เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 232 พยัคฆ์คู่

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 232 พยัคฆ์คู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 232 พยัคฆ์คู่

บทที่ 232 พยัคฆ์คู่

ภายในโถงรับรองของพวกหนานจ้าว เมื่อกลับไปถึงพวกเขาก็จัดการลงกลอนประตูและหน้าต่างทุกบาน

มหาปุโรหิตใช้ไม้เท้าฟาดเข้าที่ไหล่ของหญิงสาวรูปร่างผอมบาง

“อึก…”

หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด ทว่ามิกล้าร้องเสียงดัง

“นังโง่!”

หญิงสาวก้มหัวต่ำมิกล้าโต้แย้งขัดขืนใด ๆ

คนอื่น ๆ ก็ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจต่อนางผู้นั้น

“ทีนี้จะทำเช่นไร หากพวกต้าเซี่ยสงสัยขึ้นมา หนานจ้าวจะต้องถูกสงสัยเป็นพวกแรกแน่”

แววตาของมหาปุโรหิตเย็นเยียบ “สงสัยแล้วอย่างไร ไม่มีหลักฐานพวกมันก็ทำอันใดเรามิได้”

พวกเขาปล่อยแมงมุมตัวนั้นออกไปเพียงเพื่อจะสืบข่าวคราว และไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กตัวเล็ก ๆ พบเข้า

มหาปุโรหิตหรี่ตา นัยน์ตาขุ่นมัวคู่นั้นเต็มไปด้วยแผนการชั่วร้าย

“หากเทียบกันแล้ว ข้ากลับสนใจจิ้งจอกตัวนั้นมากกว่า”

แมงมุมนั่นไม่ใช่แมงมุมธรรมดา แต่เป็นกู่หุ่นเชิดที่พวกเขาทำขึ้น มีพิษร้ายแรงอย่างยิ่งเช่นเดียวกับสีสันที่ปรากฏอยู่บนตัวของมัน มันจะเข้าจู่โจมหากเผชิญกับอันตราย ผู้ที่ถูกพิษของมันจะเลือดไหลจนตายภายในเจ็ดลมหายใจ

แต่ว่าจิ้งจอกตัวนั้น…

มันกัดกู่หุ่นเชิดของพวกเขาจนตายโดยที่ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด

ไม่มีทางที่กู่หุ่นเชิดตัวนั้นจะไม่กัดเจ้าจิ้งจอก

“รูปลักษณ์ของจิ้งจอกตัวนั้นดูแปลกตายิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นขนสีแดงเพลิงเช่นนั้นมาก่อน มิหนำซ้ำมันยังต้านทานพิษกู่ได้อีกด้วย”

องค์ชายสามแห่งอาณาจักรหนานจ้าวเริ่มเกิดความสนใจ “หากจับมันมาศึกษาได้คงจะดีไม่ใช่น้อย”

มหาปุโรหิตหรี่นัยน์ตา “ทำได้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้จิ้งจอกตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงขององค์หญิงต้าเซี่ย เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ หาสิ่งอื่นไปแลกกับนางเสียก็สิ้นเรื่อง”

พูดจบ เขาก็หันไปมองคนอื่น ๆ เป็นการเตือน “บัดนี้พวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว*[1] พักนี้ก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้ หากก่อเรื่องดึงดูดสายตาผู้คนอีกอย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้า”

“ขอรับ”

อีกด้านหนึ่ง เมื่อหนานกงหลีและหนานกงจ้านกลับมาถึงวังหลวงก็รีบรายงานหนานกงสือเยวียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง

เมื่อได้เห็น ‘ของกลาง’ บนโต๊ะทรงพระอักษรที่เจ้าจิ้งจอกนำมาให้ นัยน์ตาลุ่มลึกของหนานกงสือเยวียนก็พลันทอประกายอำมหิต

“หนานจ้าว ช่างไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเสียจริง”

น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความอันตราย

“เกรงว่าที่พวกเขามาในครั้งนี้คงอยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าข้าตายไปหรือยัง”

หนานกงสือเยวียนพูดเสียงแผ่วเบา

หนานกงหลีขมวดคิ้ว “แค่ข้าเห็นหน้าพวกมันก็รู้แล้วว่าต้องก่อเรื่องเป็นแน่ งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพครั้งนี้เราต้องระวังตัวให้ดี”

หนานกงจ้าน “ข้าได้ส่งจดหมายสั่งให้เรียกระดมกองทัพที่ชายแดนทางตอนใต้แล้ว หากทูตจากหนานจ้าวกล้าเคลื่อนไหวใด ๆ ทางนั้นก็พร้อมเดินทัพทันที”

หนานกงฉีโม่ “เสด็จพ่อ ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนส่ายศีรษะ “พวกมันเชี่ยวชาญการควบคุมกู่ หากส่งคนไปจะถูกสังเกตได้ง่าย”

นัยน์ตาเรียวยาวของเขาให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก “ข้าอยากเห็นว่าพวกมันวางแผนคิดจะทำอันใด!”

ตัวเขา หนานกงสือเยวียนไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด

ท่ามกลางแผนการลอบทำร้ายภายใต้ฉากหน้าที่ดูราวกับเงียบสงบระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ในที่สุดวันฉลองห่างพันฤดูสารทก็มาถึง

เรื่องที่คู่ควรให้กล่าวถึงคือ หิมะแรกของปีนี้โปรยปรายลงมาในคืนก่อนวันงานฉลองเช่นกัน

วันฉลองห่างพันฤดูสารทในวันรุ่งขึ้น ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนปกคลุมไปด้วยผืนหิมะขาวผ่องงดงาม คล้ายกับหมู่เมฆขาวบนสรวงสรรค์

เสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว เสี่ยวเป่าลุกจากเตียงด้วยใจที่ไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนัก นางกำนัลรีบนำเสื้อกันลมหนาวมาสวมให้นางอย่างฉับไว

เป็นชุดสีกลีบบัวเหมือนทุกครั้ง บริเวณคอปกเย็บติดด้วยขนสีขาวนุ่มฟู เพียงแต่เป็นรูปแบบที่ทำขึ้นใหม่ ชายกระโปรงปักลวดลายดอกท้อบานสะพรั่งและนกสี่เชวี่ย

ชั้นนอกสุดคลุมทับด้วยชุดคลุมสีแดงและมีหมวกหูปุกปุยคู่หนึ่งอยู่ด้านบน

ฉลองพระองค์สีแดงขับให้ใบหน้าอ้วนกลมแลดูประณีตขาวผ่องดุจหิมะยิ่งกว่าเก่า อีกทั้งดูเล็กลงไปถนัดตา ใบหน้ารูปไข่อ่อนนุ่มราวกับเต้าหู้ขาวเรียบเนียน

นัยน์ตาคู่งามดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายระยิบระยับราวกับดาราบนฟากฟ้า รอยยิ้มโค้งงามเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ยังไม่รวมริมฝีปากชมพูเรียวบางราวกับกลีบบุปผาแรกแย้ม ผู้คนต่างก็ต้องอ่อนระทวยเมื่อริมฝีปากเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กแหลมสีขาวสะอาดสองซี่

หากได้มองแวบแรกล้วนต้องคิดว่าเป็นลูกแมวน้อยขนปุยซุกซนเป็นแน่

“งี้ด ๆ”

เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ลูกจิ้งจอกน้อยตัวจริงก็กระโดดเข้าใส่เสี่ยวเป่า และขดตัวอยู่บนฝ่ามือของนางพลางกระดิกหางนุ่มฟูซ้ายทีขวาที มันใช้อุ้งมือน้อย ๆ จับมือเจ้านายวางลงบนท้องนุ่มนิ่มของมันเพื่อให้ความอบอุ่น

“งี้ด ๆ”

เจ้าตัวน้อยออดอ้อนเอาใจโดยการเอาหัวเล็ก ๆ ถูไถเสี่ยวเป่าไปมา

“หงหง เด็กดี ”

เสี่ยวเป่าพูดชมเสียงหวานและก้มลงจูบที่หัวของเจ้าจิ้งจอกน้อย

การรวมตัวของสิ่งมีชีวิตแสนน่ารักสองตัวช่างทำให้คนรู้สึกใจอ่อน หากไม่ใช่เพราะกลัวจะฝ่าฝืนกฎระเบียบ เหล่านางกำนัลที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้กับเสี่ยวเป่าคงจะอดใจไม่ไหว คว้าองค์หญิงน้อยเข้ามากอดพลางบีบแก้มนุ่มนิ่มอย่างมันเขี้ยว

เสี่ยวเป่าในชุดเต็มยศอุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อยพร้อมกับเดินออกไป

“ท่านพ่อ วันนี้เสี่ยวเป่าน่ารักหรือไม่”

เสี่ยวเป่าวิ่งปรี่เข้าไปตรงหน้าท่านพ่อพร้อมกับหมุนตัวหนึ่งรอบอย่างหลงตัวเอง

หนานกงสือเยวียนทอดมองใบหน้าละเอียดอ่อนของเจ้าตัวน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเมื่อเห็นสายตาคาดหวัง

แม้ว่าสีหน้าไร้อารมณ์ดูยากจะเชื่อถือ แต่เสี่ยวเป่าก็ยังดีใจอยู่ดี

“ท่านพ่อ พวกเราจะไปกันเมื่อใดหรือ”

“ท่านพ่ออยากได้จิ้งจอกน้อยหรือไม่ มันอุ่นกว่าผิงไฟมากเลยนะ”

“รอก่อน ไม่อยาก”

เขาตอบทั้งสองคำถามของเจ้าตัวน้อยด้วยน้ำเสียงที่กระชับและทรงพลัง

งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่าวันฉลองห่างพันฤดูสารท ทั่วทั้งอาณาจักรและราษฎรต่างร่วมยินดีและเฉลิมฉลอง

เมื่องานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น ทูตจากต่างแดนก็ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงท่ามกลางเสียงเรียกขาน พร้อมกับของกำนัลถวายพระพรที่พวกเขานำมาด้วย

“อาณาจักรเยว่ฉี่ ไข่มุกราตรีจากสมุทรหมิงไห่หนึ่งเม็ด ปะการังโลหิตซานหูหนึ่งคู่ เครื่องแก้วหนึ่งชุด”

“อาณาจักรเป่ยเยว่ หยกหรูอี้เจ็ดสี หีบไข่มุกโลหิตจากทะเลหนานไห่ ผ้าไหมลายครามร้อยพับ…”

“ซยงหนู อินทรีทุ่งหญ้าหนึ่งตัว อาชาศึกหนึ่งคู่ หยกน้ำงามหนึ่งชิ้น…”

“อาณาจักรหนานจ้าว…”

ขันทีผู้ทำหน้าที่ขานชื่อนึกว่าตนเองตาฝาดเมื่อเห็นข้อความบนรายการของกำนัล เขาชำเลืองมองฝูไห่กงกงที่ยืนเคียงข้างฮ่องเต้แวบหนึ่งก่อนก็เริ่มอ่านต่อไป

“โสมพันปี สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว เสือดำและเสือขาว”

เมื่อสิ้นเสียงของเขา กรงเหล็กขนาดใหญ่สองกรงก็ถูกเข็นเข้ามา ด้านนอกถูกคลุมด้วยผ้าสีดำจนมองสิ่งที่อยู่ภายในได้ไม่ชัดเจน จากนั้นคนอื่น ๆ ก็เริ่มได้ยินเสียงลมหายใจหนักอึ้งที่ดังมาจากด้านในกรง

มหาปุโรหิตแห่งหนานจ้าวจ้องมองใบหน้าของหนานกงสือเยวียนอย่างสงบเยือกเย็น สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ทว่าในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง

เกรงว่าจะมียอดฝีมือคอยให้ความช่วยเหลือฮ่องเต้ต้าเซี่ย สะกดพิษกู่ที่กัดกินหัวใจและอารมณ์โกรธเอาไว้

องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวก้าวออกมา “ทูลฮ่องเต้ต้าเซี่ย เสือสองตัวนี้เป็นเสือที่พวกเราจับมาได้จากป่าลึกบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในหนานจ้าว ตัวหนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีขาว เป็นพี่น้องที่เกิดจากท้องเดียวกัน ตั้งแต่พรากจากอกของแม่เสือ พวกมันก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด นับว่ามีจิตวิญญาณร่วมกันทีเดียว เชื่อว่ามีเพียงคู่เดียวในใต้หล้านี้”

พูดจบเขาก็โบกมือ บ่าวรับใช้ดึงผ้าสีดำบนกรงออก ทันใดนั้นเสือขนาดมหึมาสองตัวก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน

“โฮก!”

เสือสองตัวส่งเสียงคำรามทรงพลัง ทั้งยังใช้ร่างกายพุ่งเข้าใส่กรงเหล็กอย่างรุนแรง จ้องมองมาด้วยสายตาดุร้าย

สตรีหลายนางที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวแสยะยิ้มอย่างมุ่งร้าย

“พวกเรายังฝึกพยัคฆ์คู่นี้ให้เชื่องมิได้ ได้ยินมาว่าต้าเซี่ยมียอดฝีมืออยู่มากมาย มิรู้ว่าจะมีวีรบุรุษที่สามารถปราบพยศเสือศักดิ์สิทธิ์คู่นี้ได้บ้างหรือไม่!”

[1] แหวกหญ้าให้งูตื่น หมายถึง การทำเหตุการณ์ใด ๆ โจ่งแจ้งเกินไป เลยทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวจนต้องหนีหรือแก้ปัญหาให้ได้ก่อน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด