เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 149 เจ้าไม่มีบุตรสาว

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 149 เจ้าไม่มีบุตรสาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 149 เจ้าไม่มีบุตรสาว

บทที่ 149 เจ้าไม่มีบุตรสาว

แต่ไม่ว่าอย่างไรคนทั้งสองก็ล้วนเป็นนายของตน หลินเจิ้งชิงจึงไม่กล้าบังคับให้พวกเขาวิ่งต่อ

เพียงแต่เขาเป็นคนค่อนข้างเข้มงวด หากเป็นคนใต้บังคับบัญชาของตน เขาเป็นต้องไล่เตะก้นทีละคนให้ลุกขึ้นวิ่งต่อ!

ในเมื่อไม่อาจวิ่งต่อแล้ว ทั้งเสี่ยวเป่าและหนานกงหลีก็พาเสี่ยวไป๋ รวมถืงเฟิงเฟิงไปนั่งเรียงแถวกันดูหนานกงสือเยวียนฝึกฝนวรยุทธ์

ฮ่องเต้องค์หนึ่งกำลังต่อสู้กับคนห้าคน ถึงกระนั้นเรี่ยวแรงกลับไม่มีตก

สักพักเสียงร้องของคนผู้หนึ่งถูกถีบกระเด็นออกไปก็ดังขึ้น

เสี่ยวเป่าปรบมือรัว ๆ “ท่านพ่อเก่งที่สุด!”

หนานกงหลีนั่งจ้องร่างเสด็จพี่ไม่วางตา เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อใต้อาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่

แล้วตนเองเล่า แม้จะไม่ได้อวบอ้วน ทว่าบนหน้าท้องก็ไร้วี่แววของกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบเช่นนั้น!

หนานกงสือเยวียนตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ชั่วพริบตาต่อมา เขาก็เอาชนะผู้คนทั้งหมดในลานประลองได้สำเร็จ ซึ่งคู่ต่อสู้คนสุดท้ายก็คือหลินเจิ้งชิง คนทั้งสองประลองฝีมือกันได้น่าตื่นเต้นเป็นที่สุด

“ท่านพ่อไป เรากลับกันเถอะ”

เสี่ยวเป่าคว้ามือท่านพ่อมาจับไว้ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ท่านพ่อสอนเสี่ยวเป่าด้วยได้หรือไม่ ต่อไปเสี่ยวเป่าจะได้ปราบคนเลวได้!”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องวิ่งห้ารอบ และขี่ม้าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปทุกวัน”

เสี่ยวเป่าหดคอทันที วิ่งห้ารอบอันใดกัน วันนี้นางวิ่งได้ไม่ถึงสองรอบก็เหนื่อยหอบจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว

“เช่น… เช่นนั้นรอให้เสี่ยวเป่าโตกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกัน”

การหนีคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเด็กน้อย!

หนานกงสือเยวียนได้แต่รำพันในใจว่า ไม่แปลกใจเลยสักนิด

แม้ขนมไหว้พระจันทร์ที่เสี่ยวเป่าทำจะแปลกไปจากที่เคยมี ทว่ารสชาตินั้นเรียกได้ว่าดีไม่น้อย

วันไหว้พระจันทร์ยังไม่ทันมาถึง ขนมไหว้พระจันทร์ก็เหลือเพียงไม่กี่ไส้

ไส้เฉ่าเหมยกวนและท้อกวนนั้นมีวัตถุดิบค่อนข้างจำกัด เสี่ยวเป่าจึงขอให้พ่อครัวอู๋ทำเพิ่มเพื่อจะนำไปมอบให้เหล่าพี่ชายและสหายนอกวังของตน

หนานกงสือเยวียนทอดสายตามองเด็กน้อยที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ถูก

“ส่งของให้พี่รองของเจ้าอีกแล้วหรือ?”

เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มให้เขา ใบหน้าที่เคยขาว บัดนี้เปรอะเปื้อนหมึกดำราวกับแมวลายตัวน้อย

“ท่านพ่อรู้ได้อย่างไร มีของท่านอาสี่ด้วย”

หนานกงสือเยวียนยังคงใบหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ในหัวเริ่มคิดไปเรื่อยเปื่อย ทุกคราที่นางได้สิ่งใหม่ ๆ นางไม่เคยลืมที่จะส่งให้คนทางไกลด้วย

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หนานกงสือเยวียนพลันรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ หึ! เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่ค่ายทหาร เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย

เหลือเวลาอีกห้าวันก่อนจะถึงวันไหว้พระจันทร์ ของขวัญวันไหว้พระจันทร์ของเสี่ยวเป่าทั้งสองชุดต่างก็ถูกส่งทางไกลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เดิมที เวลาเช่นนี้ควรจะอบอวลไปด้วยความสุข ทว่าเสี่ยวเป่ากลับรับรู้ได้ว่าท่านพ่อของตนดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย

แม้แต่ฝูไห่และข้ารับใช้ในตำหนักฉินเจิ้งต่างก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอึมครึม

เสี่ยวเป่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ท่านพ่อเป็นอันใดไปเพคะ?”

หนานกงสือเยวียนลูบหัวนางพลางทอดสายตามองพระจันทร์บนท้องฟ้า นัยน์ตาสีเข้มลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณ

แม้จะไม่ได้รับคำตอบเป็นวาจา ทว่าเสี่ยวเป่าก็รับรู้ได้ด้วยตนเอง

ท่านพ่อของนางกำลังป่วย และในวันพระจันทร์เต็มดวงอาการจะกำเริบ

แม้วันพระจันทร์เต็มดวงที่ผ่านมาจะสามารถระงับอาการป่วยด้วยพลังวิญญาณของเสี่ยวเป่าได้

ทว่าพระจันทร์เต็มดวงในวันไหว้พระจันทร์นั้น มีแววว่าอาการของท่านพ่อจะกำเริบหนักและรุนแรงที่สุดด้วย เพื่อความปลอดภัยนางต้องรีบไปปรึกษาท่านอาจารย์

เสี่ยวเป่าลุกขึ้นทันทีที่นึกได้ “เสี่ยวเป่าจะไปหาท่านอาจารย์!”

ยังไม่ทันจะได้ออกตัววิ่ง ตัวนางก็ถูกดึงกลับมา

หนานกงสือเยวียนเคาะจมูกกระจิดริดของนาง “จะไปหาอาจารย์ยามนี้น่ะหรือ?”

เสี่ยวเป่าลูบจมูกตนเองป้อย ๆ “จริงด้วย เช่นนั้นวันพรุ่งเสี่ยวเป่าค่อยไปหาท่านอาจารย์ก็ได้!”

อยากจะพบหมอปีศาจก็ต้องตามหากันสักหน่อย กระทั่งวันไหว้พระจันทร์ใกล้มาถึง เจี่ยเจินถึงได้ถูกพาตัวมาที่วังหลวง

คราแรกเจี่ยเจินไม่ยอมมาท่าเดียว เพราะตัวเขานั้นรักอิสรเสรี ในสายตาของเขา วังหลวงเปรียบเสมือนกรงทองขนาดใหญ่ หากหลุดเข้าไปคงหาทางออกมาได้ยากเย็นนัก

แต่เขาทนคำรบเร้าของเสี่ยวเป่าไม่ไหว และที่สำคัญคือขนมไหว้พระจันทร์ที่คนตัวเล็กมอบให้นั้นรสชาติดีเกินจะต้านทาน

อีกทั้งฮ่องเต้ยังรับปากว่าจะปล่อยเขาออกมาหลังวันไหว้พระจันทร์ผ่านพ้นไป เจี่ยเจินจึงจำใจหอบสังขารเข้ามาอยู่ในวังหลวงสักระยะหนึ่ง

หนานกงหลีที่เข้ามารับเสี่ยวเป่าออกจากวังรู้เรื่องเข้า เขาถึงขั้นพร่ำบ่นด้วยถ้อยคำซ้ำ ๆ

“ข้าว่าเจ้าเป็นตาเฒ่าสติฟั่นเฟือน หากเป็นคนอื่น ทันทีที่รู้ว่าตนจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในวังหลวง แม้เพียงชั่วคราวยังต้องซาบซึ้งในพระกรุณาเป็นอย่างยิ่ง แต่เจ้ากลับรังเกียจ เจ้ารังเกียจ!”

คนทั้งสองต่างก็เป็นคนประเภทที่มองว่าการวิวาทเป็นเรื่องสนุกสนาน หาใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ทั้งยังเป็นคนที่ชอบสร้างสถานการณ์ให้ครึกครื้น เพราะเสี่ยวเป่าคนทั้งสองจึงได้รู้จักกัน หลังจากนั้นถึงได้พบว่า ต่างฝ่ายต่างนิสัยคล้ายกัน

ด้วยความที่ชอบเรื่องซุบซิบนินทาเหมือนกันทั้งคู่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองจึงเรียกได้ว่าสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว จนตกลงปลงใจเป็นสหายกันในที่สุด มีเรื่องซุบซิบใดก็เล่าสู่กันฟัง มีเรื่องสนุกสนานใดก็แบ่งกันดู!

เป็นเหตุให้การสนทนาระหว่างคนทั้งสองเต็มไปด้วยคำพูดที่เป็นกันเองสุด ๆ!

และในยามนี้ เจี่ยเจินก็กำลังจ้องหนานกงหลีตาเขม็ง “หากมันดีมากอย่างที่เจ้าเอ่ย เช่นนั้นก็เชิญเจ้าเข้าไปอยู่ที่นั่นเองเถอะ”

หนานกงหลีสะบัดพัดให้กางออกราวกับนกยูงรำแพนหาง “เจ้าคิดว่าวังหลวงผู้ใดอยากเข้าไปอยู่ก็เข้าไปได้ตามใจหรือ? ว่ากันตามตรง ข้าเคยอาศัยอยู่ในนั้นตั้งสิบกว่าปี เบื่อหน่ายที่จะต้องใช้ชีวิตในนั้นแล้ว แต่ดูเจ้าตอนนี้สิ แม้แต่เหล่าขุนน้ำขุนนางระดับสูงทั้งเมืองหลวงยังมิได้มีวาสนาเช่นเจ้า เจ้าเห็นหรือไม่ว่าตนเองมีวาสนาไม่น้อยเลย”

เจี่ยเจิน “วาสนาเช่นนี้ข้ายกให้เจ้าเอาหรือไม่?”

เขาว่าพลางชี้นิ้วไปทางหนานกงหลี “อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วยังทำตัวแพรวพราว หว่านเสน่ห์ไปทั่วราวกับเด็กหนุ่ม ไม่อายเลยหรือไร”

“ต้องทำตัวเหมือนเจ้าน่ะหรือ? เสื้อผ้าบนกายขาดรุ่งริ่งราวกับเศษผ้า หากไม่รู้จักกันมาก่อนข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นคนเร่รอนขอทาน ถ้ายืนถือกะลาข้างถนน ผู้คนคงต้องโยนเศษเงินให้เจ้าเป็นแน่!”

“ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตสมถะ เรียบง่ายไม่โอ้อวด!”

“เจ้าแค่อิจฉาที่ข้ามีรูปร่างหน้าตาน่าดึงดูดใจ อิจฉาที่ข้าเป็นที่ชื่นชอบของหญิงงาม!”

“เหลวไหล ข้าน่ะหรืออิจฉาเจ้า? ข้าเองก็เกิดมาหน้าตาดีไม่น้อยไปกว่าเจ้า เมื่อก่อนแม่นางน้อยใหญ่ต่างก็ไล่ตามข้า มีคนอยากแต่งให้ข้าไม่รู้กี่มากน้อย เพียงแต่ยามนี้ข้าไม่ได้ใส่ใจรูปลักษณ์ภายนอกของตน หากข้าแต่งองค์ทรงเครื่องสักหน่อยย่อมต้องดูดีกว่าเจ้าเป็นแน่!”

หนานกงหลีสะบัดพัดให้กางออก ก่อนจะยกขึ้นปิดปากหัวเราะพลางส่งสายตายั่วยุอีกฝ่าย

“ตาเฒ่าขี้โม้เอ๊ย ทำเป็นมาพูดดี มีภรรยาหรือ? ก็ไม่ มีบุตรหรือ? ก็ไม่!”

เจี่ยเจินถูกอีกฝ่ายพูดแทงใจดำ เขาถึงขั้นขนฟูราวกับแมวถูกเหยียบหาง

“ข้าแค่ไม่ชอบมีพันธะติดตัว ผู้ใดจะไปหลายใจเหมือนเจ้า มากภรรยามากบุตรชายแล้วมีประโยชน์อันใดในเมื่อ เจ้าไม่! มี! บุตรสาว!”

ประโยคท้ายนั่นอานุภาพร้ายแรงเพียงใดไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง หนานกงหลีถึงกับโมโหจนหน้าเขียว

“แต่ข้ามีหลานสาว!”

เจี่ยเจินเอ่ยเสียงเรียบ “อืม เจ้าไม่มีบุตรสาว”

พัดในมือหนานกงหลีแทบจะหักคามือ “เจ้าไม่มีบุตรชาย!”

เจี่ยเจิน “เจ้าไม่มีบุตรสาว”

หนานกงหลีอยากจะขว้างพัดใส่หน้าตาเฒ่าผู้นี้เสียจริง!

“เจ้าเองก็ไม่มีเหมือนกันนั่นแหละ มีสิทธิ์อันใดมากล่าววาจาเยาะเย้ยข้า!”

เจี่ยเจินหัวเราะเบา ๆ “เจ้าไม่มีบุตรสาว”

หนานกงหลี “…”

อีกไม่ช้าคนทั้งสองคงจะอกแตกตาย

เสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่ในรถม้าด้วย “…”

สองคนนี้ปัญญาอ่อนเกินไปแล้วกระมัง

สหายหมาด ๆ ทั้งสองต่างก็หัวร้อนระอุจนแทบจะลงไม้ลงมือกันอยู่ร่ำไร โชคดีที่เสี่ยวเป่าห้ามศึกไว้ทันด้วยการชี้ไปข้างนอกแล้วตะโกนเสียงดัง

“ดูนั่น มีคนกำลังวิวาทกันอยู่ข้างนอก!”

เพียงพริบตาเดียว คนทั้งสองก็โผล่หัวออกไปทางหน้าต่างรถม้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

เจี่ยเจินตาเป็นประกาย “ที่ใด อยู่ที่ใด?”

หนานกงหลีรีบเร่งคนบังคับม้า “เร็วเข้า ๆ เข้าไปใกล้อีกหน่อย โธ่เอ๊ย! คนพวกนี้ข้าเคยเห็นแล้ว”

ไม่เห็นต้องสอดรู้สอดเห็นโจ่งแจ้งขนาดนี้ก็ได้

เจี่ยเจินที่ดูชอบอกชอบใจมาก “มีเมล็ดแตงโมหรือไม่?”

คนบังคับรถม้า “…”

แม้จะฝืนใจ แต่ก็ต้องทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *