เทพสังหาร ยุทธการระห่ำบทที่ 481 จางอีเต๋อปรากฏตัว
หมัดที่รวดเร็วประดุจสายฟ้าซัดจนหวังเจี๋ยกระเด็นออกไปนอกห้องนอนของเย่เทียนเฉิน กระแทกหน้าต่างกระจกห้องนอนจนแตก การโจมตีนี้ทำให้ชางหลางและอู๋เสวี่ยคิดไม่ถึง
ฟุ่บ!
มีเงาร่างอีกเงาหนึ่งกระโดดลงไปทางหน้าต่าง ไม่เห็นระดับความสูงประมาณห้าถึงหกเมตรอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง คนคนนี้ก็คือเฮยเมี่ยน เฮยเมี่ยนระเบิดโทสะออกมาแล้ว หลังจากได้ยินคำถากถางของหวังเจี๋ยก็ซัดมัดออกไปทันที ทำให้หวังเจี๋ยป้องกันไม่ทัน ถูกต่อยไปที่จมูกอย่างแรงจนกระเด็นออกไปทั้งร่าง
อู๋เสวี่ยและชางหลางสบตากัน พวกเขาสองคนค่อนข้างมองภาพรวมเป็นสำคัญ ต่างก็ไม่ได้พูดอะไร รีบเดินออกไปนอกห้องนอนทันที ในตอนที่อู๋เสวี่ย ชางหลาง หลินตวนและเปาเทียนหลงเดินออกมานอกคฤหาสน์ หวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนก็กำลังต่อสู้กันอยู่ ความสามารถของทั้งสองล้วนไม่อ่อนแอ ในเวลาเพียงชั่วครู่ไม่สามารถแบ่งแยกแพ้ชนะได้ นี่ทำให้ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง กระทั่งเฮยเมี่ยนเองก็รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ แม้เขาจะรู้ดีว่าถ้าตนลงมือเต็มที่จะสามารถกดดันหวังเจี๋ยได้ แต่นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของเย่เทียนเฉินแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เย่เทียนเฉินจะก่อตั้งกลุ่มที่แข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมาได้
ตู้ม!
ตู้ม!
หมัดของหวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนปะทะกัน หวังเจี๋ยถูกต่อยจนกระเด็นออกไป ความสามารถของเขายังคงด้อยกว่าเฮยเมี่ยนเล็กน้อย จะอย่างไรเฮยเมี่ยนก็มีฐานะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนค่อนข้างดั้งเดิม ไม่เหมือนกับเส้นทางป่าเถื่อนของพวกอู๋เสวี่ย อย่างไรก็ตาม หวังเจี๋ยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก มองไปยังเฮยเมี่ยนอย่างดุดันแล้วพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
ตอนนี้ในใจของหวังเจี๋ยก็รู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว นี่ไม่ได้เป็นปัญหาของตัวเขาเองเท่านั้น แต่เกี่ยวพันไปถึงชื่อเสียงของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ด้วย เฮยเมี่ยนดูถูกเขาหวังเจี๋ยก็เท่ากับดูถูกกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ ถ้าแพ้ ภายภาคหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเฮยเมี่ยนคงไม่อาจเงยหน้าได้อีก
เฮยเมี่ยนเองก็ชะงักไป ไหนเลยเขาจะคิดว่าหวังเจี๋ยจะมีความสามารถสูงส่งขนาดนี้ เดิมทีคิดว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้น ต่อให้จะร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นแค่ยอดสีมือธรรมดากับพวกบอดี้การ์ดชั้นยอดทั่วไปเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่าจะมีความสามารถแข็งแกร่งขนาดนี้ มากเพียงพอที่จะสู้กับคนของขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างเขาได้ ทั้งยังไม่ตกเป็นรองมากเท่าไหร่นัก เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฮยเมี่ยนก็รู้สึกอยากจะทดสอบหวังเจี๋ยดูเสียหน่อยว่าจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน พริบตานั้นจึงกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปหาหวังเจี๋ยเช่นเดียวกัน
ตอนนี้เอง อู๋เสวี่ยและชางหลางสบตากัน ลงมือคิดจะหยุดหวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนแทบจะพร้อมกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแข่งขันกันโดยสิ้นเชิง อย่างไรเสียเย่เทียนเฉินก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ พวกเขามาต่อสู้กันที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไรแม้แต่น้อย
ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่อู๋เสวี่ยและชางหลางเพิ่งจะเตรียมตัวลงมือก็มีเงาคนเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านข้าง รวดเร็วเป็นอย่างมาก มือซ้ายซัดฝ่ามือไปยังหวังเจี๋ย มือขวากำหมัดต่อยไปยังเฮยเมี่ยนจนทั้งสองกระเด็นถอยหลังไป ส่วนตัวเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน มองไปยังหวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนด้วยท่าทีเย็นชา
“เซียนแพทย์เทวะ…”
“จางอีเต๋อ...”
หวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนส่งเสียงเรียกออกมาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ทะยานออกมาหยุดพวกเขาสองคนจะเป็นเซียนแพทย์เทวะอย่างจางอีเต๋อ ชายชราลึกลับคนนี้เรียกได้ว่าตามหาไปทั่วทั้งแผ่นดินจีนแล้วก็ยังหาเขาไม่พบ แต่ตอนนี้กลับโผล่ออกมาเอง ชายชราคนนี้แปลกประหลาดจริงๆ
“พวกคุณหยุดมือได้แล้ว สู้กันไปแบบนี้มีแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย!” จางอีเต๋อมองไปยังหวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนแล้วจึงกล่าวขึ้น
เฮยเมี่ยนรู้จักจางอีเต๋อดี ชื่อเซียนแพทย์เทวะนี้มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก เกรงว่าในโลกนี้ คนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดก็คือจางอีเต๋อคนนี้แล้ว อีกทั้งเดิมทีตัวจางอีเต๋อเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ความสามารถสูงส่งลึกล้ำเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นคงไม่อาจหยุดการต่อสู้ของตนกับหวังเจี๋ยได้ด้วยความสามารถของเขาเพียงคนเดียว
“หวังเจี๋ย หยุดมือ อย่าได้ทำร้ายผู้อาวุโสจาง!” เฮยเมี่ยนรีบเดินเข้าไปพลางกล่าว
การปรากฏตัวของจางอีเต๋อทำให้หวังเจี๋ยและเฮยเมี่ยนไม่สามารถสู้กันต่อไปได้อีก อู๋เสวี่ยและชางหลางรีบเข้ามาหยุดพวกเขา ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก จางอีเต๋อมาแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่ามีทางช่วยเหลือเย่เทียนเฉินที่หมดสติไปเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว
“หมอเทวดาจาง คุณรีบไปดูพี่ใหญ่ของผมหน่อยเถอะ เขาไม่กินไม่ดื่มมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว!” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินตวน จางอีเต๋อก็ไม่ได้แปลกใจนัก ก็เหมือนกับที่เคยพูดไว้ ต่อให้ไม่มีพวกอู๋เสวี่ยไปตามหาจางอีเต๋อ หากเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินบาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตาย เขาจะออกมารักษาด้วยตัวเอง เขากับเย่เทียนเฉินต่างก็เป็นผู้มีพลังพิเศษอีกทั้งยังพูดคุยกันถูกคอ คุยกันเรื่องเส้นทางการบ่มเพาะมากมาย อาจเรียกได้ว่าสนิทกันจนลืมเรื่องของอายุไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะจางรั่วถงผู้เป็นหลาน บางทีความสัมพันธ์ของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อคงดีกว่านี้ อย่างไรก็ตาม จางรั่วถงมอบร่างกายอันบริสุทธิ์ให้เย่เทียนเฉินไปแล้ว นี่อาจทำให้เย่เทียนเฉินกลายเป็นหลานเขยของจางอีเต๋อ เพียงแต่เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว จางอีเต๋อออกตามหาไปหลายแห่งก็ยังหาจางรั่วถงผู้เป็นหลานสาวของตนไม่เจอ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉินมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉิน พวกเขาสองปู่หลานคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ครอบครัวของพวกเขาจะแยกจากกันได้อย่างไร ในใจจึงไม่พอใจเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง ซึ่งนับว่ามีสาเหตุ
จางอีเต๋อมองไปรอบด้าน เดินไปยังเก้าอี้เอนที่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงนอนลงหลับตาอย่างสบายอารมณ์ ราวกับต่อให้เขาไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินบาดเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไรก็ยังไม่เก็บไปใส่ใจและไม่คิดจะรักษาให้เย่เทียนเฉินอย่างไรอย่างนั้น ราวกับเขาแค่ผ่านทางมาเท่านั้น
ใครก็คิดไม่ถึงว่าจางอีเต๋อจะมีท่าทีเช่นนี้ ทำให้อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน เปาเทียนหลง ชางหลางและเฮยเมี่ยนรวมทั้งสิ้นหกคนต่างรู้สึกหาสมองของตนไม่เจอ ในใจคิดว่าเซียนแพทย์เทวะหมายความว่าอย่างไรกันแน่? หากว่ากันตามเหตุผล ต่อให้พวกเขาไม่พูดอะไรจางอีเต๋อก็ควรจะรักษาให้เย่เทียนเฉิน แต่นี่ไม่เพียงแต่ไม่พูดว่าจะรักษาหรือไม่ กระทั่งไปดูก็ยังไม่ไป นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
อู๋เสวี่ยมองไปยังจางอีเต๋อก่อนจะเดินไปเบื้องหน้าเขา พูดอย่างนอบน้อมว่า “หมอเทวดาจางครับ ตอนนี้พี่ใหญ่ของผม…”
“ไม่ต้องพูดมาก ผมมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง รอไปก่อนเถอะ!” จางอีเต๋อส่ายหน้า กล่าวขัดคำพูดของอู๋เสวี่ย
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกอู๋เสวี่ยก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี จางอีเต๋อไม่เพียงแต่จะเป็นเซียนแพทย์เทวะ เขายังเป็นผู้อาวุโสของพวกเขาอีกด้วย ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้วก็ทำได้เพียงรอ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจางอีเต๋อให้รออะไร
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป เย่เทียนเฉินยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนอนโดยไม่ขยับเขยื้อน ในช่วงนี้พวกอู๋เสวี่ยทั้งหกคนยังไม่ได้ไปไหน หลัวเยี่ยนก็ทำอาหารอร่อยๆ ให้จางอีเต๋อ จางอีเต๋อก็ไม่ได้เกรงใจ กินลงไปทั้งหมด กินหมดแล้วยังนอนหลับบนเก้าอี้เอนต่อ นี่ทำให้พวกอู๋เสวี่ยต่างต้องตกตะลึง ชายชราคนนี้กำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วแต่กลับไม่ไปตรวจดูเย่เทียนเฉินสักครั้ง ลมหายใจของเย่เทียนเฉินก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าสถานการณ์คงไม่ดี
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน นอกจากจางอีเต๋อจะลุกมาเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ลุกออกจากเก้าอี้เอนอีกเลย อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน เปาเทียนหลง เฮยเมี่ยนและชางหลาง ทั้งหกยังคงรออยู่ที่นั่น พวกเขาอยากจะเห็นว่าจางอีเต๋อจะรักษาเย่เทียนเฉินอย่างไร เย่เทียนเฉินจะดีขึ้นหรือไม่ แต่ผ่านไปสองวันแล้ว ชายชราคนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนใจ
หวังเจี๋ยรู้สึกโกรธมาก เห็นว่าเวลาผ่านไปสองวันสองคืนแล้วจางอีเต๋อก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปรักษาพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินเลยแม้แต่น้อยจึงเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อ เอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ตาแก่จาง ตกลงคุณจะรักษาพี่ใหญ่ของผมหรือเปล่า? นี่ผ่านไปสองวันสองคืนแล้ว ทำไมคุณยังไม่เริ่มรักษาอีก?”
จางอีเต๋อมองหวังเจี๋ยครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน แต่กลับเอ่ยปากกล่าวว่า “คุณมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังแต่เก่าก่อน ถ้าหากไม่รักษาจะเป็นอัมพาตก่อนอายุ 40 ปีหรืออาจจะเสียชีวิตกระทันหันได้ ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลไหนรักษาให้คุณถึงได้ทิ้งอาการเรื้อรังไว้แบบนี้ นี่เป็นการทำร้ายคุณให้ตายได้!”
“อาการป่วยเก่า? ผมจะไปมีอาการป่วยเก่าก่อนอะไร ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ คุณไปรักษาอาการบาดเจ็บให้พี่ใหญ่ผมก่อนเถอะ!” หวังเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงโบกมือพูด
“ทุกวันตอนเที่ยงคืน กระดูกสันหลังข้อที่สามนับจากล่างขึ้นบนจะเกิดอาการปวด นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่หลงเหลือจากการต่อสู้กับคนอื่นในสมัยก่อนและไม่เคยได้รับการรักษาที่ต้นกำเนิดของอาการ ตอนนี้อาการคุณยังไม่กำเริบ ประการแรกเป็นเพราะความสามารถของคุณแข็งแกร่ง ประการที่สองเป็นเพราะคุณยังอายุน้อย ร่างกายแต่ละส่วนยังอยู่ในสภาพดี แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อยากน้อยก็เป็นอัมพาต อย่างมากก็เสียชีวิตฉับพลัน!” จางอีเต๋อพูดด้วยรอยยิ้ม
หวังเจี๋ยพลันตื่นตะลึง เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อปีนั้นเขาต่อสู้รุนแรง แม้สุดท้ายจะสังหารคนคนนั้นได้แต่กระดูกสันหลังของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในต่างประเทศ ถึงแม้จะรักษาหายดีแล้ว ทว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกวันตอนเที่ยงคืนหวังเจี๋ยจะรู้สึกปวดเล็กน้อยที่กระดูกสันหลังข้อที่สาม แต่ก็ยังทนไหว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจมันอีก ตอนนี้จางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะพูดให้เขารับรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหา แต่เขาก็ไม่ยอมเชื่อจางอีเต๋อ หวังเจี๋ยเป็นคนหัวแข็งคนหนึ่ง ตอนนี้ในใจของเขามีเพียงอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินเท่านั้น
“หึ ไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก หมอเทวดาจาง คุณพูดผิดแล้ว ผมว่าคุณไปดูอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ผมก่อนดีกว่า ถ้าคุณไม่มีความสามารถรักษาให้เขาหายดีก็ไปซะ อย่ามาทำพวกเราเสียเวลาที่นี่ ส่วนชื่อเซียนแพทย์เทวะของคุณก็เอากลับไปด้วย!” หวังเจี๋ยแค่นเสียงเย็น พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“หวังเจี๋ย อย่าได้เสียมารยาท หมอเทวดาจางหวังดีกับแก!” อู๋เสวี่ยรีบเอ่ยปาก
ครั้งที่แล้วเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส อู๋เสวี่ยเป็นคนพาเย่เทียนเฉินไปส่งให้จางอีเต๋อ จากสภาพบาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตายแบบนั้นยังถูกจางอีเต๋อรักษาจนหายดีและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พูดได้ว่าอู๋เสวี่ยเชื่อในวิชาแพทย์ของจางอีเต๋อโดยไม่มีข้อสงสัย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้อู๋เสวี่ยไม่เข้าใจก็คือ ทำไมครั้งนี้จางอีเต๋อถึงมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อนกับอาการบาดเจ็บของเย่เทียนเฉิน ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
Comments