เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 200 คลายปมในใจ

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 200 คลายปมในใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 200 คลายปมในใจ

บทที่ 200 คลายปมในใจ

แม้ว่าในเวลานั้นเขาจะมีไข้สูงสะลึมสะลือ แต่คำพูดของเสด็จแม่ก็ราวกับมีดที่ปักทะลุร่าง ยังคงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหูราวกับคำสาป คอยทิ่มแทงทรมานเขาทุกคืนวัน

หนานกงฉีโม่ถูกพาตัวกลับไปด้วยอาการมึนงง ไข้ขึ้นสูงอยู่สามวัน ครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นคิดอยากตาย ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

ฝ่ายหนึ่งคือพี่ชายที่เขาเคารพรักมากที่สุด ส่วนอีกฝ่ายคือมารดาผู้ให้กำเนิดและจวนเซวียนผิงโหวที่คอยสนับสนุนเขา เขาเป็นเพียงเด็กอายุสิบสาม แต่กลับต้องเผชิญทางเลือกที่หนักหนายิ่ง

ถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็ยังเด็กนัก เมื่อต้องเจอกับความคาดหวังและต้องการเป็นที่พึ่งของมารดา หลังจากทรมานตัวเองเป็นเวลาเนิ่นนาน สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ

นับแต่นั้นมา ตัวเขาก็เปลี่ยนไป ไม่มีหน้าจะไปพบพี่ชายของตนอีก เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องและอดอาหารเพื่อหวังจะชดใช้ชีวิตให้พี่ชาย

ทว่ามีหรือที่อี๋เฟยจะยอม เขาเป็นโอรสเพียงคนเดียวที่รอดมาได้หลังจากที่นางต้องสูญเสียบุตรชายไปถึงสองคน เขาไม่ได้เป็นแค่บุตรชายของนาง แต่ยังเป็นเครื่องมือให้นางช่วงชิงตำแหน่งและอำนาจ

ด้วยเหตุนี้ อี๋เฟยจึงขู่ว่าหากเขาตายไป ต่อให้ตระกูลจะต้องสูญสิ้น นางก็จะลากหนานกงฉีซิวลงหลุมไปด้วยกัน

ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เนื่องด้วยหวาดกลัวเหลือเกินว่าเสด็จแม่จะทำเช่นนั้นจริง ๆ

หนานกงฉีโม่ต่อจากนี้กลายเป็นเครื่องมือให้นางชิงดีชิงเด่น เขาต้องแข่งกับองค์ชายใหญ่ไม่ว่าจะเรื่องอะไร และต้องทำให้ได้ดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้ว นางก็ไม่รังเกียจที่จะหาวิธีกำจัดเสี้ยนหนามนี้ให้พ้นทาง

หนานกงฉีโม่ไม่รู้ว่ามารดาของตนสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง สุดท้ายแล้ว จะสามารถกำจัดองค์ชายใหญ่ได้จริงอย่างที่นางพูดหรือไม่ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเดิมพัน

พี่ใหญ่เสียขาทั้งสองข้างไปแล้ว เขามิอาจเดิมพันด้วยชีวิตของพี่ชายได้อีก ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายที่ประนีประนอม ทำหน้าที่เป็นองค์ชายผู้อยู่ในโอวาท

แต่เมื่อหนานกงฉีโม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็ใช้ประโยชน์จากอำนาจที่ตนมีสืบเสาะหาหมอเทวดาที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ขณะเดียวกันก็ลดอำนาจในมือของเซวียนผิงโหวทีละน้อย

ความรู้สึกที่เขามีต่อเสด็จแม่คือ ความโกรธแค้นและความเกลียดชัง ทว่าสุดท้ายก็มิอาจทนดูนางตายไปต่อหน้าต่อตาได้ จึงเก็บซ่อนความลับดำมืดนั้นเอาไว้ และทนแบกรับด้วยใจที่หนักอึ้งตลอดมา

แต่วันนี้เขาเลือกที่จะเปิดเผยมัน เพราะจวนเซวียนผิงโหวกำลังจะพินาศ อีกทั้งพี่ชายของเขามีความหวังที่จะยืนได้อีกครั้ง และเพราะความผูกพันทางสายเลือดอันน้อยนิดที่มีต่อมารดาได้ขาดสะบั้นลง

หนานกงฉีโม่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาพี่ใหญ่ เขากลัวว่าจะต้องเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและผิดหวัง

“ข้าขอโทษพี่ใหญ่ ตอนนี้ขาของท่านหายแล้ว ข้าไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องห่วงอีกแล้ว” เขาพึมพำเสียงสั่น

จวนเซวียนผิงโหวสิ้นแล้ว เสด็จแม่ของเขาก็ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ พี่ใหญ่ได้อีก บัดนี้ได้พูดความลับที่เก็บซ่อนไว้มาเนิ่นนาน ในใจของหนานกงฉีโม่รู้สึกคลายกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ต่อให้…พี่ใหญ่จะเอาชีวิตของตน เขาก็จะมอบให้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

บรรยากาศนิ่งสงบจนน่าหวาดหวั่น หนานกงฉีโม่หลับตาลง ในใจทั้งสับสนและว่างเปล่า

“อาโม่”

มือข้างหนึ่งลูบลงบนศีรษะ เหมือนกับเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

“อาโม่ เจ้าไม่ได้ทำอันใดผิด”

หนานกงฉีโม่เงยหน้าขึ้น หยาดน้ำไหลรินจากหางตา ดูลนลานและน่าสงสารจับใจ

คล้ายกับลูกหมาตัวน้อยที่กลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง

เสียงของหนานกงฉีซิวราบเรียบและอ่อนโยน ราวกับไม่ได้รับผลกระทบอันใด

“เจ้าทำดีที่สุดแล้ว หากว่าเป็นข้า… ก็คงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเช่นกัน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าทำเพื่อปกป้องข้า”

ระหว่างพี่ชายและมารดา ทางเลือกเช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนทุกข์ทรมานใจด้วยกันทั้งนั้น

แม้ว่าเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ แต่ก็พยายามปกป้องพี่ชายอย่างสุดความสามารถ

“พี่ใหญ่…”

หนานกงฉีโม่ร่ำไห้ออกมาอีกครา เหมือนกับที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในอ้อมแขนของเขาเมื่อครั้งยังเยาว์ ราวกับปลดปล่อยความมืดมิด ความหนักอึ้ง และความอัดอั้นตันใจที่อดทนมาตลอดหลายปีออกมา

“พี่ใหญ่ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ…”

เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าหากเผยความลับนี้ พี่น้องจะต้องกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่พี่ใหญ่…พี่ใหญ่ไม่ได้ผิดหวังในตัวเขา หรือเกลียดชังเขา ซ้ำยังเข้ามาปลอบโยน

ทั้ง ๆ ที่…พี่ใหญ่ถูกทำร้ายก็เป็นเพราะเขา

หนานกงฉีซิวลูบหัวเขาเบา ๆ เพื่อปลอบโยน น้ำตารื้นทว่ามีรอยยิ้ม

“เจ้าเลือกเกิดไม่ได้และไม่เคยทำอันใดที่ผิดต่อข้าเลย มิหนำซ้ำ เจ้ายังต้องแบกรับเรื่องระหว่างข้ากับเสด็จแม่ของเจ้า อาโม่คงลำบากมากเลยสินะ”

“พี่ใหญ่ ข้าเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน…”

เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ชาย เขาก็อดที่จะระบายความคับข้องใจทั้งหมดออกมามิได้

“ไม่ต้องกลัว จากนี้ไปไม่มีอันใดให้เจ้าต้องกลัวอีกแล้ว”

ในที่สุด เขาก็ได้รู้สาเหตุที่น้องชายที่ตนเฝ้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มีนิสัยใจคอเปลี่ยนไป หลังจากที่เขาถูกลอบทำร้าย ทั้งยังรู้ด้วยว่าน้องชายของตนต้องทนโดนกดขี่ข่มเหงมากมายเพียงใด

ทว่าหนานกงฉีซิวยังรู้สึกเป็นกังวล “แล้วเสด็จแม่ของเจ้ากับจวนเซวียนผิงโหวเล่า”

ประกายหดหู่ปรากฏขึ้นในดวงตาของหนานกงฉีโม่ “ตลอดหลายปีมานี้ ข้ายอม ‘เป็นเด็กดี’ อย่างว่าง่ายเพื่อเป็นในแบบที่พวกเขาต้องการ จวนเซวียนผิงโหวและเสด็จแม่ไม่ได้ระแวดระวังหรือสงสัยในตัวข้า ข้าจึงลอบลดทอนอำนาจของพวกเขาไปไม่น้อย จวนเซวียนผิงโหวตกต่ำลงทุกที เสด็จแม่เองก็ไม่มีอำนาจเพียงนั้นอีกแล้ว…”

พูดไปเขาก็หัวเราะออกมา “เทียบกับสิ่งเลวร้ายที่นางทำลงไปแล้ว ข้ายอมให้นางถูกขังอยู่ในที่ไกลแสนไกล ต่อให้ต้องเลี้ยงดูนางไปตลอดชีวิตข้าก็ยินดี ส่วนจวนเซวียนผิงโหว…”

หนานกงฉีโม่ยิ้มเย็นเยียบ “ข้ามีหลักฐานที่พวกเขาก่อกรรมทำชั่วอยู่ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันลงมือ พวกเขากลับบังอาจทำร้ายน้องหญิง”

แรกเริ่มเดิมที เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะรวบรวมหลักฐานการกระทำผิดของจวนเซวียนผิงโหว จากนั้นก็จะถอนรากถอนโคนพวกเขาให้สิ้น ทำลายความหวังของเสด็จแม่ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าจวนเซวียนผิงโหวจะรนหาที่ตายโดยที่ตนไม่ยังไม่ทันได้ลงมือเสียด้วยซ้ำ

ช่างหน้าขันที่จวนเซวียนผิงโหวยังหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากหนานกงฉีโม่ เขาไม่ใช้โอกาสนี้ซ้ำเติมก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“เจ้าตั้งใจจะไปด้วยชุดนี้หรือ?”

หนานกงฉีโม่ก้มมองเสื้อผ้าอาภรณ์สีแดงสว่างโชติช่วงบนตัว เขาตั้งใจสวมชุดนี้ไปแสดงความเสียใจ ไม่ได้จะไปก่อเรื่องจริง ๆ นะ…

“พี่ให้เจ้ายืมชุดดีหรือไม่?”

เมื่อชายหนุ่มได้ปลดเปลื้องความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ แววตาโศกเศร้าส่วนลึกที่สุดก็พลันจางหายไปราวกับย้อนวันวานกลับไปในยามที่สองพี่น้องสนิทสนมกลมเกลียวกัน

“ตัวสูงเพียงนี้แล้วหรือ ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าร่ำเรียนหนังสือยังสูงไม่ถึงอกข้าเลย ตอนนี้เกือบจะสูงพอ ๆ กับข้าแล้ว”

หนานกงฉีโม่ลุกขึ้นโอบกอดพี่ชาย “พี่ใหญ่ จากนี้ไปข้าจะปกป้องท่าน”

หนานกงฉีซิวเอื้อมแขนไปกอดเขา แววตาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม บัดนี้ราวกับพวกเขาทั้งสองได้หวนคืนสู่ช่วงเวลาที่พวกเขายังศึกษาเล่าเรียนด้วยกัน ไร้ทุกข์โศกและความกังวลใด

เด็กหนุ่มตัวน้อยร้องไห้จนตาและจมูกแดงก่ำ กำลังกอดพี่ชายที่ถูกอาจารย์ลงโทษเพราะความดื้อรั้นของตัวเองเอาไว้ น้ำเสียงอู้อี้ทว่ามีความมุ่งมั่น

‘พี่ใหญ่ โตขึ้นข้าจะปกป้องท่านเอง!’

ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด แม้หนานกงฉีโม่เลือกที่จะเก็บงำความลับเพื่อเสด็จแม่ แต่เขาก็มีวิธีปกป้องพี่ใหญ่ในแบบของตน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด