เทพสังหาร ยุทธการระห่ำบทที่ 489 คุณชายโอหังมากเกินไป ต้องตี!
ที่ไหนมีคนที่นั่นมีการกระทบกระทั่ง การผงาดของเย่เทียนเฉิน การที่ตระกูลเย่มีแนวโน้มจะรุ่งเรือง สิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่มากมาย มีตระกูลใหญ่มาประจบประแจงย่อมมีกลุ่มอำนาจใหญ่ไม่พอใจ คราวนี้ท่ามกลางคนที่มาร่วมงานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของเย่หย่วนซานส่วนใหญ่มาเพราะต้องการสานสัมพันธ์กับตระกูลเย่ แน่นอนว่าเพื่อป้องกันเอาไว้เผื่อภายหลังตระกูลเย่ยิ่งใหญ่จะได้มีโอกาสร่วมมือและช่วยเหลือ
แน่นอนว่าในหมู่นี้ก็มีคนมาด้วยท่าทีเป็นมิตรแต่กลับไม่เห็นตระกูลเย่และเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ที่มานั้นประการแรกเป็นเพราะต้องการสานสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ ประการที่สองเป็นเพราะต้องการดูเสียหน่อยว่าตกลงแล้วเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน
“โทษทีที่ต้องบอกพวกนายว่าในสายตาฉัน เย่เทียนเฉินไม่นับเป็นอะไรได้ ส่วนตระกูลเย่ หากคิดจะผงาดขึ้นมาก็ต้องดูก่อนว่าตระกูลหลีของฉันจะยอมหรือเปล่า” คนผู้หนึ่งสวมสูทสไตล์ตะวันตกสีเงิน หน้าตาขาวหล่อพูดกับทุกคนอย่างโอ้อวด
ตอนนี้หญิงชายหลายคนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ในงานล้วนเป็นลูกชายลูกสาวจากตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ ที่มีฐานะเช่นเดียวกัน แต่ตอนที่พวกเขาเห็นชายหน้าขาวสวมสูทตะวันตกสีเงินคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าโดยพลัน เพียงมองก็รู้ว่าต้องการสานสัมพันธ์
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหลีนี่เอง ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่กลับมาเมื่อไหร่?”
“ไม่ได้พบกันระยะหนึ่ง คุณชายใหญ่ยังมีรถสนิยมเหมือนเดิม”
“คุณชายใหญ่พูดได้ถูกต้อง ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายใหญ่ก็ไม่นับเป็นอะไรได้…”
“ผมว่าถ้าคุณชายใหญ่ได้พบเย่เทียนเฉิน บางทีทั้งสองอาจร่วมมือกันก็ได้?”
เพียงพริบตาเดียว ชายหญิงที่แต่เดิมมองเย่เทียนเฉินและตระกูลเย่ในแง่ดี ในตอนที่พวกเขาเห็นชายหน้าขาวสวมสูทตะวันตกสีเงิน ทุกคนพลันเปลี่ยนสีหน้าและคำพูด ดูเหมือนไม่มีใครคิดจะโน้มเอียงไปอีกฝั่ง คล้ายกับว่าคำพูดเหล่านั้นที่พวกเขาพูดถึงเย่เทียนเฉินเป็นเพียงสายลมเท่านั้น
นี่ก็คือการเข้าสังคมของกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ ยิ่งเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงก็ยิ่งเห็นแต่ผลประโยชน์ ไม่มีมิตรและศัตรูถาวร รุ่นเยาว์ที่มาจากตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านี้แม้จะไม่มีอิทธิพลเหมือนผู้อาวุโสของพวกเขาและไม่มีความฉลาดเหมือนผู้อาวุโสของพวกเขา แต่ในด้านการเข้าสังคมพวกเขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นสิ่งที่อบรมมาในตระกูลตั้งแต่เล็กและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงมาตั้งแต่เล็ก การเข้าสังคมเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนผู้หนึ่งอยู่รอดได้ดีหรือไม่ดี
“พบหน้า? ร่วมมือ? หึ พวกคุณจะมองเย่เทียนเฉินดีเกินไปหรือเปล่า? ฉันหลีซิ่นไม่ได้กลับมาจีนหลายปี แต่พอกลับมาก็ได้ยินชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่น ดังนั้นจึงมาดูสักหน่อย ตระกูลเย่ตกต่ำไปนานขนาดนี้ยังไม่หายไปอีก ตระกูลและกลุ่มอำนาจของพวกคุณก็ไม่เท่าไหร่!”
ชายหน้าขาวที่ชื่อหลีซิ่นคนนั้นพูดจาแปลกประหลาด ไม่เพียงแต่ไม่พอใจเย่เทียนเฉิน แต่ยังปฏิเสธคนในงานทั้งหมดที่มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังด้วย ความยโสโอหังนี้หาได้ยากจริงๆ !
ทุกคนบริเวณนั้นได้ยินคำพูดของหลีซิ่นก็ขมวดคิ้ว ในดวงตามีความไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีความเฉลียวฉลาด พลันนั้นหลายคนยิ้มประจบประแจงออกมา ไม่ได้คิดอะไรมาก พูดให้ชัดเจนก็คือไม่กล้าคิดเล็กคิดน้อย คำพูดเช่นนี้หากออกมาจากปากของคนอื่นจะต้องวุ่นวายมากแน่ ใครบ้างจะกล้าพูดจาล่วงเกินทุกคนที่อยู่ที่นี่? ต้องทราบว่าคนที่อยู่ในงานมีใครบ้างที่ไม่มีฐานะยิ่งใหญ่?
คำพูดเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณมีความผิดใหญ่หลวง แต่อาจจะนำพาการล่มสลายของตระกูลมาด้วยก็เป็นได้ แต่เมื่อออกมาจากปากของหลีซิ่น ทุกคนทำเพียงแย้มยิ้ม พยายามขจัดความอึดอัดของตนและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ฮ่าๆๆ คุณชายหลี ไม่ทราบว่ากลับมาประเทศครั้งนี้มีแผนอะไร?” มีคนถามด้วยรอยยิ้ม
“ต้องมาทำเรื่องสำคัญอยู่แล้ว ผมขอตัวไปก่อนล่ะ” เห็นได้ชัดว่าหลีซิ่นไม่อยากสนทนากับคนกลุ่มนี้ คิดว่าเป็นการลดระดับของตัวเอง พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
“หลีซิ่น คุณไม่ไปพบเย่เทียนเฉินหน่อยเหรอ?” พวกชอบดูเรื่องสนุกคนหนึ่งจงใจถาม
“เขาไม่มีคุณสมบัติให้ผมไปพบ…อา!”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของหลีซิ่นยังไม่ทันพูดจบ เขาก็หมุนตัวอย่างที่ตัวเองคิดว่าสง่างาม แต่กลับชนเข้ากับคนที่เดินมาจากด้านหลัง คนที่เขาชนไม่ล้มแต่ตัวเขาเองกลับเซออกไปไกลเมตรกว่าก่อนจะล้มลงพื้น ทั้งยังล้มลงในท่าก้นโด่ง แตกต่างกับท่าทียโสโอหังไม่เห็นหัวใครเมื่อครู่นี้ของเขาเป็นอย่างมาก
ถ้าเป็นคนอื่นล้มในท่าก้นโด่งแบบนี้ ไม่แน่ว่าจะถูกหัวเราะเยาะจนกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ได้ แต่เมื่อหลีซิ่นถูกชนจนล้มหน้าทิ่มพื้นขนาดนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครหัวเราะ หลายคนยังเผยท่าทีตกตะลึงและใบหน้าขาวซีดออกมาอีกด้วย เนื่องจากมีพวกเขากังวลแทนคนที่ชนหลีซิ่น ดล้าชนหลีซิ่น กล้าทำให้หลีซิ่นขายหน้า ไม่ว่าตั้งจะตั้งใจหรือไม่ก็เกรงว่าคนคนนี้จะต้องตายแน่แล้ว
“แม่งเอ้ย เป็นไอ้คนไม่มีตาคนไหน...”
พลั่ก!
หลีซิ่นลุกขึ้นมา คำพูดก่นด่ายังไม่ทันจบก็ถูกถีบจนกระเด็นออกไปร่วงลงบนพื้นหญ้าด้านนอกที่ไกลออกไปหลาย 10 เมตรอย่างรุนแรง ไม่ได้เกิดเสียงดังอะไรมากนัก เพียงแต่หลายคนเห็นหลีซิ่นกระเด็นออกไปเหมือนลูกธนู เกรงว่าหากไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัส
ชายหญิงหลายคนที่อยู่ในงานมองไปด้านหน้าด้วยท่าทีแข็งทื่อ ทุกคนเผยสีหน้ายากจะเชื่อออกมา พบว่าเบื้องหน้าพวกเขามีชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายของเขายังมีสาวสวยสวมชุดเซ็กซี่คนหนึ่งอยู่ด้วย หลังจากชายวัยรุ่นคนนั้นเตะหลีซิ่นจนกระเด็นออกไปก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง หันไปพูดคุยกับสาวสวยที่ควงแขนเขา ดูยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
“คุณ…คุณ…พี่ชายคุณรู้หรือเปล่าว่าคนที่คุณเตะกระเด็นเมื่อกี้คือใคร?” ชายสวมสูทตะวันตกคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความเคร่งเครียด
“ไม่รู้ เขาด่าคน ไม่ควรตีรึไง?” ชายวัยรุ่นคนนั้นถามกลับ
ชายสวมสูทตะวันตกคนนั้นรู้สึกหน้ามืดจนแทบทรุด แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดมาก่อน คนใหญ่โตแบบหลีซิ่น ในหมู่พวกเขาไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ล่วงเกินหลีซิ่นได้ แต่นี่ถึงกับมีคนเตะเขาจนกระเด็นออกไปเพียงเพราะเขาด่าคน คนที่ลงมือก็เหมือนกับคนโง่ปัญญาอ่อน ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำความผิดยิ่งใหญ่เข้าเสียแล้ว
“สหาย คุณชื่ออะไร ต่อให้คุณตายก็โด่งดังแล้ว คุณรู้หรือเปล่าว่าคนที่คุณเตะกระเด็นไปเมื่อครู่นี้คือใคร? ไม่ต้องพูดถึงด่าคนเลย ต่อให้เขาฆ่าคนที่นี่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา และไม่มีใครทำอะไรเขาได้ด้วย…”
“ฆ่าคน? ใครกล้าฆ่าคนในถิ่นของตระกูลเย่ของฉัน? เห็นฉันเย่เทียนเฉินเป็นพวกกินหญ้ารึไง?”
เมื่อคำนี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนพลันตื่นตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเขาซึ่งควงสาวสวยสุดยอดมาด้วยคนนี้จะเป็นเย่เทียนเฉินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินชนหลีซิ่นจนล้มหน้าทิ่ม ตอนที่หลีซิ่นลุกขึ้นมาด่ายังเตะหลีซิ่นจนกระเด็นออกไปตามใจอีกด้วย
“คุณก็คือเย่เทียนเฉิน?”
“อายุน้อยขนาดนี้เลยเหรอ?”
“จบสิ้นแล้ว เดิมทีตระกูลเย่ยังมีความหวังที่จะรุ่งโรจน์ แต่เพราะลูกเตะของคุณ ไม่เพียงแต่จะเป็นการส่งตัวเองไปตาย แต่ยังอาจทำให้ตระกูลเย่ถูกฆ่าล้างตระกูลด้วย”
“คุณไม่ควรเลยจริงๆ ไม่ควรล่วงเกินคุณชายหลี ตอนนี้ไม่มีทางช่วยแล้ว…”
ในตอนที่หลายคนรู้ว่าคนที่เตะหลีซิ่นจนกระเด็นก็คือเย่เทียนเฉินต่างอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายแทนเย่เทียนเฉิน เดิมทีเรื่องที่เย่เทียนเฉินกระทำในเมืองหลวงระยะนี้ทำให้ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของเย่เทียนเฉิน และดูเหมือนว่าจะทำให้ตระกูลเย่รุ่งขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้เขากลับพลาดลงมือกับหลีซิ่น ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
“สหายเย่ ผมยังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน...”
“เชิญเลย”
“สหายเย่ ที่ตระกูลผมมีเรื่องสำคัญ ขอตัวก่อน...”
“ได้”
เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีชายหญิงหลายคนที่อยู่ที่นี่ก็ไปกันหมด บริเวณพื้นที่สำหรับอาหารตะวันตกเหลือแค่เย่เทียนเฉินและซูเฟยเฟยสองคน เย่เทียนเฉินหยิบแก้วมังกรลูกหนึ่งขึ้นมากิน ขณะเดียวกันมือซ้ายก็ถือแก้วเหล้า รู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ ค่อยๆ ลิ้มรสชาติไปช้าๆ
ซูเฟยเฟยมองเย่เทียนเฉิน เมื่อเห็นว่าคนรอบด้านไปกันหมดแล้วจึงผ่อนคลายลง ในขณะเดียวกันก็มีท่าทีเคร่งเครียด รีบเอ่ยปากพูดว่า “นายยังมีอารมณ์กินอีกเหรอ?”
“อะไรคือมีอารมณ์กิน ท้องหิวไม่กินได้รึไง?” เย่เทียนเฉินมองไปทางซูเฟยเฟยแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ซูเฟยเฟยก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนแทบตาย หากจะพูดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ไม่ฉลาด เขาคงไม่สามารถทำเรื่องยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้แน่ หากจะพูดว่าเขาเฉลียวฉลาดก็ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่อยู่ในช่วงเวลาสำคัญเจ้าหมอนี่จะกลายเป็นคนโง่ไปทันที
“นาย…นายรู้หรือเปล่าว่าคนที่นายเตะกระเด็นเมื่อกี้เป็นใคร? เขาคือหลีซิ่น!” ซูเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงต่ำ
“ทำไมเหรอ?”
“ทำไมเหรอ? นายรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร? ปู่ของเขาเป็นเจ้าพ่อใหญ่ เป็นตัวตนที่พอๆ กับหยางอี้ ตอนนี้ยังอยู่ในตำแหน่ง นายคิดว่านายก่อเรื่องใหญ่แล้วหรือเปล่า?” ซูเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างดุดัน
เย่เทียนเฉินชะงักไป ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันยังคิดว่าปู่ของเขาคือท่านผู้นำสูงสุดซะอีก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันจะพาเขาไปถึงหน้าท่านผู้นำสูงสุดแล้วสั่งสอนให้ดี แต่ในเมื่อเป็นคนระดับเดียวกับท่านหยาง อีกเดี๋ยวฉันจะโทรหาท่านหยางให้เขาจัดการแล้วกัน”
ซูเฟยเฟยได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง จากนั้นจึงเกิดความรู้สึกอยากถีบเย่เทียนเฉินสักหลายครั้ง เดิมทีคิดว่าหลังจากเย่เทียนเฉินรู้ฐานะของหลีซิ่นแล้วจะตกใจจนโง่งม แต่นี่กลับบอกว่าพูดจาน่าตกใจยิ่งกว่า คำพูดนี้เกรงว่าคงจะขี้โม้ซะแล้ว ทั้งยังพูดเอาตามใจว่าจะให้หยางอี้จัดการเรื่องนี้ให้เขา เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
“ที่นี่ไม่มีคนอื่น นายไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าฉันหรอก รีบคิดหาวิธีจัดการเรื่องนี้เถอะ หลีซิ่นต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ ถ้าวุ่นวายขึ้นมาอาจจะกลายเป็นความผิดใหญ่จริงๆ!” ซูเฟยเฟยคิดว่าเย่เทียนเฉินไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าเธอจึงรีบดึงเย่เทียนเฉินมากระซิบกระซาบ
เย่เทียนเฉินส่ายหน้า หลังจากกินแก้วมังกรหมดก็หยิบแตงโมด้านข้างขึ้นมาอีกชิ้นแล้วกัดเข้าไปคำใหญ่ จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้า…
Comments