เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 131 มาล้อรูปร่างกันเช่นนี้ได้อย่างไร
บทที่ 131 มาล้อรูปร่างกันเช่นนี้ได้อย่างไร
บทที่ 131 มาล้อรูปร่างกันเช่นนี้ได้อย่างไร
หนานกงหลีลูบท้อง ก่อนจะเดินจ้ำเข้าไป “จะหยิบแตงโมมาอีก!”
เสี่ยวเป่าใช้ขาสั้น ๆ เดินตามเขาไป พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก “แตงโมแช่เย็นนั้นอร่อยเป็นที่สุด”
หนานกงหลีถามขึ้นมาทันที “แล้วจะแช่เย็นได้อย่างไร?”
เสี่ยวเป่า “ท่านอาต้องแช่ลงด้านในบ่อน้ำเพคะ”
หลังจากนั้น แตงโมลูกที่สองก็ถูกแช่เย็น แม้จะต้องรอนานไปบ้าง แต่ผลที่ออกมานั้นก็พิสูจน์แล้วว่าการรอคอยช่างคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
แตงโมเย็น ๆ ช่วยดับความร้อนของคิมหันตฤดูได้ภายในพริบตา…สดชื่นยิ่งนัก!
ทั้งสี่คนกินแตงโมถูกใหญ่ไปสองลูก สุดท้ายก็พากันอิ่มแปล้
หนานกงสือเยวียนเองก็ทานมากขึ้นอย่างหาดูได้ยาก
แตงโมเย็นฉ่ำชิ้นสุดท้ายถูกปากเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าแทะราวกับกระรอกตัวน้อยแสนน่ารัก
เมื่อถึงเวลาที่หนานกงหลีและหนานกงฉีซิวต้องจากไป เสี่ยวเป่าก็มอบแตงโมผลใหญ่สองลูกให้กับพี่ชาย ส่วนท่านอาเจ็ดได้ไปห้าลูก
ไม่มีทางให้เพิ่มแล้ว จวนเซียวเหยาอ๋องนั้นมีญาติผู้พี่อยู่มากเกินไป
นอกจากนั้นแล้ว ก็มีแตงโมส่วนหนึ่งถูกส่งไปยังห้องศึกษา
ช่วงคิมหันตฤดู ไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้สึกอ่อนล้าจนทนไม่ไหว กระทั่งเด็ก ๆ เองก็ไม่อาจทนไหว
ตอนนี้ด้านในห้องศึกษา องค์ชายหลายคนต่างหมอบลงไปกับโต๊ะ แต่ละคนสภาพราวกับปลาขาดน้ำ
อาจารย์เองก็อับจนหนทาง อย่างไรเสียอากาศวันนี้ก็ชวนให้ผู้คนอยากนอนจริง ๆ
“ฝ่าบาททุกท่าน ฮึดลุกขึ้นมาเถิด คาบเรียนวันนี้ยังไม่จบนะ”
หลีรุ่นเคาะโต๊ะปลุกทุกคนให้ลุกขึ้นมา
“ท่านราชครูหลี”
ตอนนั้นเอง ฝูไห่กับขันทีหลายคนก็มาถึง แต่ละคนล้วนมีแตงโมอยู่ในมือ “ท่านราชครู องค์หญิงทรงสั่งให้บ่าวมาส่งสิ่งเหล่านี้ให้กับเหล่าองค์ชาย ฝ่าบาทยังตรัสอีกว่า วันนี้ร้อนนัก ให้เหล่าองค์ชายพักผ่อนได้ตามความเหมาะสม”
อันที่จริงแล้ว เป็นเสี่ยวเป่าที่รู้สึกเจ็บปวดใจแทนเหล่าพี่ชาย จึงส่งแตงโมมาพร้อมกับขอร้องท่านพ่อให้เหล่าพี่ชายได้พักผ่อน
เมื่อฮ่องเต้กล่าวมาเช่นนี้แล้ว หลีรุ่นก็ไม่ได้คิดสงสัยหรือใจร้ายใจดำแต่อย่างใด
ภายใต้ดวงตาคาดหวังที่ทอประกายระยิบระยับของเหล่าองค์ชาย หลีรุ่นลูบเคราตนเองพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
หนานกงฉีหลิงกระโดดจนตัวลอย ความงุนง่วงขององค์ชายห้าหายไปในทันที
“เร็วเข้า ให้ข้าดูหน่อยว่าเสี่ยวเป่าส่งสิ่งใดมาให้พวกข้า”
องค์ชายแปดตัวน้อยอย่างหนานกงฉีจวินเองก็รีบวิ่งเข้าไปด้วย
องค์ชายหกที่ตามมาท้ายสุด จับจ้องแตงโมลูกใหญ่ในตะกร้าด้วยความฉงน
“ลูกเดียวก็ใหญ่ถึงเพียงนี้!”
“นี่มันคือสิ่งใดกัน?”
“สิ่งนี้เป็นของกินหรือ? น้องหญิงช่างมีความคิดแปลกใหม่ยิ่งนัก”
องค์ชายหกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ฝูไห่ที่อยู่ด้านข้างก็ตอบออกมา คลายข้อสงสัยของพวกเขา
“องค์หญิงทรงเรียกสิ่งนี้ว่าแตงโมพ่ะย่ะค่ะ ต้องผ่าออกแล้วกินแต่เนื้อด้านใน”
เมื่อได้ยินว่าต้องผ่าออก หนานกงฉีหลิงนึกอยากจะลงมือทำเสียจนม้วนแขนเสื้อขึ้นในทันที “ไปนำมีดมา!”
แม้ดูไปแล้ว หนานกงฉีหลิงจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตมากนัก แต่ท่าทางก็ดูองอาจมีพละกำลัง
เขาผ่าแตงโมออกด้วยการลงมีดเพียงครั้งเดียว พลันเนื้อข้างในก็ปรากฏให้เห็น
แตงโมถูกแช่เย็นในบ่อน้ำเรียบร้อยก่อนส่งมายังที่นี่ ชั้นนอกยังคงเต็มไปด้วยละอองน้ำ ขณะที่เนื้อด้านในยังคงเย็นฉ่ำ
ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ความเย็นฉ่ำทำให้ทุกคนรู้สึกสบายตัว
เมื่อกินไปแล้วก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความหวานและความเย็นสดชื่น ทำให้ความรู้สึกร้อนสลายหายไปในพริบตา
นัยน์ตาของหนานกงฉีหลิงเปล่งประกายวาววับ “อร่อย!”
การไม่ได้กินสิ่งนี้ในฤดูร้อนก่อนหน้าที่ผ่านมาเลย นับเป็นเรื่องที่ชวนให้เสียใจครั้งใหญ่ในชีวิต
“ท่านราชครู ท่านเองก็กินเถิด นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงน้อยกำชับบ่าวมาเป็นพิเศษ”
หลีรุ่นลูบเคราพลางพยักหน้า ในดวงตาปรากฏรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้
เหล่าองค์ชายในห้องศึกษาต่างกินแตงโมกันอย่างสำราญ ส่วนตระกูลโจวเองก็ได้รับของขวัญจากทางพระราชวัง
โจวเหิง ประมุขตระกูลโจวอดตื่นตะลึงไม่ได้กับความโปรดปรานที่ได้รับ
แม้ตระกูลโจวของพวกเขาจะเป็นพ่อค้าหลวง แต่ก็เป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น
ทว่าจู่ ๆ ก็ได้ปีนป่ายขึ้นไปมีความสัมพันธ์อันดีกับองค์หญิงน้อย นับเป็นเรื่องที่โจวเหิงไม่กล้าคิดมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ยินมาว่า แตงโมที่องค์หญิงส่งมานั้น กระทั่งขุนนางชั้นสูงยังไม่ได้รับ
แตงโมผลใหญ่สองลูกที่ส่งมายังจวนของพวกเขา ถูกนำมาแบ่งทานอย่างรวดเร็ว รสชาติของมันหวานสดชื่นแบบที่พวกเขาไม่เคยกินมาก่อน
นอกจากแตงจะลูกใหญ่แล้ว ด้านในนอกจากเมล็ดสีดำเล็ก ๆ แล้วก็ไม่มีแกนอยู่แต่อย่างใด!*[1]
นี่มันจะยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว
หลังจากเสี่ยวเป่าส่งแตงโมไปเพียงไม่นาน นางก็ได้รับของขวัญกลับมาจากเหล่าพี่ชายและสหาย
ท้องพระคลังน้อย ๆ ของนางพลันมั่งคั่งมากขึ้น!
ขณะกอดกล่องเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเงินทองเพชรนิลจินดา เจ้าก้อนแป้งก็แย้มยิ้มออกมาราวกับมุสิกตัวน้อยที่บังเอิญตกลงไปในถังข้าวสาร ใบหน้าของนางแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น
หลังจากแย้มยิ้มแล้ว เสี่ยวเป่าก็มุดลงไปซ่อนกล่องเล็ก ๆ ใบนั้นเอาไว้ใต้เตียงต่อหน้าท่านพ่อของตนเอง
หนานกงสือเยวียน: ซ่อนแล้ว แต่ก็เหมือนไม่ได้ซ่อน
สีหน้าว่างเปล่าของเขาจับจ้องไปทางบุตรี “ซ่อนสิ่งของต้องไม่ให้ผู้อื่นรู้มิใช่หรือ? เหตุใดจึงได้โง่งมเพียงนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเป่าก็หันกลับมายิ้มแฉ่งเผยฟันขาวเกลี้ยงเกลา
“ท่านพ่อดูสิ หากวันหน้าท่านมีเงินแต่ไม่ใช้ ก็มาใส่ในกล่องของเสี่ยวเป่าได้”
หนานกงสือเยวียน “…”
นี่มันไม่ได้เรียกว่าโง่ แต่เป็นฉลาดเกินไป!
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะส่งแตงโมไปให้พี่รอง ท่านต้องการจะส่งสิ่งใดไปให้พี่รองหรือไม่?”
หนานกงสือเยวียน “ไม่มี”
“เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะเขียนจดหมายให้พี่รอง ท่านพ่อช่วยเขียนตัวอักษรบางตัวที่เสี่ยวเป่าไม่รู้จักได้หรือไม่เพคะ”
หนานกงสือเยวียนเอนกายพิงหัวเตียง “เจ้ามีตัวอักษรที่ไม่รู้จักอยู่มากมาย”
เสี่ยวเป่ายืนอยู่บนเตียงด้วยเท้าเปล่าที่ขาวนุ่มนิ่ม นางยื่นมือเล็ก ๆ ออกมาเทียบศีรษะของตนเองกับท่านพ่อ จากนั้นก็เขย่งเท้าเพื่อเปรียบเทียบความสูงกับท่านพ่อ
เด็กเล็กเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า ท่าทางเห็นชอบด้วยเหตุผล “เสี่ยวเป่ายังตัวเล็กแค่นี้ ไม่รีบ ไม่รีบ ประเดี๋ยวก็ค่อย ๆ ได้เอง”
หนานกงสือเยวียนมองหัวกลม ๆ ของเจ้าก้อนแป้ง
“ค่อนข้างจะเล็ก”
เสี่ยวเป่าเชิดคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมแย้มยิ้ม “ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นท่านพ่อก็ต้องช่วยเสี่ยวเป่าแล้วเพคะ”
หนานกงสือเยวียน “กินก็เยอะ เจ้าใกล้จะกลายเป็นลูกหมูแล้ว”
เสี่ยวเป่า “…”
ท่านพ่อทำเกินไปแล้ว มาล้อรูปร่างกันเช่นนี้ได้อย่างไร!
เสี่ยวเป่าพองแก้มพลางพึมพำออกมาว่า หากนางเป็นลูกหมู เช่นนั้นท่านพ่อก็เป็นพ่อหมู
แน่นอนว่าหนานกงสือเยวียนที่ประสาทสัมผัสดีเยี่ยมย่อมได้ยินชัดเจน เขาใช้มือทั้งสองข้างหยิกแก้มนุ่มนิ่มของบุตรี ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่งดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ากล่าวว่าอย่างไรนะ หืม?”
ในน้ำเสียงมีความอันตรายอยู่เต็มเปี่ยม
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความไร้เดียงสาทันที
นางไม่ได้กล่าวอันใดทั้งสิ้น
งานเลี้ยงกุ้งก้ามแดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า เหล่าขุนนางต่างพาครอบครัวมาด้วยอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“อาหารในงานเลี้ยงจะต้องกินไม่ได้อย่างแน่นอน ยังดีที่ข้ากินมาอิ่มเรียบร้อยจากที่บ้านแล้ว”
“กุ้งก้ามแดงมีกลิ่นแรงเป็นอย่างมาก ทำเช่นไรก็ไม่อร่อย ซ้ำยังดูน่าเกลียด พวกเจ้าว่าฝ่าบาทกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
“ชู่ว ลดเสียงของเจ้าเสีย ว่าแต่ใต้เท้าหลี ท่านเคยกินกุ้งก้ามแดงนั่นมาก่อนหรือไม่?
ใต้เท้าหลีพลันสะดุ้งหายใจออกมาแรงกว่าปกติ “เคยที่ไหนกัน ข้าเพียงได้ยินที่คนอื่นเขาพูดมา!”
อันที่จริงเขาเคยลองมาแล้วจริง ๆ
หลีรุ่นมองเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นด้วยความเกรงใจที่จะพูด
ความจริงแล้ว…กุ้งก้ามแดงนั้นไม่ได้อร่อย แต่อร่อยมากต่างหาก
เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ต่างพากันเยาะเย้ยท่าทางเอะอะของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋น
[1] ‘นอกจากแตงจะลูกใหญ่แล้ว ด้านในนอกจากเมล็ดสีดำเล็ก ๆ แล้วก็ไม่มีแกนอยู่แต่อย่างใด!’ อธิบายประโยคนี้ เพราะสมัยก่อนผู้คนเคยชินกับการกินผลไม้ที่มีแกน เมื่อได้กินแตงโมที่ไม่มีแกนก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่า สิ่งนี้กินได้ง่าย ทั้งยังมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม
Comments