เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 20 ชื่อของเสี่ยวเป่าดังใหญ่แล้ว (รีไรท์)

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 20 ชื่อของเสี่ยวเป่าดังใหญ่แล้ว (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 20 ชื่อของเสี่ยวเป่าดังใหญ่แล้ว (รีไรท์)

บทที่ 20 ชื่อของเสี่ยวเป่าดังใหญ่แล้ว (รีไรท์)

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนพลันมืดมน เขาอยากจะโยนน้องชายคนนี้ออกไป บุตรสาวของเขาจะได้ไม่ต้องถูกหลอกลวง

เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ที่นุ่มนิ่มและนิสัยน่ารักของเสี่ยวเป่าในตอนนี้ และคิดว่าต่อไปนางจะกลายเป็นเช่นอ๋องเจ้าสำราญเมื่อโตขึ้น

ฮ่องเต้ก็แทบหักพู่กันในมือทิ้งทันควัน

“เสด็จพี่?” หนานกงหลีมองเขาอย่างไร้เดียงสา

หนานกงสือเยวียนหลับตาพลางหายใจเข้าลึก

หัวหน้าขันทีกล่าวว่า “…ท่านอ๋องน่าจะเริ่มจากอ่านเรียงความพันตัวอักษรนะพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงหลีที่ถูกฝูไห่กงกงเตือนความจำพลันตบเข่าฉาด “ข้าจำได้แล้ว! เสี่ยวเป่ารออาหาหนังสือให้เจ้าก่อนนะ”

ฝูไห่กงกงชำเลืองมองหนานกงสือเยวียนอย่างระมัดระวัง ดูท่าฝ่าบาทโกรธเมื่อไหร่คงไม่แคล้วได้โยนน้องชายออกไปจริง ๆ

ขันทีชราแค่หวังว่าหนานกงหลีจะไม่สร้างความวุ่นวายไปมากกว่านี้

ในไม่ช้า หนานกงหลีก็วิ่งร่ากลับมาพร้อมกับเรียงความพันตัวอักษร ยิ่งพอเห็นเสี่ยวเป่านั่งรอเขาอย่างเชื่อฟัง เขาก็รู้สึกอบอุ่นในใจ

“มา มา เสี่ยวเป่า ให้อาสอนเจ้าอ่านนะ”

เสี่ยวเป่า “ท่านอา เราไปอยู่ห่าง ๆ กันเถิด จะได้ไม่รบกวนท่านพ่อ”

หนานกงหลีรับคำอย่างรวดเร็ว “ได้ ๆ”

ดูใบหน้าที่เย็นชาของเสด็จพี่สิ เขาให้กำเนิดบุตรสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองมาอย่างเย็นชา คนที่เพิ่งนินทาในใจหดคออย่างขี้ขลาดทันที

จริงด้วยสินะ… มีเพียงพี่ชายที่หล่อเหลาและไม่ธรรมดาเท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดเด็กที่น่ารักเช่นเสี่ยวเป่าได้!

หนานกงสือเยวียนหันหน้ากลับไป ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หนานกงหลีพึมพำ “คนอะไร น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ”

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะมองเขาด้วยความสงสัย

เสด็จอา “อะแฮ่ม… พวกเราไปกันเถอะ”

ทั้งสองพบระยะห่างที่จะไม่รบกวนหนานกงสือเยวียน แต่ฝูไห่กงกงก็โยกย้ายโต๊ะตัวเล็กเข้าไปใกล้กับหนานกงสือเยวียนมากขึ้น

“องค์หญิง พระองค์เรียนตรงนี้ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูไห่กงกงมองจากด้านข้างด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเกรงว่าอ๋องเจ็ดจะสอนองค์หญิงน้อยได้ไม่ดี

แม้ว่าปกติแล้วอ๋องเจ็ดจะไม่น่าเชื่อถือ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ปัญหาคือ…เขาอ่านไม่ออก แม้แต่ข้อความหนึ่งพันตัวอักษรก็จดจำไม่ได้

หนานกงหลีจ้องไปที่ม้วนตำรา มองดูคำศัพท์พลางอ่านทีละคำ

“มาเถอะ เสี่ยวเป่า อ่านตามนะ เทียน ตี้ เสวียน หวง อวี่ โจ้ว หง ฮวง*[1]”

เด็กหญิงอ่านตามทีละคำ “เทียน ตี้ เสวียน หวง อวี่ โจ้ว หง ฮวง”

นางอ่านช้ามากแต่กลับพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงนุ่มละมุนของเด็กหญิงทำให้ผู้คนอยากฟังนางพูดเรื่อย ๆ

เสี่ยวเป่านั่งตัวตรงบนม้านั่งตัวเล็ก มือน้อย ๆ วางบนเข่าอย่างเชื่อฟัง

สีหน้าจริงจังมากขึ้นเมื่ออ่านตัวอักษร มีผู้ใดบ้างจะไม่ชอบเด็กที่ตั้งใจเรียนเช่นนี้

ฝูไห่กงกงพบว่าองค์หญิงเป็นเด็กน้อยที่พิเศษอย่างยิ่ง

หนานกงหลีเป็นคนที่ปวดหัวเวลาอ่านหนังสือ ซ้ำยังมีชื่อเสียงในอาณาจักรต้าเซี่ยว่า เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่ไม่เอาไหนมากที่สุดอีกด้วย

แต่เขามักไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร หนานกงหลียังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายต่อไป

ทว่าตอนนี้การสอนหลานสาวอ่านหนังสือกลายเป็นเรื่องยากมาก เพราะหนานกงหลีไม่ได้จริงจังกับการเรียนหนังสือนัก

“อะแฮ่ม… นั่นคือทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ เสี่ยวเป่า เจ้าลองอ่านดูเอาก็แล้วกันนะ”

หลังจากนี้มีตัวอักษรอะไรอีกบ้าง หนานกงหลีก็ไม่รู้อีกแล้ว แต่เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่สูงส่งในหัวใจของหลานสาวตัวน้อย เขาจึงตั้งใจจะสอนเสี่ยวเป่าต่อไป เอาไว้เขากลับไปถามจากบุตรชายก็ได้

เสี่ยวเป่าไม่สงสัยในสิ่งที่เสด็จอาพูด นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็อ่านต่ออย่างจริงจังตั้งแต่ต้น และถามเสด็จอาทันทีหากพบเจอตัวอักษรที่ไม่รู้จัก

เมื่อประตูตำหนักกำลังจะปิด หนานกงหลีก็อำลาเสี่ยวเป่าอย่างไม่เต็มใจก่อนจะเดินจากไป

เด็กน้อยกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขนยังคงพึมพำคำที่เพิ่งเรียนรู้แล้ววิ่งไปหาท่านพ่อด้วยขาสั้น ๆ

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอ่านหนังสือได้แล้ว”

เด็กน้อยแบ่งปันความสุขกับท่านพ่อด้วยความภาคภูมิใจ แม้ว่าเพิ่งจะเรียนรู้คำศัพท์ได้เพียงสิบคำเท่านั้น

หนานกงสือเยวียนวางพู่กันลง ส่วนฝูไห่กงกงก็ก้าวมาด้านหน้าเพื่อรินชาให้

“อยากดื่มชาหรือไม่?”

เสี่ยวเป่าที่เกาะอยู่กับท่านพ่อพยักหน้า แล้วบิดาก็ป้อนน้ำชาให้บุตรสาวดื่ม

“อร่อยมากเจ้าค่ะ~”

หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้วถาม “เจ้ารู้สึกว่าชานี้อร่อยอย่างนั้นหรือ”

ไม่ใช่ว่าเด็ก ๆ ชอบแต่ของหวานพวกนั้นเหรอ?

ใบหน้านุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าแนบชิดกับฝ่ามือของท่านพ่อก่อนจะค่อย ๆ ถูไถไปมา

“น้ำชาอร่อย แต่ท่านพ่อ…เสี่ยวเป่าหิวแล้ว” เด็กน้อยมองเขาอย่างน่าสงสารขณะยกมือขึ้นกุมท้อง

หนานกงสือเยวียนเงียบไป “กินให้น้อยลงในตอนกลางคืน เจ้าอยากกินอะไร”

“บัวลอยสุราดอกกุ้ย”

หนานกงสือเยวียนยกมือหยิกแก้มของเด็กน้อย “เจ้ายังไม่สามารถดื่มสุราได้”

เด็กหญิงผู้มีผิวสีขาวราวหิมะกระโดดขึ้นมานั่งอยู่บนตักท่านพ่อ “งั้นท่านพ่อดื่มคนเดียวก็ได้”

สุดท้าย นางไม่ได้รับประทานบัวลอยสุราดอกกุ้ย แต่ได้ทานโจ๊กข้าวแสนอร่อยแทน

เมื่อเห็นอาหาร เสี่ยวเป่าก็ลืมบัวลอยสุราดอกกุ้ยที่ตนเองอยากกินไปทันที นางถือชามอย่างมีความสุข

หนานกงสือเยวียนอดไม่ได้ที่จะบีบหูเด็กหญิงเล่น

“โง่งมนัก”

เด็กหญิงไม่งอแงแม้แต่น้อยที่ไม่ได้ทานสิ่งที่ตนเองอยากทาน

เสี่ยวเป่าท้วงว่า “เสี่ยวเป่าไม่ได้โง่ เสี่ยวเป่าเป็นคนฉลาด”

ครั้งนี้มีท่านพ่อคอยคุม เด็กหญิงจึงไม่ได้กินมากเกินไป

หนานกงสือเยวียนเอนหลังลงบนพนักเก้าอี้ มองดูเด็กเล็กกินโจ๊กในชามจนหมด

“เสี่ยวเป่า”

เมื่อได้ยินท่านพ่อเรียก เสี่ยวเป่าก็เงยหน้าขึ้นทันที

“ท่านพ่อมีอะไรให้เสี่ยวเป่าทำหรือเพคะ~”

หนานกงสือเยวียนถามว่า “เจ้าเรียกตัวเองว่าเสี่ยวเป่า แล้วเจ้าชื่ออะไรกันแน่?”

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะด้วยความสงสัย “เสี่ยวเป่าชื่อเสี่ยวเป่า”

“หนานกงเสี่ยวเป่า?”

หากเอ่ยชื่อนี้ออกมา นางย่อมถูกเยาะเย้ยโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

เด็กน้อยแกว่งขาสั้น ๆ ส่ายหัวแล้วพูดว่า

“ผิดแล้วท่านพ่อ ซูเสี่ยวเป่าต่างหาก”

ตอนนั้นเองที่หนานกงสือเยวียนจดจำได้ว่า หญิงผู้นั้นที่ตนเองเคยอยู่ด้วยมีนามว่าซูหว่านเหนียง จะเรียกว่าซูเสี่ยวเป่าก็คงไม่เป็นไร

แต่ภายหลังคงไม่ดีแน่

นิ้วเรียวของหนานกงสือเยวียนจิ้มแก้มนุ่มของนางเบา ๆ แล้วนิ้วของเขาก็จมลงไปยังลักยิ้มบนแก้มเด็กน้อยทันที

“จำไว้ แซ่ของเจ้าคือหนานกง และชื่อเล่นของเจ้าคือเสี่ยวเป่า แต่ชื่อนี้เอามารวมกับแซ่ไม่ได้” สีหน้าของเขาจริงจังมากราวกับกำลังพูดถึงชื่อบุคคลสำคัญ แต่นิ้วกลับสะกิดแก้มนางหลายครั้งด้วยความเอ็นดู

เสี่ยวเป่าเอนตัวพิงท่านพ่ออย่างแนบแน่น และพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“ท่านพ่อ ตกลงว่าเสี่ยวเป่าชื่ออะไรกันแน่”

หนานกงสือเยวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขียนคำสองคำลงบนฝ่ามือ

“จิ่นซี จากนี้ไปเจ้ามีนามว่า หนานกงจิ่นซี”

เสี่ยวเป่าขมวดคิ้วขณะที่มองดูท่านพ่อเขียนตัวอักษรบนฝ่ามือ

หลังจากนั้นหนานกงสือเยวียนก็หยิบกระดาษกับพู่กัน เขียนชื่อคนตัวเล็กลงไป

เสี่ยวเป่าคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ถือกระดาษที่มีชื่อเขียนอยู่ไม่ยอมปล่อย

“แล้วท่านพ่อล่ะ ท่านพ่อชื่ออะไร” เสี่ยวเป่าที่เพิ่งได้ชื่อใหม่มาเงยหน้าถามบิดาอย่างสงสัยและไร้เดียงสา

เปลือกตาของฝูไห่กงกงกระตุกทันที เมื่อได้ยินเด็กน้อยถามคำถามนี้

บรรพบุรุษตัวน้อยของกระหม่อม อย่าถามพระนามฝ่าบาทของกระหม่อมได้หรือไม่?

ทว่าหนานกงสือเยวียนกลับเขียนชื่อลงบนกระดาษอีกแผ่นจริง ๆ

“หนานกงสือเยวียน”

ฝูไห่กงกงมึนงงไปชั่วขณะ “…”

เอาล่ะ ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า ฝ่าบาทปฏิบัติต่อองค์หญิงน้อยแตกต่างออกไปจริง ๆ องค์หญิงน้อยถูกตามใจมากเกินไปแล้ว!

[1] เทียน ตี้ เสวียน หวง อวี่ โจ้ว หง ฮวง หรือก็คือ 天,地,玄,黄,宇,宙,洪,荒 เป็นตำราพันอักษร อักขระแต่ละตัวบอกเล่าเรื่องราวทางด้านดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จริยศึกษา ประโยคดั้งเดิมของความนี้คือ ‘แต่เดิม โลกนั้นไซร้ธุลีสีเหลืองดิน แลจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต’

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *