เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 163 ท่านพ่อ ข้าโกรธแล้ว

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 163 ท่านพ่อ ข้าโกรธแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 163 ท่านพ่อ ข้าโกรธแล้ว

บทที่ 163 ท่านพ่อ ข้าโกรธแล้ว

หมอหลวงจางลูบเคราของตนเอง จากนั้นก็เอาขนแกะทั้งสองมาชิดจมูกแล้วดมกลิ่น

“สำเร็จแล้วจริง ๆ”

เสี่ยวเป่าเท้าเอวตัวเอง “เสี่ยวเป่าเก่งมาก!”

โอ้อวดไม่มีการถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย

ทว่าถึงแม้จะโอ้อวดตนเอง แต่หมอจางเองก็ต้องยอมรับว่าองค์หญิงน้อยผู้นี้มีความสามารถให้โอ้อวดจริง ๆ

อีกทั้งองค์หญิงน้อยเพิ่งจะอายุเพียงสามขวบ! หากเป็นเด็กคนอื่นแล้ว ในช่วงวัยสามขวบคงกำลังดื้อดึงไม่ยอมเล่าเรียน ต้องการเพียงวิ่งเล่นไปทั่วเท่านั้น

“แล้วองค์หญิงต้องการนำขนแกะเหล่านี้ไปทำสิ่งใดต่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หลังจากสำเร็จแล้ว ขนแกะพวกนี้จะนำไปใช้ทำสิ่งใดต่อ? อย่างมากสุดก็ใช้ทำเป็นพรมใช่หรือไม่?

เสี่ยวเป่าเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ทำเสื้อผ้า!”

หมอหลวงจางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย จะนำขนแกะเหล่านี้มาทำเป็นเสื้อผ้าได้อย่างไร?

ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยแย้งหรือพูดขัดองค์หญิงน้อย ทำเพียงแค่แย้มยิ้มออกมาให้ “เช่นนั้นข้าจะรอชมเสื้อที่องค์หญิงน้อยทำออกมา”

ก่อนจะจากไปเขายังคงไม่ลืมหันมาเอ่ย “องค์หญิงน้อย พระองค์อย่าได้ใช้ชาอวิ๋นอู้ต้มกับนมอีกเลย”

สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว

หลังจากกล่าวจบเขาก็จากไปทันที

เสี่ยวเป่าเม้มปากบ่นพึมพำ “เป็นเด็กควรจะดื่มชานมให้มากต่างหาก”

นางไม่ได้รับฟังเลยแม้แต่น้อย…

หลังจากได้น้ำยาทั้งสองชนิดแล้ว เสี่ยวเป่าก็ให้ชุนสี่พาบ่าวรับใช้ไปแบ่งขนแกะออกเป็นสองกองแล้วเริ่มลงมือทำความสะอาด

“องค์หญิง แบ่งขนแกะตามความหนาและความหยาบดีหรือไม่เพคะ? บ่าวคิดว่าหากท่านต้องการทำเสื้อผ้า ใช้ขนส่วนที่อ่อนนุ่มย่อมออกมาดีกว่า ส่วนขนที่หยาบเกินกว่าจะทำเป็นเสื้อก็นำไปทำพรมหรือของสิ่งอื่นแทน”

นางกำนัลที่คอยรับใช้เสี่ยวเป่าเป็นประจำนั้นมีอยู่สี่คน ในหมู่พวกนางคนที่โตสุดคือชุนสี่ นางรับหน้าที่ดูแลเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเสี่ยวเป่าอย่างละเอียดรอบคอบ เปี่ยมด้วยบารมีและยังจัดการควบคุมคนที่อยู่เบื้องล่างได้เป็นอย่างดี

ส่วนนางกำนัลที่เหลืออีกสามคน หนึ่งในนั้นคือฉือหลิว ผู้มีนิสัยอ่อนโยนและเชี่ยวชาญในด้านการเย็นปักถักร้อยได้แสดงความคิดเห็นตนเองออกมา ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดขนแกะ

เสี่ยวเป่าไม่ค่อยเข้าใจ แต่รู้สึกได้ว่าสิ่งที่นางเอ่ยออกมามีเหตุผล

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็เลือกเอาขนแกะส่วนที่นุ่มออกมาทำความสะอาดในน้ำยาไม่มีกลิ่น หลังจากตากขนแกะจนแห้งแล้วก็นำขนแกะเหล่านั้นไปทอเป็นเสื้อให้ท่านพ่อ ทว่าเสี่ยวเป่าทำเองไม่เป็น ต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว”

ฉือหลิวรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่รบกวน ไม่รบกวนเพคะ”

เหล่านางกำลังที่ติดตามรับใช้องค์หญิงได้รับการคัดเลือกมาเป็นอย่างดีจากองค์จักรพรรดิ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถไม่เลว อีกทั้งรอบกายองค์หญิงยังมีบ่าวรับใช้อีกจำนวนมาก ปกติงานที่ต้องลงมือเองจึงมีไม่มากนัก

อีกทั้งองค์หญิงยังใจดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยทุบตีด่าทอพวกนางสักครั้ง เทียบกับเหล่าสนมภายในวังแล้ว การอยู่ข้างกายองค์หญิงนั้นไม่จำเป็นต้องระแวดระวังเรื่องกลอุบาย และไม่ต้องกังวลว่าตนจะตายลงเมื่อใด พวกเขาทุกคนล้วนแต่หวังให้องค์หญิงมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดจากใจจริง

แต่หากสามารถช่วยองค์หญิงได้มากกว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องดีที่สุด

บ่าวรับใช้รีบไปเลือกขนแกะมาด้วยความว่องไว เนื่องจากได้ยินว่าองค์หญิงต้องการนำขนแกะส่วนนี้ไปทำเสื้อผ้าอาภรณ์ให้กับฮ่องเต้ จึงไม่มีผู้ใดกล้าทำอย่างขอไปที

แต่กลิ่นสาบขนแกะนั้นแรงเกินไป เสี่ยวเป่าที่เดินดูไปมารอบ ๆ วนกลับมาด้วยใบหน้ายับย่น จากนั้นก็กลับไปเอาผ้าเก่า ๆ มาทำเป็นหน้ากากปิดปากปิดจมูก

หลังจากชุนสี่ได้เห็นจึงช่วยตัดหน้ากากตามรูปร่างใบหน้าขององค์หญิงน้อย ทั้งยังเป็นหน้ากากแบบสองชั้น สามารถใส่เปลือกส้มลงไปเพื่อช่วยดับกลิ่นขนแกะ

เมื่อสิ่งนี้สามารถดับกลิ่นได้อย่างสมบูรณ์ ก็นับว่าดีขึ้นมาก

หลังจากที่ขนแกะทั้งหมดได้รับการคัดแยกลงแช่ในน้ำยาแล้ว เสี่ยวเป่าก็หยิบกล่องสมบัติน้อยของตนเองออกมา จากนั้นเอาเมล็ดถั่วทองคำสองเมล็ดออกมามอบให้ชุนสี่นำไปยังครัวหลวง เพื่อให้ปรุงอาหารอร่อย ๆ เป็นรางวัลแก่ทุกคน

ส่วนตนเองนั้นวิ่งไปทางท่านพ่อเพื่อถือโอกาสร่วมกินข้าวด้วย

เหล่าก้อนขนเองก็ตามนางไปด้วย กระทั่งเจ้าถวนจื่อเองก็ซุกตัวอย่างเกียจคร้านติดไปด้วย

เมื่อไปถึงก็ตรงกับอาหารเย็นพอดี เสี่ยวเป่าออกแรงปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย

หนานกงสือเยวียนหรี่ตามองนาง “เจ้าเอาชาของข้าไปหรือ?”

เสี่ยวเป่า “…แค่กระปุกเดียว”

เด็กน้อยที่มีชนักติดหลังหดคอลง ไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง

“ช่างเลือกเสียด้วย ชาอื่นมีไม่หยิบ เลือกหยิบชาอวิ๋นอู้”

เสี่ยวเป่าแย้มยิ้มให้ท่านพ่อ พร้อมเอ่ยเสียงหวาน “ท่านพ่อ~”

“เสี่ยวเป่าจะไปหาจ้าวอาวาสวัดต้ากั๋วเพื่อเอาชากลับมาให้ท่านพ่อ”

นางกะพริบดวงตากลมโตงดงามของตัวเอง ขนตางอนขยับขึ้นลงดังปีกผีเสื้อ ใบหน้าขาวนวลนุ่มนิ่มดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

นิ้วเรียวของหนานกงสือเยวียนบีบใบหน้าขาวราวหิมะของเจ้าก้อนแป้ง ความรู้สึกนุ่มนิ่มที่สัมผัสได้ทำเอาไม่อยากปล่อยมือ

“ชาอวิ๋นอู้ล่ำค่าถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าไปขอแล้วจ้าวอาวาสถึงต้องให้เจ้าด้วย?”

เสี่ยวเป่าหน้าหนายกมือเล็ก ๆ แบออกทาบลงบนแก้ม “เพราะเสี่ยวเป่าน่ารัก”

หนานกงสือเยวียน “…”

ความหน้าไม่อายนี้ ฝ่ายผู้เป็นพ่อเสียเองที่ทนมองไม่ได้

“กินข้าวเสีย!”

เสี่ยวเป่า: คิก ๆ…

เจ้าก้อนแป้งเลิกคิ้วออก ก่อนเริ่มลงมือกินข้าวในชามของตนเอง

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอยากกินอันนั้น แต่เสี่ยวเป่าเอื้อมไม่ถึง”

หนานกงสือเยวียนไม่ได้แสดงสีหน้าอันใด “มีนางกำนัลคอยช่วยอยู่”

“ท่านพ่อช่วยเสี่ยวเป่าหน่อยน้าา~”

เจ้าก้อนแป้งทำท่าทางออดอ้อน กระทั่งบิดาผู้เย็นชายังไม่อาจต้านทานได้

เจ้าเด็กนี่นับวันยิ่งไม่เกรงฟ้ากลัวดิน

หากหนานกงสือเยวียนรู้จักคำว่า ‘ดราม่าควีน’ ในยุคปัจจุบัน เขาก็คงไม่ลังเลสักนิดที่จะแปะคำนี้ลงบนร่างของเด็กน้อย

ทว่าเด็กน้อยกลับนุ่มนิ่มน่ารักจนทำให้คนรู้สึกเกลียดไม่ลง

เสี่ยวเป่ากินอาหารด้วยความตะกละ แม้จะอิ่มเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่อาจหยุดปากของตนเองได้

หนานกงสือเยวียน “กินอิ่มก็พอแล้ว”

ดวงตากลมโตของเสี่ยวเป่ามองมาทางเขาด้วยความจริงจัง “ไม่ เสี่ยวเป่ายังกินได้อยู่!”

นางยังสามารถกินซาลาเปาลูกใหญ่ได้อีกสองถูก!

หนานกงสือเยวียนมองนางอย่างเงียบงัน: เจ้าคิดว่าข้าเชื่ออย่างนั้นหรือ?

เจ้าก้อนแป้งสีขาวยื่นนิ้วออกมาอย่างอ่อนแรง

“อีกนิดหนึ่ง เสี่ยวเป่ายังกินได้อีกนิดหนึ่ง”

เสียงนุ่มนิ่มนั้นกำลังออดอ้อน เพื่อขอให้ได้กินเพิ่มอีกสักนิด นางถึงกับยอมพยายามอย่างหนัก

หนานกงสือเยวียนหมดวาจาจะเอ่ยไปชั่วอึดใจ ก่อนจะคีบปลาชิ้นหนึ่งให้นาง

“เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”

เด็กน้อยเม้มปากลง “ก็ได้”

หลังจากกินเสร็จแล้ว นางก็เตรียมไปหาพ่อครัวอู๋ที่ครัวหลวง

แต่หนานกงสือเยวียนราวกับสามารถล่วงรู้ความคิดของนางได้ เอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน

“ข้าบอกกับครัวหลวงไว้แล้วว่าห้ามให้ของกินใด ๆ กับเจ้าภายในหนึ่งชั่วยามหลังจากนี้”

เสี่ยวเป่า “!!!”

“ท่านพ่อ!”

เสียงของเจ้าก้อนแป้งดังแหลมสูงขึ้นมาทันที นางมองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ท่านพ่อ ข้าโกรธแล้ว เสี่ยวเป่าโกรธจริง ๆ ด้วย!”

เมื่อเห็นท่าทางเป็นทุกข์ของนาง หนานกงสือเยวียนก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“เจ้าโกรธก็แสดงให้ข้าเห็นเสียสิ”

เสี่ยวเป่าเท้ามือสองข้างไว้บนเอวกลม ๆ นัยน์ตางดงามเหมือนแมวถลึงจ้อง แก้มสีขาวราวหิมะพองออกพร้อมกับปากที่มุ่ยลง กลายร่างเป็นปลาปักเป้าตัวน้อยในทันที

เจ้าก้อนแป้งโกรธแล้ว ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ฝูไห่และเหล่านางกำนัลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านข้างต่างพากันขบขัน ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา ทำได้เพียงก้มไหล่ที่สั่นเบา ๆ

องค์หญิงน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน ฮ่าฮ่าฮ่า…

น่าเสียดายที่ท่าทางโกรธเช่นนี้ไม่ได้น่าเกรงขามแม้แต่น้อย กลับชวนให้ผู้ที่พบเห็นอยากหยิกแก้มกลม ๆ ของนางเสียมากกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด