เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 224 ผู้ใดคิดถึงข้า
บทที่ 224 ผู้ใดคิดถึงข้า
บทที่ 224 ผู้ใดคิดถึงข้า
บนโต๊ะเจรจา หลังจากผ่านการโต้เถียงอย่างดุเดือด ประกอบกับการโจมตีของอ๋องฝีปากกล้าอย่างหนานกงหลี ในที่สุดพวกชนเผ่าหมานตัวสูงใหญ่ร่างกำยำก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
สิ่งที่ต้องชดใช้ให้แก่ราชวงศ์ต้าเซี่ยนั้นมากเกินกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้ แต่นับว่ายังอยู่ในขอบเขตที่พวกเขารับไหว มิได้เลวร้ายถึงขั้นที่ต้องก่อสงคราม
คนของฝ่ายตรงข้ามโกรธเกรี้ยวหน้าบูดบึ้ง ลุกขึ้นยืนทีละคนด้วยสายตาดุร้าย ทั้งยังกำหมัดแน่นอย่างโมโห กล้ามเนื้อปูดเป็นมัดชวนให้หวาดหวั่น
“อาณาจักรต้าเซี่ยต่ำช้า ฉกฉวยโอกาสในวิกฤตของผู้อื่น!”
หากไม่ใช่เพราะสงครามกลางเมืองในราชสำนักของพวกเขา มีหรือจะต้องแบกรับความอัปยศอดสูเฉกเช่นในวันนี้!
หนานกงหลีมองพวกเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้พวกเจ้าก็รู้จักคำว่าต่ำช้าด้วยหรือ? ข้านึกว่าพวกเจ้าทำเป็นแต่รบราฆ่าฟัน ทำร้ายคนไม่มีทางสู้ คนชรา ผู้หญิง แล้วก็เด็ก กระทั่งทารกก็ไม่เว้น พวกเจ้ายังมีหน้ามาว่าพวกข้าว่าต่ำช้าอีกหรือ”
บัดนี้รัศมีบนตัวหนานกงหลีได้เปลี่ยนไปแล้ว จากท่าทางสบาย ๆ ได้แปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่าอย่างที่ท่านอ๋องควรจะมี
“ค่าเสียหายพวกนี้คิดคำนวณจากข้อกำหนดที่ต่ำที่สุด วิญญาณผู้คนที่ล้มตายภายใต้คมดาบของพวกเจ้าใช่ว่าจะใช้เงินทองแลกคืนกลับมาได้”
องค์ชายฝ่ายตรงข้ามโต้กลับอย่างมีโทสะ “ทหารของพวกข้าก็ตายไปไม่น้อยเช่นกัน!”
“มันก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ผู้ใดหาเรื่องก่อน ผู้นั้นต้องชดใช้”
เขาตอกหน้ากลับไปอย่างวางอำนาจ ท่าทีของเซียวเหยาอ๋องดึงดูดความสนใจจากพวกขุนนางที่เคยดูถูกดูแคลนให้ต้องมองเขาใหม่
ผู้ใดว่าเซียวเหยาอ๋องไม่ได้เรื่อง ก็เห็นอยู่ว่าเก่งกาจไม่เบา
เมื่อการเจรจาสิ้นสุด พวกเผ่าหมานก็ออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจนัก
“เซียวเหยาอ๋อง ท่านสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่เชียวนะ”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเซียวเหยาอ๋องจะชำนาญการเจรจาทางการทูตเพียงนี้ มิเคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านอ๋องมีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย”
“ท่านอ๋องร้ายกาจจริง ๆ ที่สามารถทำให้พวกเผ่าหมานโกรธจนตัวสั่นเช่นนี้ได้”
บัดนี้ขุนนางการทูตของต้าเซี่ยต่างก็กรูกันเข้ามาประจบสอพลอ การกระทำของเซียวเหยาอ๋องในวันนี้ทำให้พวกเขาต้องมองหนานกงหลีใหม่จริง ๆ
หนานกงหลียกมุมปาก กลับไปเป็นเซียวเหยาอ๋องผู้เกียจคร้านดังเดิม เขาโบกพัดในมือเบา ๆ
“รับมือกับคนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติหรอก ไม่เช่นนั้นเจ้าพวกนี้ก็จะจองหอง ทำทีเป็นได้ใจ”
“ใช่แล้ว ๆ หากรู้แต่แรกว่าเซียวเหยาอ๋องมีความสามารถเช่นนี้ คงให้ท่านเข้าร่วมหงหลูซื่อ*[1]เสียตั้งนานแล้ว”
สีหน้าของหนานกงหลีแข็งทื่อ เขายิ้มตอบแห้ง ๆ “ลืมไปเสียเถิด ข้าเป็นเซียวเหยาอ๋องในแบบของข้าน่ะดีแล้ว”
เขามีเงินทองให้ใช้ไม่ขาดมือโดยไม่ต้องทำสิ่งใด หากเสด็จพี่ละเว้นเขาจากประชุมขุนนางได้อีกอย่าง ชีวิตนี้ก็คงไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
ท่านอ๋องจอมขี้เกียจกลัวว่า พวกเขาจะพูดเรื่องสยองให้ตัวเองต้องรั้งอยู่ต่อ จึงรีบหุบพัดและหนีกลับจวนอ๋องไปในทันที
หลังจากนั้น เมื่อหนานกงหลีได้รับแจ้งว่าหลานสาวตัวน้อยออกจากวัง มิหนำซ้ำยังไปที่บ้านของพี่สี่ เขาก็รีบตรงไปยังจวนเจิ้นหนานอ๋องเพื่อไปหาหลานสาวสุดที่รักในทันที
…
ณ พระราชวัง…
ขุนนางที่ไปร่วมเจรจาทางการทูตกลุ่มหนึ่งกำลังเล่าเหตุการณ์บนโต๊ะเจรจาอย่างสงบเสงี่ยม นอบน้อม โดยเน้นไปที่ผลงานของเซียวเหยาอ๋องเสียเป็นส่วนใหญ่
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่การเจรจาในวันนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขา อีกทั้งเมื่อได้เห็นว่าเผ่าหมานต้องชดใช้เป็นจำนวนที่เยอะเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ พวกเขาจึงตระหนักในทันทีว่าหงหลูซื่อต้องการคนที่มีความสามารถเหมือนกับเซียวเหยาอ๋อง หากว่าเกิดสงครามจำเป็นจะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากศัตรู และได้คนฝีปากกล้าอย่างเซียวเหยาอ๋องมาร่วมเจรจาด้วย พวกเขาก็จะฉกฉวยผลประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรเสียก็คงไม่มีผู้ใดตำหนิที่อาณาจักรของตนคิดจะฉกฉวยผลประโยชน์กระมัง
“หืม? คิดไม่ถึงว่าเจ้าเจ็ดจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย”
เรื่องนี้ดึงความสนใจจากหนานกงสือเยวียนได้ เขาคิดอยู่เสมอว่าชีวิตของเจ้าเจ็ดสะดวกสบายเกินไป จนคนบ้างานเช่นเขาทนมองต่อไปไม่ได้
เมื่อก่อนเขามีเพียงความคิดว่าเจ้าน้องคนนี้ทำสิ่งใดไม่เป็น นอกเสียจากเที่ยวเล่นรอวันตายไปวัน ๆ เท่านั้น การที่ตนให้อีกฝ่ายมีส่วนร่วมในการประชุมขุนนาง ก็นับเป็นการให้เกียรติเขาในฐานะท่านอ๋องอย่างถึงที่สุดแล้ว
ทว่าวันนี้น้องชายตัวดีกลับสร้างความประหลาดใจให้เขาเสียได้
ดีมาก เช่นนั้นจากนี้ไปก็ให้เจ้าเจ็ดไปอยู่หงหลูซื่อ ให้เขาได้เฉิดฉายเพื่อราชวงศ์ต้าเซี่ยก็แล้วกัน
“ฮัดชิ่ว ฮัดชิ่ว…”
หนานกงหลียืนอยู่หน้าจวนเจิ้นหนานอ๋องพลางจามไม่หยุด
“ผู้ใดคิดถึงข้ากัน”
แต่ทำไมถึงรู้สึกขนหัวลุกเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องดีเสียอย่างนั้น
เขาเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับกระชับเสื้อผ้าให้แน่นขึ้น ไม่มีผู้ใดคิดขวางทางขณะที่เขาเดินกรีดกรายเข้าจวนเจิ้นหนานอ๋องไป อย่างไรเสียองค์ชายที่เหลือรอดของราชวงศ์ก่อนก็มีเพียงพวกเขาสามพี่น้อง
มิหนำซ้ำยังเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันเป็นอย่างดี
หนานกงหลีไม่รู้ว่าพี่สี่กับเสี่ยวเป่าอยู่ไหน จึงเรียกบ่าวรับใช้มาสอบถาม
“ท่านอ๋องของพวกเจ้ากับองค์หญิงน้อยอยู่ที่ใด”
“ทูลเซียวเหยาอ๋อง พวกเขาอยู่ที่คอกม้าเพคะ”
“นำทางไปที”
“เพคะ”
ทางด้านคอกม้าของจวนเจิ้นหนานอ๋อง หนานกงจ้านอยู่ในชุดที่สวมใส่เป็นประจำ ร่างกายสูงใหญ่เหมือนเก่า เสื้อผ้าอาภรณ์มิอาจบดบังกล้ามเนื้อเป็นมัดบนกาย รอยแผลเป็นดุดันบนใบหน้าก็ชัดเจนยิ่งกว่าปกติ
เขายังดูดุร้ายน่ากลัว ราวกับหมาป่าเดียวดายในทุ่งกว้าง
“ท่านอาสี่ รีบมาทางนี้เร็ว~”
เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดังขึ้น มุมปากของหนานกงจ้านยกขึ้น แม้จะยังดูดุดัน แต่นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นกลับฉายประกายอบอุ่นโดยที่ตนไม่รู้ตัว
ข้างกายหมาป่าเดียวดายมีเจ้าลูกแมวตัวนุ่มนิ่มทั้งยังขี้อ้อนอีกหนึ่งตัว เจ้าลูกแมวตัวนี้นอกจากจะไม่กลัวเขาแล้ว ยังส่งเสียงเหมียว ๆ น่ารักเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ ๆ
“ท่านอาสี่ เจ้าเฉาเฟิงของท่านชอบกินหญ้าชนิดนี้ เสี่ยวเป่าปลูกไว้เยอะมาก แล้วก็มีหญ้าแห้งอยู่ที่พี่รองอีกเยอะเลยด้วย เสี่ยวเป่าขอให้พี่รองเอามาให้เจ้าเฉาเฟิงแล้ว”
เสี่ยวเป่ายืนอยู่ที่หน้าคอกม้า มีหญ้างอกงามกองโตที่ถูกผึ่งจนแห้งกองอยู่ปลายเท้า นางกำลังป้อนหญ้าให้ม้าด้วยมือคู่น้อย ๆ
เฉาเฟิงเป็นอาชาศึกนิลกาฬ รูปร่างสูงใหญ่ทั้งยังแข็งแรงมาก ผิวสีดำเป็นมันวาวราวกับส่องแสง กล้ามเนื้อเป็นมัดทั่วทั้งลำตัวเผยริ้วเรียบเนียนดูงดงามยิ่งนัก
ถือเป็นโชคดีที่เขาได้เจ้าเฉาเฟิงกลับมาด้วย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถเดินทางไกลได้เป็นเวลาหลายวัน เพียงแค่เหนื่อยล้าไปบ้างเท่านั้น
เฉาเฟิงเป็นอาชาศึกของท่านอาสี่ เสี่ยวเป่าก็เพิ่งได้รู้จักมันจากปากของบ่าวรับใช้โดยบังเอิญเมื่อตอนที่มาถึง จากนั้นนางก็ป้อนหญ้างอกงามกองใหญ่ให้เจ้าเฉาเฟิงด้วยความคิดที่ว่ามันคงจะเหนื่อยน่าดู
เฉาเฟิงกินหญ้าด้วยท่าทางมีความสุข ถึงแม้จะเป็นหญ้าแห้ง แต่มันก็กินอย่างเอร็ดอร่อย และคอยใช้ปากดุนมือเสี่ยวเป่าเป็นครั้งคราว
หนานกงจ้านเดินเข้ามาลูบหัวของมัน “ลำบากเจ้าแล้ว”
เขาเองก็รู้สึกขอบคุณม้าที่เป็นเหมือนพี่น้องของตน เขาสั่งให้คนนำหญ้าที่ดีที่สุดมาให้มันกินทันทีที่กลับถึงจวน
แต่เหมือนว่าในตอนนี้ มันดูจะชื่นชอบหญ้าที่เสี่ยวเป่านำมาให้มากกว่าหญ้าของเขาเสียอีก
เขาย่อตัวลงพลางเพ่งดูอย่างละเอียด “ข้าไม่เคยเห็นหญ้าชนิดนี้มาก่อน”
เสี่ยวเป่ารีบอธิบายข้อดีของหญ้างอกงามทั้งหมด
“โปรยเมล็ดหนึ่งครั้ง เก็บเกี่ยวได้ถึงสามครั้ง เสี่ยวเป่าสะสมเมล็ดพันธุ์ไว้เยอะแยะเลย เอาให้พี่รองไปบ้างแล้ว ท่านอาสี่อยากได้หรือไม่เพคะ?”
ดวงตาหนานกงจ้านทอประกายขณะที่ฟังเสี่ยวเป่าร่ายสรรพคุณของหญ้างอกงาม
เขาพยักหน้า “อยากได้!”
ในฐานะแม่ทัพ หนานกงจ้านไม่เคยแน่ใจเรื่องใดมากเท่านี้มาก่อน ว่าหญ้าพวกนี้จะมีประโยชน์ต่ออาชาศึกในกองทัพของเขาเพียงใด
[1] หงหลูซื่อ (鸿胪寺) คือ หน่วยงานราชการในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ดูแลเรื่องระเบียบธรรมเนียมการประชุมการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง
Comments