เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 253 เหตุใดเสือจะชอบเสี่ยวเป่าไม่ได้!
บทที่ 253 เหตุใดเสือจะชอบเสี่ยวเป่าไม่ได้!
บทที่ 253 เหตุใดเสือจะชอบเสี่ยวเป่าไม่ได้!
บัดนี้เมื่อเสือดุร้ายน่ากลัวทั้งสองตัวจากไปแล้ว ทุกคนก็หายใจทั่วท้องได้เสียที
เมื่อกลับมาถึงที่ตั้งค่าย เสี่ยวเป่าก็ถูกรายล้อมไปด้วยท่านพ่อและท่านอารวมถึงเหล่าพี่ชาย แม้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่ว่าสายตาทุกคู่กลับสื่อความหมายชัดเจน
‘อธิบายมาเดี๋ยวนี้’
เสี่ยวเป่านั่งลงอย่างว่าง่าย ขาเล็ก ๆ คุกเข่า มือคู่น้อยวางบนหัวเข่า แลดูอ่อนหวานระคนสุภาพเรียบร้อย
“พวกมันชอบเสี่ยวเป่าเพคะ”
จะให้อธิบายอย่างไร นางเป็นภูตพฤกษาตัวน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นเองในชาติก่อน มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลมหายใจแห่งธรรมชาติ พืชพันธุ์บุปผาเป็นเพื่อนของนาง สัตว์น้อยใหญ่ล้วนชื่นชอบกลิ่นอายบนตัวนาง ทั้งยังไม่ทำอันตรายใด ๆ แม้ว่าตอนนี้นางจะกลายเป็นมนุษย์แล้ว แต่เพราะนางกลับชาติมาเกิดในครรภ์ของท่านแม่คนสวย จิตวิญญาณของนางจึงเกิดการปรับเปลี่ยนขณะที่ยังอยู่ในครรภ์ เพื่อให้ร่างกายและจิตวิญญาณผสานกลมกลืนได้อย่างลงตัว
ด้วยเหตุนี้แม้ว่านางจะเป็นมนุษย์แล้ว แต่กลิ่นอายของภูตพฤกษายังคงอยู่ มีแรงดึงดูดที่สื่อถึงความเป็นมิตร นางจึงมักเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่มีจิตใจขาวสะอาดบริสุทธิ์
โลกทัศน์ของสัตว์ป่านั้นสะอาดและบริสุทธิ์มากที่สุด เมื่อเจอเข้ากับแรงดึงดูดของเสี่ยวเป่าและกลิ่นอายภูตพฤกษาที่แผ่ซ่านออกมา แน่นอนว่าพวกมันต้องชื่นชอบนางอย่างมิต้องสงสัย
ทว่า…คำอธิบายเช่นนี้ดูจะซับซ้อนเกินไป ทั้งยังเป็นการเปิดเผยตัวตน เสี่ยวเป่าจึงรู้สึกอับจนหนทางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ด้วยเหตุนี้นางจึงได้แต่ทำหน้าตาน่าสงสารไปให้สมาชิกในครอบครัว
“เสี่ยวไป๋ชอบข้า ถวนจื่อชอบข้า พวกเฟิงเฟิงชอบข้า หงหงชอบข้า พวกลูกหมาป่าของท่านพี่ก็ชอบข้า แล้วเหตุใดเสือจะชอบเสี่ยวเป่าบ้างไม่ได้!”
เจ้าตัวน้อยพูดจาไร้เหตุผลได้อย่างเต็มปาก แต่มันก็เป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ
พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทว่าตอนนี้พอมาคิด ๆ ดูแล้ว สัตว์ทุกตัวที่พวกเขารู้จักดูเหมือนจะสนิทสนมและชอบอยู่ใกล้เสี่ยวเป่าจริง ๆ
หนานกงจ้านนึกถึงเฉาเฟิงของตัวเอง “เฉาเฟิงมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เคยยอมให้ผู้อื่นสัมผัสตัวมันนอกจากข้า แต่มันกลับเป็นฝ่ายเข้าหาเสี่ยวเป่า แล้วก็…”
แล้วก็สนิทสนมกันมากด้วย ราวกับเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาช้านาน
หนานกงสือเยวียนก็พลันนึกถึงม้าของตนเองขึ้นมาด้วย แน่นอนว่าม้าที่ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่เขามานานหลายปีย่อมเป็นม้าชั้นเลิศ แม้จะได้รับม้าพันธุ์ดีมาไม่น้อยภายหลังที่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ และแม้ว่ามันจะแก่ชราลงไปบ้าง แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าม้าตัวอื่นเป็นไหน ๆ
ม้าชนิดนี้มีความเย่อหยิ่งในตัวเอง นอกจากเขาแล้ว มันก็ไม่เคยยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้เช่นเดียวกัน มิหนำซ้ำยังอารมณ์ร้าย ใครแตะเข้าหน่อยเป็นต้องโดนถีบ แต่เมื่อเป็นเสี่ยวเป่าก็คล้ายกับจะไม่หงุดหงิด ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดยิ่ง
แม้จะเป็นเรื่องแปลก แต่พวกเขาแค่คิดว่าเสี่ยวเป่าเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาสัตว์เท่านั้น ถึงอย่างไรตอนอยู่ในวังหลวง พวกสัตว์ที่เข้าหาเสี่ยวเป่า หากไม่ใช่สัตว์กินพืชก็เป็นพวกลูกหมาป่าที่ยังไม่โตเต็มวัย ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนกัน เพราะว่าพวกมันคือเสือกินเนื้อทรงพลังถึงสองตัว!
ผู้ใดจะไปคาดคิดว่า เจ้าก้อนแป้งตัวเล็กนิดเดียวจะเก่งกาจถึงขนาดสามารถสยบเสือให้เชื่องได้
อ้อ นั่นไม่ใช่การสยบ เจ้าเสือสองตัวต่างหากที่เป็นฝ่ายมาหานางถึงที่ ทั้งยังเข้าหาอย่างกระตือรือร้น เสี่ยวเป่ายังไม่ทันได้ฝึกก็เชื่องเสียแล้ว
พวกเขาเองก็ยอมรับว่ามีเรื่องแปลกประหลาดมากมายในตัวเสี่ยวเป่า ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียง…เท่านี้?
หนานกงฉีเฉินที่ถูกเสือสองตัวจู่โจมเข้าอย่างจัง “…”
ไม่ ๆ เรื่องนี้ก่อให้เกิดเงาในจิตใจของเขาอยู่ไม่น้อยเลย!
“น้องหญิงเก่งมากเลย!”
องค์ชายห้ามองเสี่ยวเป่าตาเป็นประกาย เขาและพี่น้องคนอื่น ๆ มิได้ถูกเสือสองตัวโจมตีแต่อย่างใด แม้จะรู้สึกเป็นห่วงเสี่ยวเป่าและพวกน้องชายอยู่บ้าง แต่ก็ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ มาตอนนี้พวกเขาจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวเท่าใดนัก
ยามนี้พอได้รู้ว่าน้องสาวตัวน้อยผู้แสนอ่อนโยน ทั้งยังอ่อนปวกเปียกของตนเป็นผู้ปราบพยศเสือสองตัวนั้นลงได้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นกว่าเป็นไหน ๆ
ลูกผู้ชายที่แท้จริงควรชอบสัตว์ร้ายเช่นนี้ถูกแล้ว!
“พวกมันไปแล้วหรือ แล้วจะกลับมาอีกหรือไม่?”
หนานกงฉีอิงรีบซักไซ้ด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ
คนอื่น ๆ ก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน จึงหันไปมองเสี่ยวเป่าเป็นตาเดียว
เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วเข้าหากันพลางตอบอย่างไม่แน่ใจ “ก็น่าจะกลับมากระมัง?”
สีหน้าของหนานกงสือเยวียนยังคงเรียบเฉย “ไปตามหลินเจิ้งชิงมา”
เมื่อหลินเจิ้งชิงเดินเข้ามาก็เห็นเสี่ยวเป่านั่งสงบเสงี่ยมโดยที่นางถูกล้อมไว้ตรงกลาง ดูนุ่มนิ่มไม่มีพิษมีภัยตั้งแต่หัวจรดเท้า
ยามนี้ข่าวลือที่ว่าพยัคฆ์สีดำขาวสองตัวบุกเข้ามาในค่ายและถูกองค์หญิงกำราบลงอย่างง่ายดาย ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งค่ายราวกับปีกโบยบิน
แต่ถึงกระนั้นฝ่าบาทก็มิได้มีรับสั่งให้หยุดข่าวลือพวกนี้ อีกทั้งมีคณะทูตติดตามไปในเวลานั้นด้วย จะหยุดข่าวลือหรือไม่หยุดก็มีค่าไม่ต่างกัน
นอกจากองค์ชายหกที่เผชิญหน้ากับเสือในระยะใกล้ ทั้งยังเห็นเขี้ยวฟันแวววับของพวกมัน ผู้ที่กระทบกระเทือนจิตใจมากที่สุดก็คือจี้หนานอ๋อง
เหมือนจะได้ยินว่าตอนนี้กำลังเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่
ส่วนสาเหตุนั้น หลินเจิ้งชิงเหลือบมององค์ชายใหญ่โดยไม่แสดงสีหน้าใด
อะแฮ่ม…ยามนั้นฝ่าบาทรีบเสด็จกลับมาในทันทีที่รู้ข่าว ทว่าองค์ชายใหญ่และจี้หนานอ๋องกำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ จากนั้นหนานกงฉีซิวที่ทราบเรื่องก็นั่งไม่ติด ไม่แม้แต่จะแสร้งขาพิการอีกต่อไป เขาลุกจากรถเข็นและออกวิ่งต่อหน้าต่อตาจี้หนานอ๋อง ถึงขั้นที่ว่า…ขึ้นขี่ม้าควบออกไป
จี้หนานอ๋อง “…”
จนถึงตอนนี้จี้หนานอ๋องที่พบว่าตนเองถูกหลอกก็ยังมิได้สติกลับคืนมา
อะแฮ่ม…ขจัดความคิดวุ่นวายในหัวออกไปก่อน หลินเจิ้งชิงคุกเข่าลงพร้อมประสานกำปั้น
“ฝ่าบาท”
“ไปแจ้งหน่วยลาดตระเวน หากว่าพบเห็นเสือสองตัวมุ่งหน้ามาทางนี้มิต้องหยุดพวกมัน ปลอบขวัญเหล่าขุนนางและครอบครัว พยายามอย่าออกไปนอกค่าย”
หนานกงสือเยวียนสั่งการทุกเรื่องอย่างใจเย็น หลินเจิ้งชิงก็รับบัญชาและเดินออกไปพลางพร่ำบ่นในใจ
เยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมไปเลย เสือสองตัวนั้นมิได้กลับเข้าป่าแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังอาจจะแวะเวียนมาอีกอย่างนั้นหรือ!
พอนึกถึงรูปร่างและขนาดของพวกมันทั้งสอง หลินเจิ้งชิงก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที
มิรู้ว่าหน่วยลาดตระเวนคนใดจะโชคร้ายเจอกับพวกมันเข้า เขาต้องรีบกระจายคำสั่งออกไป ถึงตอนนั้นภาวนาอย่าให้ต้องปะทะกันเลย มิเช่นนั้นหากไปยั่วโทสะเจ้าสองตัวนั้นเข้า ค่ายแห่งนี้คงได้นองเลือดเป็นแน่
‘การสอบสวน’ ถือเป็นอันสิ้นสุด เสี่ยวเป่าไม่มีอะไรทำ จึงเข้าไปปลอบโยนพี่หกผู้โชคร้ายของตน
หนานกงฉีเฉินกอดน้องสาวตัวน้อยพลางคลอเคลีย แม้ว่าในตอนนั้นจะหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่เมื่อสงบจิตสงบใจลงแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
ทว่าไม่มีทางที่เรื่องจะจบลงเช่นนี้ เสือสองตัวที่เดิมทีควรจะอยู่ในพระราชวัง บัดนี้กลับปรากฏตัวบนภูเขาไป่สิง ไหนจะเรื่องผงล่อสัตว์บนร่างกายของพวกนางกำนัลและขันที รวมไปถึงการเสียชีวิตของหน่วยลาดตระเวน หนี้แค้นบัญชีนี้ หนานกงสือเยวียนจะชำระกับพวกหนานจ้าวไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!
Comments