เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 191 ถุงกระสอบ

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 191 ถุงกระสอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 191 ถุงกระสอบ

บทที่ 191 ถุงกระสอบ

หนานกงฉีหลิงมีสีหน้าสับสน ดูทำอะไรไม่ถูก “พวกเจ้า…เป็นอะไรไป?”

ทั้งหมดมองไปที่เสี่ยวเป่าอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เจ้าเล่าเรื่องอะไรของเจ้ากัน…”

นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้วนะ

เสี่ยวเป่าว่าพลางทำตาใสซื่อ “ก็เรื่องผีอย่างไรเล่า”

เรื่องผีล้วน ๆ เลยนะ

เหล่าพี่ชาย “…”

คงเพราะพวกเขาประสบการณ์ยังน้อย ที่แท้ก็มีเรื่องผีเช่นนี้ด้วย!

ทว่าพอมาคิด ๆ ดูแล้ว แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าเรื่องผี เมื่อก่อนพวกเขาเล่าเรื่องผีทีไรก็ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด ตรงกันข้าม มันเหมือนนิทานรัก ๆ ใคร่ ๆ ไร้แก่นสารเสียมากกว่า

“อะไรกัน พวกเจ้ากลัวเรื่องผีเนี่ยนะ ฮ่า ๆๆ!”

หนานกงฉีหลิงหัวเราะเสียงดังลั่น

หนานกงฉีเฉิน “เอ๋ พี่ห้า มีอะไรติดอยู่บนหน้าท่านด้วย? เหตุใดถึงได้แดงเช่นนี้”

ถึงคราวขององค์ชายสี่และองค์ชายห้าที่ตัวแข็งทื่อบ้าง มิหนำซ้ำ หน้ายังแดงเป็นมะเขือเทศ

องครักษ์ที่หามคนอยู่ลอบกลั้นยิ้มอยู่ด้านหลัง

“ข้าขอดูหน่อย ๆ นี่มัน…เหมือนรอยริมฝีปากผู้หญิงเลย พี่สี่ พี่ห้า พวกท่านโชคดีจริงเชียว!”

หนานกงฉีหลิงทำท่าทางโมโหกลบเกลื่อน “พูดจาเหลวไหลอันใดของเจ้า ข้าไม่ทันระวังเลยเผลอไปโดนเข้าต่างหาก!”

เขาใช้มือเช็ดหน้าของตนอย่างแรง

หนานกงฉีอิงชิงหักหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าหดหู่ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ไป น้องห้าก็เอาแต่พูดว่าผู้หญิงพวกนั้นไม่มีอะไรต้องกลัว พวกนางน่ากลัวยิ่งกว่าท่านอาจารย์เสียอีก!”

เมื่อย้อนนึกถึงตอนที่พวกเขาเข้าไปตามหาคนในหอนางโลมทีไร หนานกงฉีอิงก็ทำหน้าสยดสยองขึ้นมาทันที

“ยังเดินไปไม่ถึงไหน ก็ถูกแม่นางสองคนฉุดกระชากแขน พวกนางน่ากลัวมาก หากข้ากับน้องห้าไม่แข็งแรงละก็ ป่านนี้คงหนีออกมาไม่ได้แล้ว”

ถึงต่อให้หนีออกมาได้ แต่ก็ยังถูกหญิงสาวพวกนั้นพรมจูบใบหน้าจนไม่เหลือที่ว่างแล้ว

“ข้าจะไม่มีวันกลับไปสถานที่เช่นนั้นอีกแน่!”

เห็นเขาหวาดกลัวเช่นนี้แล้ว คงมีแผลในใจไปอีกนาน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังสนั่นของน้องชายทั้งสาม หนานกงฉีหลิงกลับทำหน้าเคร่งเครียด ไร้ซึ่งความร่าเริงและท่าทีไม่เกรงกลัวเหมือนอย่างในทีแรก สีหน้าดู…โศกเศร้ายิ่งนัก

ผู้ใดจะไปคิดกันว่า ถ้อยคำวางท่าที่พูดไว้ก่อนไปจะขายหน้าตั้งแต่ยังไม่ทันข้ามวันเสียด้วยซ้ำ

เสื้อผ้าของเขาถูกฉุดกระชากจนมีแต่รอยยับย่น แม้จะพยายามจัดแจงแล้ว แต่ก็ยังเห็นความยุ่งเหยิงอยู่ดี

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์ หอนางโลมที่ได้ยินได้ฟังมา ทว่าไม่เคยไปเลยสักครั้ง แล้วจะเคยพบเห็นฉากเช่นนั้นได้อย่างไร

เหตุเพราะหน้าตาหล่อเหลา ซ้ำยังแต่งตัวดูดีมีชาติตระกูล นางโลมสองคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันต่างเข้ามายื้อยุดฉุดกระชากพวกเขาทันทีที่ไปถึง พี่สี่ถึงกับตกใจกลัวสุดขีด

“หัวเราะอะไรกัน เข้าเรื่องสำคัญได้แล้ว!”

สายตาดุร้ายของเขามองคนสามคนที่ถูกตีจนสลบและห่อหุ้มไว้ด้วยถุงกระสอบ

“สามคนนี้ คนหนึ่งเป็นคุณชายที่เกิดจากฮูหยินของจวนเซวียนผิงโหว หน้าตาอย่างกับหมู ส่วนอีกสองคน คนหนึ่งเป็นลูกของฮูหยินรองตระกูลหลี่ อีกคนเป็นลูกของอนุภรรยาจวนโหว วัน ๆ คอยเป็นลูกไล่หลี่ฮ่าวฉุนช่วยกันทำเรื่องเลวทราม”

สรุปก็คือเป็นพวกคุณชายเลือดร้อน เมื่อได้รู้ว่าคนพวกนี้เคยทำสิ่งใดลงไปบ้าง ในสายตาของเขาก็มีเพียงความขยะแขยงเท่านั้น

“ปลุกพวกมัน แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก”

เรื่องสนุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทุกคนรวมถึงเสี่ยวเป่าต่างล้อมวงเข้าไป

องครักษ์รับหน้าที่ปลุกคนพวกนั้นให้ตื่น

เมื่อได้สติแล้ว ทั้งสามคนที่ถูกมัดมือมัดเท้า ทุกอย่างตรงหน้ามืดสนิท พลันมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทีแรก จากนั้นก็ตามมาด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด

“ใครกัน! หมาตัวไหนมันกล้ามัดข้า รู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร รีบปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้เสีย!”

ผัวะ!

ถูกมัดอยู่แท้ ๆ ยังกล้าอวดเบ่งสมควรโดนถีบ

“เจ็บนะ! พวกเจ้าช่างขวัญกล้า ข้าเป็นถึงคุณชายของจวนเซวียนผิงโหวเลยนะ อ๊าก!!!”

ทั้งหมัดและฝ่าเท้ารุมประทับใส่ตัวคนทั้งสาม พวกเขาดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดพลางร้องโอดโอยเสียงดัง ท่าทีอวดเบ่งและข่มขู่ในตอนแรก เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจก็กลับกลายเป็นร้องไห้ขอความเมตตา

พอเตะต่อยจนหนำใจ หนานกงฉีหลิงก็หนีบน้องสาวไว้ข้างลำตัวและเดินจากไป

ไม่นานนัก ป่ารกร้างเงียบเชียบก็เหลือเพียงเสียงคร่ำครวญของพวกที่ถูกทุบตีจนสะบักสะบอม

เมื่อเดินมาได้ไกลแล้ว พวกเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่า ๆๆ สมน้ำหน้าพวกมัน!”

“ได้ระบายความแค้นเสียที ข้าทนกับพวกคนของจวนเซวียนผิงโหวมานานแล้ว”

“ได้ลงมือเองเช่นนี้ รู้สึกดีจริง ๆ ด้วย เสียดายที่ไม่ได้แก้แค้นฆ่าพวกมันให้กับคนที่ถูกพวกนั้นทำร้าย”

เพราะความชั่วช้าของทั้งสาม คนตาดำ ๆ ไร้ทางสู้จึงต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเขาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม อย่างน้อยทั้งสามคนก็ต้องรับผิดชอบให้กับสองชีวิต

หนานกงฉีเฉิน “คนเช่นนี้จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ กลับไปต้องกราบทูลเสด็จพ่อ”

เมื่อนึกถึงความเลวร้ายที่พวกเขากระทำและคนที่สิ้นใจไปเพราะคนพวกนั้น ใบหน้าของเด็กชายก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

เสี่ยวเป่าตีมือของพี่ห้าเบา ๆ น้ำเสียงออดอ้อนฟังดูน่าสงสาร

“ท่านพี่ ปล่อยเสี่ยวเป่าได้แล้ว เสี่ยวเป่าเวียนหัว”

นางถูกหนีบจนกลับหัวกลับหาง รู้สึกวิงเวียนศีรษะไปหมด

หนานกงฉีหลิงรีบวางน้องสาวลงอย่างรู้สึกผิด

“อาจารย์มียา”

เมื่อเท้าทั้งสองแตะพื้น ทันใดนั้น เด็กน้อยก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ให้พวกเขากินยานกเขาไม่ขันสิ”

คำพูดโหดร้ายที่ตัดกับน้ำเสียงนุ่มนิ่มไร้เดียงสาเช่นนี้ ทำเอาเหล่าบุรุษตรงนั้นทรงตัวแทบไม่อยู่

เสี่ยวเป่าทำหน้าสงสัย “ไม่ได้หรือ เช่นนั้นใช้กรรไกรตัดทิ้งได้หรือไม่”

“ซี้ด…” เหตุใดวาจาถึงอำมหิตเช่นนี้เล่า

หนานกงฉีเฉินรีบเอามือปิดปากเสี่ยวเป่า “เด็กน้อยเช่นเจ้าไปได้ยินคำพวกนี้มาจากที่ใดกัน!”

เสี่ยวเป่ากะพริบตาดวงโตคู่งาม เจ้าก้อนแป้งทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ทว่าดันพูดจาเช่นนี้ออกมาด้วยท่าทางใสซื่อ มันใช้ได้ที่ไหนกัน!

“เจ้าหมูพอถูกตอนยังเป็นเด็กดีเลย แถมเนื้อก็หอมมากด้วย”

ทุกคน “…”

แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วยเล่า

เสี่ยวเป่าครุ่นคิดในใจ หากท่านพ่อพานางไปที่นาหลวงเมื่อไหร่ นางจะทำให้หมูที่เลี้ยงเอาไว้ต้องร้องอู๊ด ๆ ออกมาเลยเชียว

“แต่จะว่าไป ลองใช้ยาที่เสี่ยวเป่าว่ามาก็ไม่เสียหายนะ” เจ้าสวะสามตัวนั้นเป็นพวกชอบใช้ร่างกายท่อนล่างแทนหัวคิด หญิงสาวและครอบครัวไม่น้อยต้องทุกข์ทรมานเพราะเหตุนี้ หากใช้ยานี่แล้วตัดปัญหาทั้งหมดไปได้ก็นับว่าเป็นการดีที่สุดแล้ว

หนานกงฉีหลิงลูบคางของตน “ไปเถอะ พรุ่งนี้เราจะไปหาหมอปีศาจกัน”

ตอนนี้ดึกมากแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจกลับไปที่จวนจิ้นอ๋องก่อน

ชั่วยามต่อมา บ่าวรับใช้ของพวกเขาก็มาถึงและพาเจ้าสามคนที่ถูกเตะต่อยจนปางตายกลับไป

เดิมจวนเซวียนผิงโหวก็กลัดกลุ้มเพราะเรื่องในวังเต็มที มาตอนนี้ยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีก

หัวของหลี่ฮ่าวฉุนบวมปูดเป็นสีเขียวช้ำ เรื่องแรกที่ทำเมื่อฟื้นขึ้นมาคือ ใช้ให้คนไปสืบหาว่าคนที่ทำร้ายพวกเขาเป็นใคร

แต่ถึงอย่างไร ยามปกติพวกเขาก็สร้างศัตรูไว้เยอะเกินไป คิดจะสืบหาตัวคนทำก็หาใช่เรื่องง่ายไม่

หลี่ฮ่าวฉุนวางท่าใหญ่โตคิดจะใช้คนไปสืบให้มากกว่านี้ กลับถูกเซวียนผิงโหวบิดาของตนดุด่าเสียยกใหญ่

“ตอนนี้ทั้งจวนเซวียนผิงโหวถูกคนข้างนอกก่นด่าไปทั่ว ลูกเวรเช่นเจ้าก็ยังสร้างปัญหาให้ข้าไม่หยุดหย่อน กลับไปที่ห้องของเจ้าเสีย ไม่ว่าใครก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น!”

หลี่ฮ่าวฉุนโมโหแทบบ้า “ท่านพ่อ ท่านยังเป็นบิดาของข้าอยู่หรือไม่? ข้าถูกทำร้ายจนสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะให้ข้าทนอยู่อีกหรือ!”

“เหอะ เจ้าก็ยังมีแรงอาละวาดอยู่มิใช่รึ หากจวนเซวียนผิงโหวล้มแล้ว ดูสิว่ายังจะมีผู้ใดในเมืองหลวงจำได้อยู่ว่าเจ้าเป็นคุณชายของจวนเซวียนผิงโหว!”

พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป และไปโต้เถียงต่อกับฮูหยินที่รีบร้อนเข้ามา

ทั้งสองต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายที่อบรมสั่งสอนลูกไม่ดี จนถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยทีเดียว

จวนเซวียนผิงโหวที่กำลังระส่ำระสายนับวันก็ยิ่งวุ่นวายเข้าไปทุกที

สายลับที่ซุ่มดูอยู่รีบนำเรื่องนี้กลับไปรายงานที่พระราชวัง

หนานกงสือเยวียนเช็ดกระบี่ในมือและเอ่ยถามเสียงเย็น “หาหลักฐานพบแล้วหรือ?”

“กำลังเดินทางมาพ่ะย่ะค่ะ”

“ออกไปได้”

จักรพรรดิผู้เยือกเย็นยืนอยู่ริมหน้าต่าง แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ราตรีกาลนี้ดูแล้วช่างเงียบสงบ เมฆาเคลื่อนคล้อย สายลมพัดผ่าน…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด