั่นยังมีสายเลือดที่ให้กำเนิดอย่างลับๆ หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ ในปีนั้นมีปัญหาทั้งในและนอก ทั้งตระกูลวุ่นวายเจอหายนะไม่ขายสาย พวกข้ารักษาชีวิตไว้ได้สองคนก็ถือเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดแล้ว”

เทียบกับการถูกเรียกว่าท่านเซียน จี้หยวนชินกับการถูกคนอื่นเรียกว่าเขาท่านจี้มากกว่า จึงตักเตือนแล้วว่าอย่าเรียกมั่วซั่ว กลับกลายเป็นว่าคนอื่นกลับเห็นว่าเขาเป็นเซียนถ่อมตนผู้หนึ่ง

จี้หยวนใช้สายตาเลือนรางกวาดมองคนตระกูลจั่วที่ยืนอยู่ข้างหน้าเป็นแถวแต่กลับไม่กล้าพูดอะไร ดูท่าทางจะเก็บความกดดันก่อนหน้านี้มากจนเกินไป

คนตระกูลจั่วสัมผัสได้ถึงแววตาสีเทาขาวนั้น ต่างไม่มีใครกล้าสบตา

‘ความกล้าหาญหายไปหมดแล้ว…แต่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้’

จี้หยวนโบกมือครั้งหนึ่ง กระบี่เครือเขียวลอยอยู่ตรงหน้าคนตระกูลจั่วด้วยตัวเอง

“ผู้สืบเชื้อสายตระกูลจั่วทุกคน ใช้มือสัมผัสด้านกระบี่เบาๆ แล้วข้าจะรู้ว่าพวกเจ้าใช่คนตระกูลจั่วจริงหรือไม่”

คนแซ่จี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ป้องกันด้วย กระบี่เงาพิสุทธิ์ติดตามจั่วหลี่หลายสิบปี บ่มเพาะจิตวิญญาณแล้วเรียบร้อย จึงมีปฏิกิริยากับสายเลือดตระกูลจั่วเป็นพิเศษ หากมีคนกล้าสวมรอยก็จะเปิดโปงได้ในทันที

คนเหล่านี้ตั้งแต่เด็กจนถึงชราล้วนสัมผัสกระบี่เครือเขียวทุกคนอย่างระมัดระวัง กระบี่ส่งเสียงร้องสดใส พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลจั่วอย่างแท้จริง

ทว่าตอนนี้จี้หยวนพลันลังเลว่าต้องมอบ ‘ตำรากระบี่จั่วหลี’ ให้พวกเขาหรือไม่ แม้จะปิดบังชื่อแซ่ แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็มั่นคงแล้ว มีตำราลับอันเป็นที่สุดแห่งยุคเช่นนี้ ไม่ใช่จะเป็นการชักนำพวกเขาสู่ยุทธภพอีกครั้งหรือ

กระนั้นความจริงตบหน้าจี้หยวนแล้ว ทำให้เขาเข้าใจว่าตัวเองคิดมากจนเกินไป สุดท้ายชายชราที่ปิดบังแซ่ ใช้ชื่อว่าเหยียนป๋อหรันซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั่วผู้นั้น เขาทำใจให้สงบและก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากอกเสื้อ

“ทะ ท่านเซียน…นี่เป็นตำราลับของตระกูลที่บรรพบุรุษส่งทอดกันมา มีชื่อว่า ‘ตำรากระบี่จั่วหลี’ เชิญท่านเซียนชม! ตระกูลจั่วของข้าเจอกับหายนะจนตัวตายเพราะมัน ทว่าผู้อาวุโสในตระกูลเมื่อในอดีตคิดเรียนรู้วิชากระบี่เลิศล้ำเพื่อแก้แค้น ทุกข์ยากอย่างไรก็ไม่มอบให้ใคร…แต่คนรุ่นหลังของตระกูลจั่วอย่างข้ากลับไม่ได้เก่งกาจเหมือนบรรพบุรุษ ไม่มีใครทำสำเร็จ…”

เห็นหรือไม่ จี้หยวนคิดมากเกินไปจริงๆ ถึงแม้มีข่าวลือว่าคนตระกูลจั่วตกต่ำเพราะจั่วขวงถูไม่ได้ส่งทอดตำราลับอันเลื่องลือให้ตระกูลจั่ว และในปีนั้นตระกูลจั่วก็โด่งดังในยุทธภพอยู่แล้ว ทว่าต่อให้จั่วหลีหมกมุ่นในการตามหาเซียนอย่างไร สุดท้ายก็ไม่ได้ขาดมโนธรรม เขาไม่มีทางมุ่งร้ายต่อลูกหลานตระกูลตัวเองกระมัง

ดังนั้นความจริงน่าจะเป็นจั่วหลีส่งทอดตำราลับแล้ว แต่ถึงจะมีคนตระกูลจั่วมากมาย จั่วหลีกลับมีเพียงผู้เดียว วิชายุทธ์ดีได้ก็ต้องดูว่าใครเป็นผู้ฝึก ผลปรากฏว่าภายหลังตระกูลจั่วไม่มีใครต่อสู้ได้สักคน จึงถูกผู้อื่นบีบเค้นจนบ้านแตกสาแหรกขาด

คนตระกูลจั่วในตอนนั้นก็แข็งขืนอยู่เหมือนกัน ถูกบีบจนเป็นเช่นนั้นก็แล้วก็ยังกล้ำกลืนฝืนทน คิดแก้แค้นอย่างแน่นอน ระหว่างนั้นเกิดเรื่องซับซ้อนพรวนหนึ่ง จนสุดท้ายแล้วกลายเป็นอย่างทุกวันนี้

จี้หยวนรับตำราลับมา แต่ตำราลับนี้ไม่ได้เขียนด้วยลายมือของจั่วหลี อีกทั้งไม่ได้ตั้งใจเก็บไว้ จี้หยวนมองตัวอักษรไม่ชัดสักเท่าไหร่ แต่พลิกอ่านดูแล้วก็นับว่าเข้าใจ ความหนาของตำราและจำนวนตัวอักษรที่เขียนไว้น่าจะไม่มาก ภาพวาดจำนวนหนึ่งข้างในดูรางเลือน แต่ก็พอจะแยกแยะได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเหมือนกัน

จั่วหลีทิ้งตำราลับเอาไว้ แต่ไม่ถึงกับมอบความวุ่นวายให้กับคนรุ่นหลัง ไม่เช่นนั้นก็บ้าไปแล้วจริงๆ

อ่านทั้งๆ ที่ตาพร่ามัวรอบหนึ่ง จี้หยวนหยิบตำราลับที่เขียนด้วยลายมือของจั่วหลีออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะรวมกับตำราเล่มที่ชายชรามอบให้

“นี่คือตำรากระบี่ที่เขียนด้วยลายมือของจั่วหลี น่าจะใกล้เคียงกับตำราลับที่ส่งทอดกันในตระกูลของพวกเจ้า ข้าจะส่งคืนให้พวกเจ้าด้วย ส่วนกระบี่เงาพิสุทธิ์…”

จี้หยวนยังไม่ทันพูด กระบี่เครือเขียวที่ลอยคว้างอยู่ส่งเสียงขึ้น ลอยกลับไปอยู่ข้างหลังเขาทันที เผยให้เห็นเพียงด้ามกระบี่ อีกทั้งส่งเสียงแหลมเล็กเบาๆ ไม่หยุด ราวกับกลัวว่าจี้หยวนจะส่งมันคืนให้คนตระกูลจั่ว

“ฮ่าๆ เจ้ากลัวอะไร วันนี้เจ้าเป็นกระบี่เครือเขียวแล้ว…”

จี้หยวนยิ้มพลางบ่น คราวนี้กระบี่ยาวถึงสงบลงได้ เขาส่ายหน้าแล้วมองไปยังคนตระกูลจั่วอีกครั้ง

“ส่วนกระบี่ยาวเล่มนี้ไม่อาจส่งคืนให้พวกเจ้าได้แล้ว จั่วหลีบ่มเพาะกระบี่แทนข้าหลายสิบปี นับว่าข้ารับน้ำใจนี้ของเขา…เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าคนแซ่จี้ให้ทางเลือกกับพวกเจ้า”

“หนึ่ง ข้าคนแซ่จี้จะตั้งอกตั้งใจสืบทอดประกาษิตต่อไป ขอเพียงประกาษิตยังไม่เสื่อมสลาย รับรองว่าพวกเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขไร้มารผจญ ยิ่งมีหน้าไปพบเทพหลักเมืองจังหวัดจวินเทียนสักครั้ง ให้เขาดูแลตระกูลจั่วของพวกเจ้ามากขึ้น ก่อนเกิดเพิ่มผลบุญ เมื่อตายไปแล้วแม้กระทั่งได้เข้าไปทำงานในศาลมืด!”

จี้หยวนพูดอย่างจริงจัง บ่งบอกว่าพูดแล้วจะทำเช่นนั้น ครั้นพูดทางเลือกแรกจบแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพูดต่อ

“สอง ข้าจะอยู่ที่จังหวัดจวินเทียนช่วงหนึ่ง ชี้แนะคนตระกูลจั่วเรียนตำรากระบี่ สืบสานเจตจำนง!”

ทันทีที่พูดจบ จี้หยวนลืมตาสีเทาขาวมากขึ้น มองทุกคน

“พวกเจ้าจะเลือกทางใด”

เหตุผลที่จี้หยวนให้ทางเลือกโดยตรงเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะอยากถามว่าพวกเขามีความปรารถนาอะไร แม้กระทั่งกลัวด้วยว่าคนเหล่านี้จะอยากเป็นเซียนกันทุกคน เขาคนแซ่จี้ทำไม่ได้ยังพอว่า หนี้น้ำใจที่ติดค้างจั่วหลีก็ไม่ได้มากมายถึงขั้นนั้น ทางเลือกง่ายๆ ในตอนนี้จึงมีเพียงสองทาง

เห็นทั้งคนแก่และเด็กในบรรดาพวกเขาอ้าปากอยากพูดหลายครั้งอยู่หลายคน จี้หยวนเลยยกมือขึ้นหยุดยั้งการติดสินใจอันรีบเร่งของพวกเขา

“ไม่จำเป็นต้องตอบทันที พิจารณาสักคืน พรุ่งนี้ค่อยบอกข้าก็แล้วกัน!”

จี้หยวนลุกขึ้นยืนเมื่อพูดจบ ก่อนจะประสานมือคารวะนายช่างชราที่อยู่ข้างๆ

“ขอบคุณนายช่างที่ต้อนรับ ขอบคุณน้ำใจจากทุกคนด้วย พรุ่งนี้คนแซ่จี้จะมาใหม่!”

นายช่างชรารีบลุกขึ้นคารวะกลับ

ฝ่ายจี้หยวนพูดจบแล้วพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ให้ทุกคน แล้วสาวเท้าออกจากห้องโถงไป

เซียนจะเดินไม่ว่าใครก็ไม่กล้าห้าม ในสายตาตื่นตะลึงของทุกคน จี้หยวนทั้งไม่บินขึ้นฟ้าและไม่เดินบนพื้น เพียงเดินออกไปสิบกว่าก้าว เงาร่างของเขาก็ยิ่งมายิ่งเลือนราง สุดท้ายหายไปไม่เห็นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด