เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 27 เสี่ยวเป่ายังไม่ทันได้เขียนเลย! (รีไรท์)

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 27 เสี่ยวเป่ายังไม่ทันได้เขียนเลย! (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 27 เสี่ยวเป่ายังไม่ทันได้เขียนเลย! (รีไรท์)

ตอนที่ 27 เสี่ยวเป่ายังไม่ทันได้เขียนเลย! (รีไรท์)

ฝูไห่ไม่ทันสังเกตเห็นบางอย่าง ทันทีที่พวกเขาจากไปได้ไม่นาน นางกำนัลที่กำลังกวาดลานอยู่นั้นทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก่อนจะหายลับเข้าไปในตำหนักจิ่งหยาง

ด้านในตำหนักมีนางกำนัลผู้หนึ่งแต่งกายดูดียืนอยู่ ทันทีที่เห็นผู้ที่ตนรอคอยอยู่ก็รีบคว้าตัวเข้ามาถามไถ่

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

นางกำนัลผู้นั้นลุกลี้ลุกลนตอบ “แย่แล้วพี่หงเหยา คราวนี้หลิ่วไฉเหรินเจอทางตันเข้าให้แล้ว นางถูกเชิญออกจากตำหนักจิ่งเหรินเมื่อครู่นี้เอง”

หงเหยาตกใจเมื่อได้ฟังคำบอกเล่า ทว่าเพียงชั่วพริบตานางก็กลับมาทำตัวปกติ

“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้กังวลไป พระสนมต้องการคนอยู่พอดี แต่นี้ต่อไปเจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่หงเหยา!”

ใบหน้าของนางกำนัลผู้นั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้มดีใจ

หลังจากที่หงเหยาพูดให้นางเบาใจขึ้น คนทั้งสองก็รีบไปหาผู้เป็นนายทันที

ณ ห้องโถงใหญ่ของตำหนักจิ่งหยาง หวังอันหว่านที่กำลังนั่งตัดแต่งกิ่งดอกไม้ เมื่อเห็นหงเหยาเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน นางพลันรู้สึกใจไม่ดี

“พระสนมเพคะ”

หงเหยาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง ก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ

ฉับ!

หวังอันหว่านไม่ทันระวังจนเผลอตัดกิ่งดอกไม้ขาด

นางพยายามสงบจิตสงบใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร สนมหลิ่วเป็นถึงบุตรสาวของจั่วอวี้สื่อมิใช่หรือ? ฝ่าบาทจะกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”

ความริษยาระคนขุ่นเคืองฉายวาบในดวงตาของนาง “ก็แค่องค์หญิงที่เกิดจากหญิงชาวบ้าน ฝ่าบาทจิตใจดีมีเมตตาถึงได้ให้ค่านางยิ่งกว่าขุนนางบางคน หว่านเฟย นังตัวดี นางใช้สิ่งใดไต่เต้าขึ้นมาเหยียบหัวข้า!”

“พระสนมโปรดระวังคำพูด กำแพงมีหู ประตูมีช่องนะเพคะ”

หวังอันหว่านหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตน ก่อนที่แผนการอันล้ำลึกจะแวบเข้ามาในหัว

นางไม่เชื่อหรอกว่าแค่องค์หญิงพระองค์เดียว ฝ่าบาทจะทรงรักใคร่นางถึงเพียงใดกัน!

หงเหยาลอบมองผู้เป็นนายด้วยแววตากังวลอยู่ลึก ๆ

ณ ตำหนักฉินเจิ้ง

เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าตนเองนั้นพัวพันกับเรื่องราวน้อยใหญ่อันใดบ้าง เพราะได้รับการคุ้มครองอย่างดีจากหนานกงสือเยวียนที่ไม่ปล่อยให้นางรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องในวังและราชสำนัก

ยามนี้นางนั่งบนตั่งตัวเล็กอย่างเชื่อฟัง โดยมีโต๊ะเตี้ยขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงหน้า มือน้อยนุ่มนิ่มถือพู่กันบรรจงเขียนอักษรลงบนกระดาษสาด้วยสีหน้าจริงจัง เขียนทีละขีดตามชื่อของท่านพ่อที่เขียนไว้ในบทกลอนบนกระดาษสา

น่าเสียดายที่มือของเด็กอายุสามขวบนั้นนุ่มนิ่มเกินไป อีกทั้งพู่กันก็อ่อนนุ่มเช่นกัน เสี่ยวเป่านั่งเขียนคนเดียวอยู่นานสองนาน กระทั่งหมึกเลอะเต็มกระดาษจนมองไม่ออกว่าเขียนสิ่งใด

เสี่ยวเป่ามองสิ่งที่ตนเขียน อืม… จะเรียกมันว่าภาพวาดก็คงได้ ก่อนจะพับกระดาษแล้วยัดไว้ในถุงเท้าเพราะกลัวความผิด ตั้งใจจะโยนมันทิ้งยามที่ท่านพ่อไม่เห็น

อันนี้ไม่นับ ๆ ให้ท่านพ่อเห็นไม่ได้

จากนั้นนางก็หยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกมาและลองเขียนอีกครั้ง

เจ้าก้อนแป้งที่จดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่เขียนว่า ‘หนานกง’ จนไม่ได้สังเกตว่า ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ มองเห็นทุกอิริยาบถของนางเสียแล้ว

ดวงตาของหนานกงสือเยวียนฉายแววขบขัน ก่อนจะลุกขึ้นและเดินอ้อมไปข้างหลังเสี่ยวเป่า ใช้ฝ่ามือแข็งแกร่งจับมือเล็กนุ่มนิ่มไว้

“เขียนผิดแล้ว”

เขาเอ่ยเสียงทุ้มแล้วสอนนางจับพู่กัน จากนั้นก็ค่อย ๆ สอนนางลากเส้นทีละเส้น

“มือเจ้ายังจับไม่ถนัด ฉะนั้นอย่าเขียนนานเกินไป”

เสี่ยวเป่ายืดอกตรง “เสี่ยวเป่ายังไม่ทันได้เขียนเลยนะ!”

เมื่อครู่ก็ไม่นับเช่นกัน!

หนานกงสือเยวียนชำเลืองมองนางพลางยกยิ้มน้อย ๆ

เสี่ยวเป่ามองกลับด้วยแววตาใสซื่อ “เสี่ยวเป่าวาดภาพต่างหาก”

เขียนได้ไม่ดีก็เลยวาดภาพ เหตุผลเช่นนี้ก็พอฟังขึ้น

“ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยเซี่ยและเซียวเหยาอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ยิ้มบางของหนานกงสือเยวียนค่อย ๆ เลือนหาย

“เข้ามา”

เพียงชั่วอึดใจ หนานกงหลีกับชายหนุ่มผู้องอาจก็เดินเข้ามา

เสี่ยวเป่าชำเลืองมองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างสงสัย นางไม่รู้จักคนผู้นี้มาก่อน

บุรุษผิวคล้ำ รูปร่างบ่งบอกถึงผู้มีวรยุทธ์ขั้นสูง ดูมีกล้ามเนื้อมากกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน และที่สำคัญเขามีไอสังหารที่เหล่าคุณชายในเมืองหลวงไม่มี

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

เซี่ยสุยอันรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องมาที่ตน จึงกวาดมองในระดับสายตาก่อนจะก้มศีรษะลงก็ได้สบสายตากับดวงตาใสซื่อสีดำคู่หนึ่ง

เขาคาดเดาในใจได้ทันทีว่านางคือผู้ใด นางเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ยามนี้องค์หญิงน้อยผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งนัก

“เสี่ยวเป่า เจ้าออกไปเดินเล่นกับท่านอาเจ็ดก่อนเถิด พ่อต้องสะสางธุระที่นี่สักพัก”

เซียวเหยาอ๋องตาเป็นประกายพร้อมตบหน้าอกอย่างมั่นใจ

“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลเสี่ยวเป่าให้ดีแน่นอน!”

หนานกงสือเยวียนทำให้เขาน้ำตาจะไหล

หนานกงหลีใช้มือแตะจมูกปฏิเสธความผิด “เรื่องคราวก่อนมันเป็นอุบัติเหตุ”

เสี่ยวเป่ารีบวางพู่กันในมือลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปจับมือท่านอาเจ็ดของนางไว้

“เช่นนั้นก็บ๊ายบายนะท่านพ่อ”

เสี่ยวเป่ากล่าวลาด้วยเสียงแบบเด็ก ๆ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู หนานกงหลีก็ถามขึ้นทันที

“บ๊ายบายหมายความว่าอย่างไร?”

เสี่ยวเป่าส่ายหัวน้อย ๆ “หมายความว่าเรายังต้องเจอกันอีก”

หลังจากเสียงของสองคนนั้นเงียบลง หนานกงสือเยวียนก็หันมาสบตากับชายหนุ่มตรงหน้า

“ลำบากแม่ทัพน้อยเซี่ยแล้ว รายงานสถานการณ์เมืองชายแดนให้ข้าฟังที…”

ทางด้านเสี่ยวเป่าพาท่านอาเจ็ดออกจากตำหนักฉินเจิ้งแล้วก็วิ่งตรงไปที่สวนผักเล็ก ๆ ของนาง

หนานกงหลีเดินตามนางพลางโบกพัดไปมาช้า ๆ มองเจ้าก้อนแป้งสีขาวราวหิมะวิ่งไปมา ดูน่ารักน่าชังยิ่ง

“ท่านอาเจ็ดเร็วเข้า ท่านเดินช้ากว่าเสี่ยวเป่าเสียอีกนะ”

เสี่ยวเป่าหันกลับไปมองขายาว ๆ ของหนานกงหลี ทว่าเดินช้ามากด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย และในขณะเดียวกันนางก็ยกหางขึ้น*[1]อย่างภาคภูมิใจ

“เสี่ยวเป่าขาสั้น แต่เดินเร็วกว่าท่านอาเจ็ด” นางเหยียดขาสั้น ๆ ของตนแล้วส่ายเท้าไปมา

ราวกับว่านางได้ทำบางสิ่งที่ไม่ธรรมดา และนางก็ภูมิใจกับมันมาก

ใบหน้าของหนานกงหลีประดับรอยยิ้มไม่ยอมหุบ

“เสี่ยวเป่าเก่งจริง ๆ”

เจ้าก้อนแป้งก้อนนี้ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเอาเสียเลย นางเอาแต่พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

“ท่านพ่อเก่งกว่าเสี่ยวเป่า ทั้งขายาวและเดินเร็วมาก!”

เสี่ยวเป่าเหยียดแขนเล็ก ๆ ออกไปเท่าที่ทำได้อย่างแข็งขัน

แววตาบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความชื่นชมท่านพ่อผู้เป็นที่พึ่งพิงของนาง

‘สามประโยคไม่เคยพ้นท่านพ่อ’

หนานกงหลีคิดในใจอย่างขมขื่น

ฮ่องเต้ที่ภายนอกดูเย็นชาและไม่แยแสผู้ใด ไม่รู้ว่าเขาจัดการเจ้าก้อนแป้งนี้ให้ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ในเวลาเพียงไม่กี่วันได้อย่างไร

เมื่อมาถึงสวนผัก หนานกงหลีพลันพบว่าผักในสวนผักขนาดเล็กแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อวาน

“สูงกว่าเมื่อวานเยอะเลย”

พืชผัก (ต้นหอม) สีเขียวมรกตมองสบายตาดีจริง ๆ

จู่ ๆ หนานกงหลีก็ชื่นชมความงามของพืชผลเหล่านี้ โดยเฉพาะต้นกล้าผักเหล่านี้ที่เติบโตอย่างดีราวกับว่าพวกมันเรียงแถวกัน ความสูงก็เท่า ๆ กัน

เสี่ยวเป่ายิ้มอย่างมีความสุขจนคิ้วโก่ง นางมาที่นี่ทุกวันเพื่อแอบส่งพลังภูตพฤกษาให้พวกมัน แน่นอนว่าพวกมันต้องเติบโตได้เป็นอย่างดี

เสี่ยวเป่านั่งยอง ๆ อยู่ที่ริมแปลงต้นเฉ่าเหมย นางมองไปที่ต้นเฉ่าเหมยที่มีขนาดเท่าฝ่ามือด้วยสายตาโหยหา

“ออกผลเร็ว ๆ รีบโตให้ท่านพ่อของข้าได้กิน”

ทันทีที่นางพูดจบ พัดในมือหนานกงหลีก็แตะลงบนหัวเล็ก ๆ ของนาง

“เจ้านึกถึงเพียงท่านพ่อของเจ้าใช่หรือไม่? แล้วท่านอาเจ็ดของเจ้าเล่า?”

เสี่ยวเป่าจับมือเขาไปถูคลอเคลียเหมือนแมวน้อยขี้อ้อน

“ต้องให้ท่านอาเจ็ดกินด้วยอยู่แล้ว”

เสียงเล็ก ๆ ของเจ้าก้อนแป้งฟังดูนุ่มนิ่ม ทั้งใบหน้าเล็ก ๆ ที่แนบลงบนฝ่ามือ เหตุใดหลานสาวตัวน้อยของเขาถึงได้เป็นคนหายาก*[2]นักนะ

น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง!

[1] ยกหางขึ้น หมายถึง ยกตนเองว่าดีว่าเก่ง

[2] คนหายาก (招人稀罕) หมายถึง คนที่ทุกคนให้คุณค่าและเป็นที่รัก

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *