เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 429 ปีศาจ

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 429 ปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 429 ปีศาจ

บทที่ 429 ปีศาจ

เมื่องานประมูลสิ้นสุดลง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีซื้อขายเช่นนี้ บรรดาผู้คนที่ได้เปิดหูเปิดตาก็ทยอยออกจากโรงน้ำชาเทียนเป่า

แน่นอนว่ามีหลายคนอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องงานประมูล เหล่าพ่อค้าและตระกูลขุนนางถึงขั้นเกิดความคิดของตัวเองเมื่อได้เห็นการประมูลที่ทำเงินได้มากมายเช่นนี้

“คนที่สามารถคิดวิธีเช่นนี้ขึ้นในต้าเซี่ยได้ช่างมีพรสวรรค์ยิ่งนัก”

“ได้ยินว่าเจ้าของโรงน้ำชาแห่งนี้คือองค์ชายสักคนของต้าเซี่ย”

“องค์ชายต้าเซี่ย เท่าที่ข้ารู้หลายคนมีความสามารถไม่ธรรมดาเลย”

แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มิได้เป็นคนของราชวงศ์ ต่อให้ฮ่องเต้จะมีลูกชายที่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา

อย่างไรเสียไม่ว่าคนที่นั่งบัลลังก์จะเปลี่ยนเป็นใคร ตระกูลขุนนางเช่นพวกเขาก็จะคงอยู่ตลอดไป

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ต้องการฮ่องเต้อย่างต้าเซี่ย ตระกูลขุนนางในต้าเซี่ยถูกจัดการไปจนเกือบหมด ขอพระเจ้าอวยพรให้พวกเขาอย่าได้มีฮ่องเต้เฉกเช่นเดียวกับฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยผู้ยิ่งใหญ่นี้เลย

ฮัดชิ่ว…

หนานกงสือเยวียนจามออกมาขณะกำลังทำงาน

หนานกงฉีซิว “เสด็จพ่อจะให้เรียกหมอหลวงมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนโบกมือ “ไม่ต้อง”

เขาสบายดี ในที่สุดการก่อสร้างสำนักศึกษาก็เสร็จสมบูรณ์ รวมถึงถนนปูน และเขื่อนริมฝั่งแม่น้ำ

ท้องพระคลังหลวงซึ่งก่อนนี้เคยมั่งคั่งก็ค่อย ๆ ร่อยหรอหลังจากประกาศใช้นโยบายเหล่านี้

ลำพังแค่สำนักศึกษายังไม่พอ เมื่อมีโรงเรียนก็ต้องมีหนังสือ

ดังนั้นจึงต้องใช้เงินจำนวนมากในการซ่อมแซมหนังสือ

เงินในเหมืองถูกขุดขึ้นมาเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการซื้อขายเครื่องลายครามและสุราที่คอยช่วยค้ำจุน จึงไม่ถึงขั้นขัดสนเกินไปนัก

แต่ว่าพวกเขายังต้องฝึกทหารเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ดังนั้นเมื่อคำนวณดูแล้วเงินจึงยังไม่เพียงพอ…

มีหลายสิ่งที่ต้องทำจนหนานกงสือเยวียนรู้สึกหัวหมุนทีเดียว

เฮ้อ…

จะทำอะไรให้สำเร็จย่อมต้องใช้เวลา ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน

หลังจากที่งานประมูลจบลง เมืองหลวงก็เหลือเพียงสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ การไถพรวนดินก่อนเพาะปลูกก็มาถึงอีกครั้ง

เสี่ยวเป่าเองก็เริ่มทำงานของตน และไปที่ฟาร์มเกษตรของนางแทบจะทุกวัน

หญ้างอกงามของนางเติบโต ทั้งยังต้องปลูกผลไม้นานาชนิดบนพื้นที่ขนาดใหญ่ในภูเขาโดยปลูกองุ่นเยอะที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมด

ไร่นาในหมู่บ้านเริ่มหว่านเมล็ดธัญพืชและเมล็ดผัก และยังต้องปล่อยลูกปลาลงสระบัวด้วย…

เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างนางต้องทำงานมากมายขนาดนี้จะไม่ให้ยุ่งได้อย่างไร

ยังดีที่หนานกงฉีซิวรู้สึกสงสารจึงได้รีบให้เยว่หลีมาช่วยงานนาง

ทั้งสองขลุกอยู่ด้วยกันทุกวันเพื่อออกแบบการจัดวางหมู่บ้าน สั่งการคนงานทั้งระยะยาวและสั้นรวมถึงพ่อบ้านจนหัวหมุนกันไปหมด

เมื่อสิ้นสุดการไถหน้าดินในฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับมิได้ปลูกต้นกล้าบนภูเขา ขอเพียงเสี่ยวเป่าคิดว่าผลไม้เหมาะกับพื้นที่ตรงไหน นางก็จะปลูกมันตรงนั้น

ช่วงเวลาตลอดจนถึงเดือนสี่ อิงเถาป่าบนเขาก็สุกงอม เสี่ยวเป่าจึงพาเยว่หลีขึ้นเขาไปเก็บอิงเถาและถือโอกาสไปเที่ยวเล่น แต่คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอคนโชคร้ายขณะที่กำลังปีนเขา

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที”

น้ำเสียงอิดโรยดังมาจากใต้ทางลาด เสี่ยวเป่าและเยว่หลีชะโงกหน้าไปดู แต่ตรงนั้นมีพุ่มไม้ปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไร

“ข้างล่างมีคนหรือไม่”

เมื่อคนด้านล่างได้ยินเสียงก็ตื่นเต้นในทันใด

“มี ๆ ๆ ท่านผู้กล้าพอจะช่วยได้หรือไม่ ข้าน้อยมิทันระวังลื่นตกลงมาขาหักขึ้นไปไม่ได้”

เสี่ยวเป่าพูดตอบเสียงหวาน “เจ้ารอประเดี๋ยวนะ พวกเราจะหาเถาวัลย์ให้”

คนด้านล่างรู้สึกมึนงงนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงหวานเหมือนเด็ก เหตุใดถึงเป็นเด็กได้ล่ะเนี่ย!

“เด็กน้อย เจ้าช่วยไปตามผู้ใหญ่มาได้หรือไม่ ข้าจะรออยู่ตรงนี้”

ทว่าเสี่ยวเป่าและเยว่หลีโยนเถาวัลย์หนาที่พวกเขาหาเจอลงไปแล้ว

“เจ้าขึ้นมาก่อนเถอะ ไม่มีผู้ใหญ่หรอก”

คราวนี้เป็นเสียงของเยว่หลี

เสียงของเด็กชายยังไม่แตกหนุ่ม ฟังดูมีชีวิตชีวาทั้งยังรื่นหู

คนด้านล่างพอได้ยินว่ามิได้มีแต่เด็กน้อยก็รู้สึกใจชื้นขึ้น

“เจ้าผูกเถาวัลย์ไว้รอบเอว จากนั้นพวกเราจะดึงเจ้าขึ้นมา”

“ตกลง เช่นนั้นพวกเจ้ามัดเถาวัลย์ไว้กับต้นไม้ ข้าจะลองปีนขึ้นไปเอง ขอบคุณพวกเจ้ามาก”

คนที่อยู่ด้านล่างเนินก็เป็นเด็กหนุ่มเช่นเดียวกัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ

เพียงแต่ขณะที่เขามัดเถาวัลย์ไว้กับตัวเตรียมจะปีนขึ้นไปก็ค้นพบว่าตนเองขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย!

หรือว่ามีผู้ใหญ่อยู่กับพวกเขาด้วย แรงเยอะเพียงนี้เชียวหรือ

แต่เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว สิ่งที่รอต้อนรับเขากลับมิใช่คน แต่เป็นหัวเสือขนาดใหญ่

หงอวิ๋น “…”

เขาตกใจตาเหลือกและเป็นลมล้มตึงจนเกือบจะกลิ้งตกทางลาดไปอีกรอบ

เสี่ยวเป่า “…”

เยว่หลี “…”

เสือสองตัวมองพวกเขาทั้งคู่อย่างไร้เดียงสา

เสี่ยวเป่าเกาแก้มตัวเอง “พวกเราไปเก็บอิงเถากันก่อนดีหรือไม่ อยู่ใกล้แค่นี้เอง”

เยว่หลีเห็นด้วย “ไปสิ อย่างไรที่นี่ก็ไม่ได้มีสัตว์ป่าอะไร”

เฮยอู๋ฉางและไป๋อู๋ฉางคำรามต่ำและเดินตามหลังคนทั้งสองไป จริงอยู่ว่าที่นี่ไม่มีสัตว์ป่า

ดังนั้นหลังจากที่หงอวิ๋นได้สติก็ได้ยินเสียงพูดคุยอย่างเลือนราง เมื่อลืมตาและหันกลับไปมองก็พบเสือยักษ์สองตัวนอนหมอบอยู่

รูม่านตาของหงอวิ๋นหดเล็กลง “ปะ…ปีศาจ!”

แม่เจ้าโว้ย เสือสองตัวนี้พูดได้ด้วยหรือนี่!

เขากลอกตาคล้ายจะเป็นลมไปอีกครั้ง เสี่ยวเป่าก็โผล่หัวออกมาจากด้านหลังไป๋อู๋ฉาง

“อย่าเป็นลมนะ!”

เมื่อเห็นคนทั้งสอง หงอวิ๋นถึงได้ฝืนเรียกสติกลับมาได้ เนื้อตัวสั่นเทาพร้อมกับชี้ไปที่พวกเขา

“นี่ นี่…”

เสี่ยวเป่าลูบหัวไป๋อู๋ฉาง “เสือสองตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าเอง ไม่กัด”

บัดนี้หากว่าพวกโจรภูเขาและกองทัพของหนานจ้าวที่ถูกเสือสองตัวนี้ฆ่าตายยังอยู่ละก็ต้องกรีดร้องเป็นแน่ เจ้าพูดออกมาไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ ไม่ละอายใจเลยหรืออย่างไร!

เสี่ยวเป่าพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ แม้หงอวิ๋นจะเชื่อโดยไม่เต็มใจนัก แต่ก็มิกล้าเข้าใกล้อยู่ดี ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเสือ ใครเล่าจะกล้าเข้าใกล้

“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยชีวิตข้า”

เสี่ยวเป่ามองเขาด้วยความสงสัย “เจ้าแต่งตัวเช่นนี้ เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหรือ”

พอพูดถึงเรื่องนี้ท่าทางของเด็กหนุ่มก็ดูภาคภูมิใจขึ้นมาทันที “ข้าเป็นศิษย์ที่สำนักศึกษาใกล้กับเมืองหลินโจว ช่วงนี้เป็นวันหยุดทำเกษตรกรรม พอช่วยงานที่บ้านเสร็จแล้วข้าก็นึกได้ว่าซู่เหมยกับอิงเถาบนเขาสุกแล้ว ที่บ้านข้ามีน้อง ๆ ก็เลยว่าจะเก็บกลับไปฝากพวกเขาเป็นของกินเล่นเสียหน่อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะโชคร้ายแบบนี้”

เสี่ยวเป่าเห็นว่าเขามีร่างกายกำยำทั้งยังผิวคล้ำเล็กน้อย คงเป็นเพราะตากแดดทำนาเป็นเวลานาน

ศิษย์ที่เพิ่งเริ่มเรียนหนังสือในเวลานี้ต่างจากพวกบัณฑิตในหนังสือประวัติศาสตร์

เสี่ยวเป่าได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนั้นกับท่านพ่อเช่นกัน บัณฑิตที่อยู่ในหนังสือโดยพื้นฐานแล้วล้วนแต่มีรูปร่างบอบบาง บางคนถึงขั้นแต่งหน้าแต่งตาเลยทีเดียว

ในยุคนี้ยังเป็นยุคของความไม่มั่นคง เกิดความขัดแย้งระหว่างสามอาณาจักรอยู่เนือง ๆ ทั้งยังถูกจับตามองโดยคนต่างเผ่า ดังนั้นต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ยังมีร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแรง เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนป่วย

บัณฑิตที่ได้รับคัดเลือกดูไปแล้วก็ค่อนข้างทรงพลังทีเดียว

เด็กหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินสิบสี่หรือสิบห้าปี ดูเปล่งประกายขณะพูดคุยเรื่องสำนักศึกษากับเสี่ยวเป่า

เสี่ยวเป่าเองก็รู้สึกดีใจ สุดท้ายความพยายามของท่านพ่อก็ไม่สูญเปล่า ท่านพ่อของนางได้รับการยอมรับ เสี่ยวเป่าดูมีความสุขยิ่งกว่าหนานกงสือเยวียนเสียอีก

……………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด