เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 101 เพื่อนหมาป่าสหายสุนัข
บทที่ 101 เพื่อนหมาป่าสหายสุนัข
บทที่ 101 เพื่อนหมาป่าสหายสุนัข
แม้เซียวเหยาอ๋องจะหน้าไม่อาย แต่เขาก็เป็นผู้สูงศักดิ์ จึงตระหนักอยู่เสมอว่าจะต้องเสเพลอย่างมีขอบเขต
ก่อนไปเขาเรียกหาบุตรชายฝาแฝดทั้งสอง และอุ้มเสี่ยวเป่าเดินออกจากจวน
ถึงกระนั้นหนานกงฉีซิวก็ยังเป็นกังวล จึงสั่งให้องครักษ์ข้างกายเข็นรถเข็นตามพวกเขาไป
ถนนในเมืองหลวงครึกครื้นมาก มีร้านค้าเรียงรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีรถม้าผ่านไปมา เพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงเข้มงวดและเด็ดขาด แม้แต่ผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ควบม้าบนถนน ทำให้ผู้คนที่เดินตามท้องถนนรู้สึกปลอดภัย
แน่นอนว่าความรุ่งเรืองในใต้หล้านี้ มิอาจเทียบกับความรุ่งเรืองที่เสี่ยวเป่าเคยอาศัยอยู่ในชาติที่แล้วได้ แต่นางชอบกลิ่นอายบรรยากาศในเมืองหลวงมากกว่า
ที่สำคัญคือที่นี่ไม่มีมลพิษในอากาศและสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่นางเป็นภูตพฤกษา จึงให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด
ครั้งนี้นางไม่ได้นั่งรถม้าจึงได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนในใต้หล้านี้มากขึ้น นางกวาดตามองร้านรวงมากมายตั้งแผงขายของกินนานาชนิด เสี่ยวเป่ากลายเป็นหนูตัวเล็ก ๆ ในถังข้าวสาร เริ่มพาพี่ใหญ่และอาเจ็ดวิ่งวุ่นแวะร้านนั้นแวะร้านนี้
นางปฏิเสธเงินจากพี่ใหญ่และอาเจ็ด เด็กน้อยตบถุงเงินใบเล็กที่เอวด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
“เสี่ยวเป่ามีเงิน!”
ในถุงเงินของนางมีเม็ดเงินเม็ดทองที่ท่านพ่อเป็นคนให้มา!
หนานกงหลีส่ายหัว “เงินพวกนี้ใช้ไม่ได้ มันมีค่ามากเกินไป ร้านเล็ก ๆ คงไม่มีเงินทอนให้เจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องใช้เหรียญทองแดงของข้า”
เขากวักมือ ทันใดนั้นเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินมายื่นถุงเงินให้เขา
“ในนี้เป็นเหรียญทองแดงทั้งหมด เจ้าจะซื้อสิ่งใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ ท่านอาเจ็ดให้เจ้าหมดเลย!”
ประสบการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเซียวเหยาอ๋องหาได้เปล่าประโยชน์ไม่ อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้วิธีใช้เงิน
“ขอบพระทัยท่านอาเจ็ด~”
หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้ว คนตัวเล็กก็เริ่มพาขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปในฝูงชนวุ่นแวะร้านโน้นร้านนี้ไปเรื่อย ๆ
“ท่านลุง ข้าเอาเกาลัดคั่วหนึ่งถุง~”
“ท่านป้า ข้าเอาซาลาเปาสิบลูก!”
“ท่านปู่ ข้าเอาถังหูลู่ห้าไม้~”
เสียงเจื้อยแจ้วของคนตัวเล็กเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขจนไม่อาจปกปิด อีกทั้งนางยังดูดี เนื้อตัวนุ่มนิ่มมีน้ำมีนวลไม่อ้วนไม่ผอมกำลังพอดี ท่าทางนางเปี่ยมสุขเสียยิ่งกว่าตุ๊กตาอวยพรในภาพวาดวันตรุษจีน
ทั้งวาจาอันไพเราะและไร้เดียงสา รวมถึงอากัปกิริยาที่ดูไม่เหมือนลูกชาวบ้านตาสีตาสา นางจึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนบนถนนสายนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ติดตามหลังนางอยู่ไม่ห่างคือ ท่านอาเจ็ดและพี่ชายรูปงามของนาง
โดยเฉพาะหนานกงฉีซิว คราใดที่สายตาผู้คนจับจ้องใบหน้าเขา คนเหล่านั้นพลันรู้สึกราวกับเห็นเทพหนุ่มรูปงามจุติลงมาเพื่อผ่านด่านเคราะห์ และสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีดีเพียงหน้าตา แต่เขายังสุขุมนุ่มลึก มองแวบแรกก็รับรู้ได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มผู้มีความสามารถ
แต่พอเห็นว่าเขานั่งอยู่บนรถเข็น คนพวกนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า ทั้งน่าสงสารและน่าเสียดายในเวลาเดียวกัน มันคงเป็นเพราะสวรรค์อิจฉาในความงามและความสามารถของเขา…
ร้านรวงบางร้านที่เสี่ยวเป่าเข้าไปอุดหนุนมอบของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้นาง คนตัวเล็กก็จะเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อมพร้อมกล่าวคำอวยพรทุกครั้งไป
บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่นางเข้าไปอุดหนุนต่างก็มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นโดยที่นางไม่รู้ตัว!
สมกับเป็นดาวนำโชคตัวน้อยจริง ๆ!
เมื่อเหล่าพ่อค้าแม่ค้าเห็นเช่นนั้น ก็พากันส่งเสียงเชิญชวนและทักทายดาวนำโชคตัวน้อย
แต่จมูกของเสี่ยวเป่ามีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะมันจะได้กลิ่นเฉพาะของที่ชอบเท่านั้น
บางคนขายของไม่ดีจึงเชิญชวนเสี่ยวเป่าด้วยอาหาร แต่พอคนตัวเล็กวิ่งผ่านร้านของตน พวกเขาก็หน้าเสียและบ่นพึมพำถึงนางด้วยถ้อยคำไม่น่าฟัง
แต่พริบตาต่อมา หนานกงหลีก็มายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าร้านพร้อมกับบุตรชายฝาแฝดและบ่าวรับใช้ จากนั้นก็กวักมือเรียกคนพูดออกมาถาม
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”
พอเห็นท่าทางของคนตรงหน้า คนผู้นั้นก็หดคอและรีบปฏิเสธว่าไม่ได้พูดสิ่งใด
เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเห็นอย่างนั้นแล้วจึงสงบปากสงบคำ เลิกหวังดีประสงค์ร้ายทันที ทำได้แค่มองเจ้าก้อนแป้งซื้อของอย่างเบิกบานใจ
“ท่านปู่ ทำหุ่นดินปั้นให้เสี่ยวเป่าด้วยได้หรือไม่?”
นางเดินไปหยุดที่ร้านหุ่นดินปั้นเสมือนจริง เสี่ยวเป่าถูกหุ่นดินปั้นรูปสัตว์ต่าง ๆ ดึงดูดจนละสายตาไม่ได้
“ย่อมได้ ๆ ลูกค้าตัวน้อยต้องการแบบใดหรือ?”
เสี่ยวเป่าชี้ตัวเองแล้วก็พี่ใหญ่ ตามมาด้วยท่านอาเจ็ด และญาติผู้พี่ทั้งสองคน
“เอาแบบพวกเราเจ้าค่ะ อีกนานหรือไม่กว่าท่านจะปิดร้าน ข้ากับท่านอาแล้วก็พวกพี่ชายจะไปเดินต่อแล้วค่อยกลับมารับหุ่นดินปั้นจากท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
ชายชราเห็นว่านางมาอุดหนุนหุ่นดินปั้นของเขาตั้งหลายตัว เขาจึงดีใจมากฉีกยิ้มจนตาหยีพร้อมพยักหน้าหงึก ๆ และตอบว่าได้
เสี่ยวเป่าหยิบเม็ดเงินออกมาจากถุงเงินใบเล็กที่เอว
“เท่านี้พอหรือไม่?”
ชายชรามองแล้วโบกมือเป็นพัลวัน “มันมากเกินไป หุ่นดินปั้นของข้าไม่ได้มีค่าถึงเพียงนั้น พวกมันตัวละห้าอีแปะเท่านั้น”
เสี่ยวเป่าเก็บเม็ดเงินด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยพลางคิดในใจว่า คราวนี้นางซื้อของไปตั้งมาก ทว่าไม่มีของชิ้นใดที่เงินในถุงของนางซื้อได้เลย
บ่าวรับใช้ที่เดินตามอยู่ด้านหลังรู้หน้าที่ รีบเดินมาจ่ายเงินให้นางทันที
“ท่านปั้นพี่ชายของข้าแบบที่ไม่นั่งรถเข็นนะ”
เสี่ยวเป่าเหลือบมองพี่ใหญ่แวบหนึ่งก่อนจะโน้มศีรษะเล็ก ๆ เข้าไปกระซิบบอกชายชรา
ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามองชายหนุ่มที่ดูราวกับเทพแวบหนึ่ง เห็นเช่นนั้นแล้วพลันนึกสงสารอยู่ในใจ
นางนั่งรอจนกว่าหุ่นดินปั้นเสมือนจริงตัวจิ๋วตัวแรกจะปั้นเสร็จ พอได้มาแล้วเสี่ยวเป่าก็วิ่งไปหาพี่ชายท่าทางตื่นเต้นดีใจ
หนานกงฉีซิวรับหุ่นดินปั้นที่ตนเองไม่ได้นั่งบนรถเข็นมาจากเสี่ยวเป่า แล้วลดสายตาลงมองเจ้าก้อนแป้งที่กำลังมองเขาตาใสเหมือนกำลังอ้อนวอนขอคำชมอยู่ก่อนแล้ว มุมปากของผู้เป็นพี่ชายพลันยกขึ้นพร้อมกับลูบผมนุ่มของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา
“ขอบใจ ข้าชอบมาก”
เสี่ยวเป่ายิ้มร่าพลางหัวเราะชอบใจในขณะที่เอียงศีรษะถูไถกับฝ่ามือพี่ใหญ่
“เสี่ยวเป่าก็ชอบพี่ใหญ่เหมือนกัน”
พอตระเวนซื้อของมากมายจนพอใจแล้ว เสี่ยวเป่าก็เดินไปนั่งกินอาหารที่ตนซื้อมาที่บริเวณด้านหน้า
จู่ ๆ หนานกงหลีก็ได้ยินคนเสียงเรียกเขาดังแว่ว ๆ เขาจึงคลี่พัดในมือออกแล้วยกขึ้นบังหน้านิดหน่อย
“พี่หลี ๆ”
อ๋องเจ้าสำราญเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกที่ฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงของเพื่อนหมาป่าสหายสุนัข*[1] ของตน ซึ่งก็คือคนที่โผล่หัวออกมาจากโรงน้ำชาก่อนจะเดินตรงมาหาเขา
“เหตุใดพักนี้พี่หลีไม่ไปหอหว่านชุนกับข้าเลยเล่า? ข้าได้ยินว่ามีหญิงงามเล่นผีผาไพเราะเสนาะหูมากนะ”
หนานกงหลีเอ่ยตอบพลางหุบพัดในมือ “ไม่ไป ๆ หยุดพูดไร้สาระ”
“ท่านอาเจ็ด หอหว่านชุนอยู่ที่ใดหรือ?”
หนานกงหลีรำพันในใจ… ฮือ!!! ทำอย่างไรดีเจ้าเด็กน้อยได้ยินเข้าให้แล้ว
ด้านหนานกงฉีซิวก็มองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว
หนานกงหลี “…”
หนังศีรษะเขาเริ่มตึงเครียด จึงละล่ำละลักอธิบายให้เสี่ยวเป่าฟัง
“มันเป็นสถานที่สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กน้อยไม่ต้องไปสนใจมันหรอกเนอะ!”
ตอนนี้เขามีหลานสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูแล้ว จึงไม่ค่อยหมกมุ่นเรื่องอยากมีบุตรสาวอีก หากอยากไปดูหญิงงามร้องรำทำเพลงก็ย่อมไปได้ แต่จะสร้างปัญหาอันใดติดตัวกลับไปที่จวนด้วยไม่ได้เด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ค่อยได้ไปหอคณิกากับเพื่อนหมาป่าสหายสุนัขพวกนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาถูกเสด็จพี่บังคับให้ไปประชุมขุนนางทุกวัน พอต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ฉะนั้นแล้วจะเอาแรงที่ใดไปวิ่งเล่นนอกจวนได้อีก
[1] เพื่อนหมาป่าสหายสุนัข หมายถึง เพื่อนกินเพื่อนเที่ยว
Comments