เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 302 อย่างไรพวกข้าก็อ่อนแอและบอบบาง
บทที่ 302 อย่างไรพวกข้าก็อ่อนแอและบอบบาง
บทที่ 302 อย่างไรพวกข้าก็อ่อนแอและบอบบาง
ฝั่งพวกเขามีคนเยอะกว่าทั้งยังพกอาวุธมาด้วย ส่วนเด็กรับใช้ของอีกฝ่ายก็มิอาจเทียบเคียงทหารของราชสำนักที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีได้แม้แต่นิดเดียว
ด้วยเหตุนี้สกุลอวี๋จึงถูกบดขยี้เสียราบคาบ
ในที่สุดอวี๋ตัวอวี้ที่มีถุงเท้าเหม็นเน่าอุดปากเอาไว้ ก็ถูกเด็กรับใช้ที่ใบหน้าฟกช้ำดำเขียวพาหนีอย่างหัวซุกหัวซุน
อันธพาลแห่งเมืองจินโจวอับอายขายขี้หน้าจนไม่เหลือชิ้นดี ก่อนจากไปก็มิวายพ่นคำขู่พลางส่งเสียงอาเจียน
“พวกเจ้า…ฝากไว้ก่อนเถอะ สกุลอวี๋ไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่! แหวะ…”
หนานกงหลีก้าวขึ้นรถม้าพร้อมกับมองคนพวกนั้นด้วยสายตาดูหมิ่น
“ก็เอาสิ ข้าจะรอเจ้ามาเอาคืน!”
คิดว่าข่มขู่เป็นฝ่ายเดียวหรือ
สายตาของชาวเมืองที่อยู่บริเวณนั้นมีทั้งชื่นชมและเห็นใจ
“พ่อหนุ่ม พวกเจ้ารีบไปจากเมืองจินโจวก่อนที่จะเดือดร้อนเพราะสกุลอวี๋เถอะ”
ชายชราคนหนึ่งเอ่ยเตือนพลางก้าวออกมา “สกุลอวี๋เป็นพวกใช้อำนาจรังแกผู้อื่น เมืองจินโจวเรียกได้อีกชื่อว่าเมืองอวี๋ ถึงคนของเจ้าจะเก่งกาจ แต่พวกเจ้ามีคนน้อยกว่าอย่างไรก็สู้ไม่ไหวหรอก”
หนานกงหลีไม่ได้รีบร้อนจากไป กลับนั่งลงบนรถม้าและเริ่มพูดคุยกับชายชราคนนั้นแทน
เสี่ยวเป่าสั่งให้เฮยอู๋ฉางรออยู่บนรถม้า จากนั้นตนเองก็เดินไปหาไป๋อู๋ฉางที่อยู่อีกคัน
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เจ้าเสือตัวดีกำลังตั้งท่าจะลงจากรถม้า หัวเพิ่งจะโผล่พ้นไม่ทันไรก็ถูกเสี่ยวเป่าดันกลับเข้าไปข้างในตามเดิม
“เด็กดี ยังออกไปไหนไม่ได้ ข้างนอกคนเยอะ หากทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจจะทำอย่างไร”
เจ้าเสือขาวคำรามอย่างไม่พอใจ มันอ้าปากและคลอเคลียมือของเสี่ยวเป่า พร้อมกับหลับตาพริ้มพลางดันหัวเข้าไปในอ้อมแขนของนางคล้ายกับกำลังออดอ้อน
เมื่อหนานกงหลีพูดคุยจบ ก็สั่งให้รถม้าเคลื่อนตัวไปยังจวนเจ้าเมือง
เขาหยิบตราสัญลักษณ์อ๋องของตนออกมา “ไปแจ้งท่านเจ้าเมือง เซียวเหยาอ๋องและองค์ชายสามได้รับพระราชโองการให้นำคนมาถ่ายทอดวิธีการสร้างเตียงเตา”
คนเฝ้าประตูไม่จำเป็นต้องฟังต่อ เพียงได้ยินคำขานเซียวเหยาอ๋องและองค์ชายสามก็รีบวิ่งไปแจ้งท่านเจ้าเมืองด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
พวกเขามิได้เป็นเพียงขุนนางที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวง แต่เป็นถึงเซียวเหยาอ๋องและองค์ชายสาม
เพียงไม่นานเจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว
“กระหม่อม เจ้าเมืองจินโจวคารวะองค์ชายสามและเซียวเหยาอ๋อง โปรดประทานอภัยที่มิได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีอวิ๋นไม่ใคร่จะพูดคุยกับผู้อื่นเท่าใดนัก จึงพยายามวางท่าเคร่งขรึม
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็เพียงพอให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านแล้ว
หนานกงหลีชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
“มิเป็นไรหรอก พวกข้าเองก็เพิ่งมาถึง”
เขาไม่ได้แนะนำฐานะของเสี่ยวเป่า ส่วนเจ้าเมืองก็ไม่ได้ถามให้มากความ
“นำรถม้าสองคันนั้นเข้ามา ส่วนคันที่เหลือจอดไว้ข้างนอกก่อน”
บ่าวรับใช้ของเจ้าเมืองไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่บนรถม้า เพียงลากจูงม้าเข้ามาอย่างอ่อนน้อม
เจ้าเมืองแนะนำครอบครัวให้พวกเขาได้รู้จักระหว่างที่เดินเข้าไปข้างใน
ในจำนวนนี้มีเด็กสาววัยแรกรุ่นสองคน คนหนึ่งซึ่งมีใบหน้างดงามกำลังมองเซียวเหยาอ๋อง ส่วนอีกคนมององค์ชายสามด้วยท่าทีขวยเขิน
หนานกงฉีอวิ๋นมิได้โต้ตอบอะไร ความคิดของเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับงานของตัวเอง ตลอดเวลาที่อยู่บนรถม้าก็เอาแต่ศึกษาอาวุธยุทโธปกรณ์
อ๋องเจ้าสำราญอย่างหนานกงหลีมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าเมืองผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
จิ๊…พวกเจ้ารีบร้อนเกินไปหน่อยหรือไม่
“ท่านอ๋อง นำรถม้าเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รถม้าไม่สามารถเคลื่อนผ่านทางประตูหน้าได้เนื่องจากมีบันได ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงลากรถม้าเข้ามาทางประตูด้านข้าง
แม้จะไม่รู้ว่าข้างในบรรจุสิ่งใดเอาไว้ แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดกลัวคอยจ้องมองตลอดทาง ทั้งยังได้ยินเสียงลมหายใจอันหนักอึ้งอีกด้วย
สิ่งนี้ทำเอาพวกเขารู้สึกไม่เป็นสุข จึงรีบก้าวเดินอย่างว่องไว
ที่จริงแล้ว เจ้าเมืองก็อยากรู้เช่นกันว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างในนั้น ท่านอ๋องและคนอื่น ๆ ถึงได้ให้ความสนใจเพียงนี้
หนานกงหลีเอ่ยขึ้น “ท่านเจ้าเมืองพาคนหลบไปหน่อยจะดีกว่า หากพวกท่านเห็นเจ้าพวกที่อยู่ข้างในแล้วจะตกใจเอาได้”
ก่อนที่เจ้าเมืองจะทันได้พูดอะไร บุตรสาวของเขาก็พูดขึ้นโดยไม่รีรอ “ท่านอ๋องมิต้องกังวลไปหรอกเพคะ พวกเรามิได้ตาขาวถึงเพียงนั้น”
หนานกงหลีมองนางจากนั้นก็ยิ้มพลางยักไหล่ “ตามใจ ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วนะ”
รอยยิ้มของเขาทำเอาเด็กสาวเขินจนหน้าแดง จิตใจปั่นป่วนว้าวุ่น รู้สึกดีใจทั้งยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าท่านอ๋องก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้นางเช่นกัน
แต่ขณะที่กำลังฝันเฟื่อง เสือตัวใหญ่ยักษ์น้ำหนักเกือบเจ็ดร้อยจินสองตัวก็กระโดดลงจากรถม้าตามเสียงเรียกของเด็กหญิงตัวน้อย ทำเอาหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ
เพียงชั่วอึดใจ เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังลั่นไปทั่วทั้งเรือน
ทว่ารอยยิ้มของหนานกงหลีกลับกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หนานกงฉีอวิ๋นเดินเข้าไปหาเขา “เสด็จอาเจ็ด ท่านตั้งใจใช่หรือไม่”
หนานกงหลีแค่นหัวเราะ จากนั้นก็กางพัดพร้อมกับเอียงศีรษะไปกระซิบที่ข้างหูของเขา “เจ้าเมืองผู้นี้น่ะ ก่อกรรมทำชั่วร่วมกับสกุลอวี๋ไม่น้อยเลย”
กลับกลายเป็นว่าฮูหยินของเจ้าเมืองผู้นี้ก็คือบุตรสาวของภรรยาเอกแห่งสกุลอวี๋ แม้แต่อนุภรรยาหลายคนของเขาก็เป็นลูกที่เกิดจากฮูหยินรองสกุลอวี๋เช่นกัน
เจ้าเมืองจินโจวเป็นพวกทุจริตคดโกงทั้งยังมักมากในกาม ห้อมล้อมด้วยบุตรสาวสกุลอวี๋มากมาย มีหรือจะไม่ถูกบรรดาภรรยากระซิบข้างหูคอยบงการให้ทำสิ่งต่าง ๆ กระทั่งพึ่งพาสกุลอวี๋ในทุกเรื่อง
ดังนั้นที่ชายชราคนนั้นบอกว่าเมืองจินโจวก็คือเมืองอวี๋จึงมิได้พูดเกินจริงเลยสักนิด
สกุลอวี๋อาศัยความสัมพันธ์กับเจ้าเมืองครอบครองที่ดินจำนวนมหาศาลในเมืองจินโจว ทั้งยังผูกขาดการค้าไปกว่าครึ่ง เรียกได้ว่าสกุลอวี๋แทบจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในเมืองแห่งนี้
นี่ก็เป็นข้อมูลที่เขาได้มาในตอนที่กำลังพูดคุยกับชายชราคนนั้น
เจ้าเสือทั้งสองชำเลืองมองพวกมนุษย์ที่ตื่นตกใจจนเกินเหตุ จากนั้นก็เดินวนรอบตัวเสี่ยวเป่า
บัดนี้หนานกงหลีคืนร่างกลับมาเป็นชายหนุ่มยิ้มแย้มดูไม่มีพิษมีภัย ราวกับว่าคนที่ตั้งใจทำให้พวกเจ้าเมืองตกใจกลัวเมื่อครู่ไม่ใช่ตนเองเสียอย่างนั้น
“ข้าบอกแล้วว่าให้พวกท่านถอยออกไป ขอโทษด้วย ๆ แมวยักษ์สองตัวของพวกข้าไม่ได้ทำให้พวกท่านตกใจกลัวใช่หรือไม่”
พวกเจ้าเมือง “…”
ท่านเรียกสิ่งนี้ว่าแมวหรือ!
บรรดาผู้คนต่างหน้าซีดเผือดจนดูไม่ได้ แข้งขาสั่นเทาแทบจะล้มทั้งยืน
โดยเฉพาะเด็กสาวที่พูดด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าพวกเขามิใช่คนตาขาว บัดนี้ไม่หลงเหลือเค้าความงาม ไร้ซึ่งท่าทีเหนียมอายอย่างในทีแรก
“พวกท่านไม่ต้องกลัวไปหรอก แมวยักษ์สองตัวนี้แค่ดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ว่าพวกมันว่านอนสอนง่าย ไม่เชื่อพวกท่านก็ดูสิ”
เขาชี้ไปที่เสี่ยวเป่าพร้อมกับขยิบตาคู่โตให้นาง
เสี่ยวเป่าทำตาปริบ ๆ จากนั้นก็พูดกับพวกเสือที่กำลังคลอเคลียไปมา
“นั่งลง เฮยอู๋ฉาง ไป๋อู๋ฉาง พวกเจ้านั่งลงเดี๋ยวนี้”
นางกดหัวเสือยักษ์ทั้งสอง
หูของเจ้าเสือกระดิกไปมา จากนั้นก็นั่งลงแต่โดยดี
หนานกงหลี “เห็นหรือไม่ เชื่องจะตายไป ตลอดทางมานี้ก็ไม่ทำร้ายใคร ความจริงแล้วพวกข้าก็ไม่อยากพาพวกมันมาด้วยหรอก แต่เพราะกลัวว่าระหว่างทางจะเจอกับพวกโจรภูเขา ถึงอย่างไรพวกข้าก็อ่อนแอบอบบาง หาใช่คู่ต่อสู้ของพวกโจรภูเขาโหดเหี้ยม ก็เลยพาเจ้าเสือสองตัวนี้มาข่มขวัญเสียหน่อย ใช่หรือไม่”
เขาถามประโยคสุดท้ายกับบรรดาองครักษ์ของตน
องครักษ์อ่อนแอบอบบางในชุดเกราะถือดาบ “…ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงขานรับของพวกเขาเรียกได้ว่าทรงพลังทีเดียว
ดูสิว่า…พวกเขา ‘บอบบาง’ แค่ไหน!
Comments