เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 177 เจิ้งอีผิน องค์หญิงเจาเสวี่ย

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 177 เจิ้งอีผิน องค์หญิงเจาเสวี่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 177 เจิ้งอีผิน องค์หญิงเจาเสวี่ย

บทที่ 177 เจิ้งอีผิน องค์หญิงเจาเสวี่ย

จำนวนข้าวที่ตากแดดมีอยู่มากเกินไป พวกเขาก็รู้สึกคันยุบยิบตามร่างกายขึ้นมา แม้จะอาบน้ำไปแล้วก็ยังคงรู้สึกไม่ดี ทำให้ไม่มีใครต้องการจะลองสัมผัสประสบการณ์อีกครั้ง

หลังจากเก็บรวบรวมและบรรจุข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทำการยกขึ้นรถภายใต้คำสั่งของหัวหน้าผู้ดูแล

เมื่อนับยอดเสร็จก็ถึงกับทำให้มือที่ถือพู่กันอยู่ของหัวหน้าผู้ดูแลสั่นสะท้าน

“มากเท่าใด?”

“รวมทั้งสิ้นแล้วประมาณสองพันสามร้อยจิน”

หลังจากคำนวณออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เสียงของเขาที่เอ่ยจำนวนออกมาก็ถึงกับสั่นเครือ

สองพันสามร้อยจินฟังแล้วดูไม่มาก ไม่อาจเทียบได้กับผลเก็บเกี่ยวครั้งก่อนของนาหลวง แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงผลการเก็บเกี่ยวจากนาเพียงสามหมู่เท่านั้น

ไม่ใช่เพียงแค่หัวหน้าผู้ดูแลนาหลวงและผู้ดูแลบัญชีที่ตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่อ แต่ชาวนาที่อยู่รอบ ๆ ก็ต่างพากันอ้าปากค้าง ตะลึงงันกันไปเกือบสิบลมหายใจจึงค่อยมีคนค่อยพูดขึ้นมา

“สวรรค์! นาเพียงสามหมู่ นาเพียงสามหมู่กลับได้ถึงสองพันสามร้อยจิน!”

“ไอ้หยา!”

มีคนตบต้นขาตัวเอง ตื่นเต้นเสียจนตาแดงก่ำ รีบดึงคนข้าง ๆ มาเอ่ยถาม

“สองพันสามร้อย สองพันสามร้อยเชียวนะ ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่!”

ขณะที่เอ่ย ดวงตาของเขาแดงก่ำและมีน้ำตาซึมออกมา ทว่ายามนี้ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเขาทำตัวน่าอับอาย

คนผู้นี้คือชายชราที่ดูคล้ำแดดคล้ำฝนผู้หนึ่ง ตัวของเขานั้นได้หนีภัยมาพึ่งพิงยังสถานที่แห่งนี้

เขาต้องเผชิญกับภัยความอดอยาก ต้องทนทุกข์ทรมานกับการไม่มีที่นาเป็นของตนเอง ต้องตรากตรำทำนาเพื่อหาเลี้ยงภรรยาและบุตรของตน

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยปลูกได้มากเพียงนี้มาก่อน เก็บเกี่ยวได้ประมาณเจ็ดร้อยกว่าจินต่อหมู่เท่านั้น

พึงรู้ว่านาข้าวที่พวกเขาปลูก ปกติแล้วแม้ดูแลเป็นอย่างดี รวมทั้งมีพื้นที่เพาะปลูกอันอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ ยังได้ผลผลิตประมาณสามร้อยจินต่อหมู่

ทว่าตอนนี้ ผลผลิตจากนาข้าวสามหมู่เล็ก ๆ ไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้นธรรมดา หากแต่เพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว

“ดู…ดูข้าวเหล่านี้สิ ดูดีเป็นพิเศษ ไม่มีเปลือกเปล่าแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนอุดมสมบูรณ์ชวนชื่นชม”

“หากนาของพวกเราสามารถเก็บเกี่ยวได้มากเช่นนี้ ในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องหิวโหยอีกต่อไป หัวหน้าผู้ดูแล วิธีการที่ท่านพูดถึงสามารถทำให้ข้าวสาลีเติบโตงอกงามได้ด้วยหรือไม่”

“หากวันข้างหน้ายังคงได้ผลผลิตมากเท่านี้ ครอบครัวของพวกข้าก็ไม่ต้องอดอยากอีกต่อไป ทั้งยังมีส่วนเหลือนำไปขายซื้อผ้า ครอบครัวของข้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่มาหลายปีแล้ว”

ชายฉกรรจ์หญิงสาวเหล่านี้ซื่อตรงและพึงพอใจเป็นอย่างมาก ความต้องการเองก็เรียบง่ายยิ่ง

พวกเขาเพียงปรารถนาแค่ได้กินอิ่ม ครอบครัวไม่ต้องอดอยาก มีเงินเหลือนำไปซื้อผ้ามาตัดเย็บเสื้อตัวใหม่ เพียงเท่านี้ก็พึงพอใจมากแล้ว

หัวหน้าผู้ดูแลปลอบให้กลุ่มคนที่กำลังตื่นเต้นสงบลง ก่อนกล่าวบอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่า การหว่านเมล็ดครั้งถัดไป ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือข้าวสาลีก็ล้วนต้องใช้ปุ๋ย การใช้ปุ๋ยนั้นไม่เพียงได้ผลแต่กับข้าว หากนำไปใช้กับข้าวสาลีเองก็ได้ผลด้วย

ครั้งนี้พวกเขาถึงกับตื่นเต้นมากกว่าเดิม เพราะในตอนนี้สิ่งที่เก็บได้เป็นของผู้อื่น ทว่าครั้งหน้าจะเป็นของพวกเขาเอง พวกเขามีโอกาสที่จะได้รับผลผลิตมากขึ้นเป็นสองเท่า!

นาหลวงหมดช่วงฤดูหว่านเมล็ดข้าวสาลีแล้ว ปุ๋ยจึงได้แต่ใส่บนผิวดินตามไปในภายหลัง ทว่าเพียงแค่นั้นก็ทำให้ข้าวสาลีงอกงามกว่าปีก่อน ๆ มากแล้ว

พวกเขาเฝ้ารอจะได้เก็บเกี่ยวข้าวสาลีทันทีที่สุกงอมเต็มที่ ไม่รู้ว่าปีนี้จะได้ข้าวสาลีมามากเท่าใด

ระหว่างที่กลุ่มคนทางนี้กำลังตื่นเต้น ผลผลิตรวมของข้าวสารจากทั้งสามหมู่ก็ถูกรายงานไปยังฮ่องเต้และเหล่าขุนนาง

ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านธรรมดาเหล่านั้นเลย กระทั่งเหล่าขุนนางเองก็ยังไม่อาจรักษาความสงบนิ่งได้

หนึ่งในนั้นที่กำลังจิบชาอยู่ถึงกับพ่นชาในปากออกมา

“พวกเจ้าว่าอย่างไรนะ? สองพันสามร้อยจิน เพียงแค่สามหมู่กลับได้ผลผลิตถึงสองพันสามร้อยจิน?”

“จริงแท้แน่นอน พวกเขาชั่งน้ำหนักและนับอยู่หลายครั้ง ไม่มีข้อผิดพลาดแต่อย่างใด” น้ำเสียงของผู้มารายงานเองก็มีความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย

อาหารเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดขาดได้ ไม่ใช่เพียงแค่เบื้องล่างอย่างเหล่าชาวบ้านที่ให้ความสนใจ เบื้องบนเช่นฮ่องเต้และเหล่าขุนนางเองก็ไม่มีผู้ใดไม่ให้ความใส่ใจ

แม้พวกเขาจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผลผลิตที่ได้จากนาสามหมู่จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเพิ่มมากขึ้นถึงเพียงนี้

กระทั่งคนสุขุมที่สุดยังไม่อาจสงบนิ่งได้

“ฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจากตื่นตะลึงเสร็จ พวกเขาก็พากันแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ทีละคน ท่าทางดีใจประหนึ่งเป็นตระกูลของพวกเขาเองที่สามารถปลูกข้าวได้มากถึงเพียงนี้

ในตอนนี้ มุมปากของหนานกงสือเยวียนก็ยกขึ้นเช่นเดียวกัน อาจไม่ได้แสดงท่าทางมากมายเช่นผู้อื่น แต่ภายในใจของเขาย่อมอารมณ์ดีอย่างแน่นอน

พระหัตถ์ยกขึ้นโบกพลางตรัสว่า “นี่เป็นผลงานขององค์หญิงเก้า ถ่ายทอดคำพูดของข้าลงไป เนื่องจากองค์หญิงเก้า หนานกงจิ่นซีมีความดีความชอบในการเพาะปลูกต้นข้าวพันธุ์ดีและมอบวิธีใส่ปุ๋ยในนาข้าวให้ อวยยศองค์หญิงเก้าขึ้นเป็นเจิ้งอีผิน*[1] นามองค์หญิงเจาเสวี่ย”

สิ้นเสียงของเขา เหล่าขุนนางต่างก็ตกตะลึง

ฝ่าบาทถึงกับเล่นลูกไม้เช่นนี้… เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งแสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจออกไป ทำให้ไม่อาจคิดคำแย้งใดมาหักล้างได้

หลีรุ่นเป็นคนแรกที่กล่าวออกมา “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่เขาคุกเข่าลง สายตาของใครหลาย ๆ คนก็จ้องเขม็งมาทางเขา

เสียงของหนานกงสือเยวียนเย็นเยียบลง “อันใด? หรือทุกท่านมีความเห็นอื่น?”

ด้วยจิตสังหารที่มาพร้อมกับสุรเสียงของพระองค์ ทำให้ทุกคนรีบพากันคุกเข่าลง เอ่ยแสดงความยินดีอย่างไม่ต้องคิด พวกเขาบังเกิดความรู้สึกว่า หากไม่ทำเช่นนี้ก็อาจจะรักษาศีรษะเอาไว้บนบ่าไม่ได้

ทรราช! เพียงแค่เอ่ยไม่เห็นด้วยก็ถึงกับจะเอาชีวิตพวกเขาแล้ว!

มอบนามเจาเสวี่ยให้ เพียงสามขวบก็ได้กลายเป็นองค์หญิงขั้นเจิ้งอีผิน เรื่องเช่นนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!

กล่าวตามตรง หากดูจากความรักความเอ็นดูที่ฝ่าบาทมีให้องค์หญิงน้อยในยามปกติแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ฝ่าบาททรงวางแผนแต่งตั้งองค์หญิงขึ้นเป็นเจิ้งอีผินมานานแล้ว ตอนนี้เพียงแค่อาศัยโอกาสที่ปรากฏขึ้น!!!

นามและยศขององค์หญิงมักได้รับการแต่งตั้งยามแต่งงานออกไปแล้ว ไม่มีองค์หญิงพระองค์ใดได้รับการแต่งตั้งเช่นนี้ก่อนจะแต่งงาน!

เสี่ยวเป่าที่ได้รับการคุกเข่าแสดงความยินดีพลันมีสีหน้างุนงง

เอ๋? นางไม่ได้เป็นองค์หญิงอยู่แล้วหรอกหรือ?

แต่ก็ยังมีคนหัวโบราณคร่ำครึบางคนเกิดความไม่เต็มใจ จนต้องมองไปทางเหล่าองค์ชาย หวังว่าเหล่าองค์ชายจะเอ่ยคำทัดทานออกมา

เช่นนี้ไม่เหมาะสมกับขนบธรรมเนียม!

ทว่าเหล่าองค์ชายกลับดูมีความสุขและรู้สึกยินดียิ่งกว่าตัวขององค์หญิงเก้าเสียอีก!

พวกเขาแทบจะกระอักโลหิตออกมาด้วยโทสะแล้ว ราชวงศ์นี้…น่าสิ้นหวังเหลือเกิน!

เหล่าองค์ชายไม่ได้รับรู้ถึงสายตาหลายคู่ที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่อาจตีเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ พวกเขาต่างกำลังยินดีจากใจจริงให้กับน้องหญิงของตนเองอยู่

น้องหญิงของพวกเขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง!

ก่อนประตูพระราชวังจะปิดลง ฮ่องเต้ก็พาพระโอรสพระธิดาของตนกลับเข้าวัง ส่วนขุนนางทั้งหลายเองก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งคืน ข่าวเรื่องนาหลวงสามหมู่สามารถผลิตข้าวออกมาได้สองพันสามร้อยจิน และองค์หญิงเก้าถูกอวยยศเป็นองค์หญิงเจิ้งอีผิน นามว่าเจาเสวี่ยก็เป็นที่ฮือฮาในวงสังคมเล็ก ๆ

คืนนี้มีคนไม่รู้มากน้อยเพียงใดที่พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ

มีคนสนใจเรื่องอาหารจนแทบทนรอให้ถึงยามเช้าตอนไปประชุมขุนนางไม่ไหว ต้องการจะไถ่ถามเรื่องราวความเป็นมากับฝ่าบาท เหตุใดที่นาเพียงสามหมู่จึงสามารถผลิตเสบียงได้มากถึงเพียงนี้

บางคนก็ให้ความสนใจกับองค์หญิงเก้า ผู้ได้รับตำแหน่งเจิ้งอีผินตั้งแต่อายุเพียงสามขวบ ทั้งยังได้รับการตั้งพระนามให้อีกด้วย

ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ฝ่าบาทถึงกับตรัสวาจาเช่นนี้ออกมาโดยไม่ลังเล อีกทั้งไม่ยอมให้ผู้ใดทัดทาน เห็นได้ชัดว่าโปรดปรานองค์หญิงน้อยเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่โบราณ

แผนการเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงบังเกิดขึ้นในใจของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีกแล้ว อนาคตหากผู้ใดได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงผู้นี้ อนาคตจะต้องรุ่งเรืองไม่เสื่อมลงอย่างแน่นอน!

[1] เจิ้งอีผิน (正一品) เป็นยศขององค์หญิงขั้น 1 แบ่งลำดับขั้นดังนี้ สูงสุดคือ เฉาอีผิน เป็นพี่สาวน้องสาวร่วมอุทรฮ่องเต้ เจิ้งอี้ผินมีตำแหน่งรองลงมา เป็นบุตรีของฮ่องเต้ และไล่เรียงยศลงมาด้วยตัวเลข เช่น เจิ้งเอ้อร์ผิน เจิ้งซานผิน ไปจนถึงลำดับที่เจ็ด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด