เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 435 ถึงจุดหมาย

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 435 ถึงจุดหมาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 435 ถึงจุดหมาย

บทที่ 435 ถึงจุดหมาย

เดินทางกันมาแรมเดือน ในที่สุดขบวนเสด็จก็ถึงจุดหมาย

ที่นี่อยู่ใกล้ทะเลทรายโกบี อีกทั้งยามนี้อยู่ในช่วงคิมหันตฤดู อากาศจึงร้อนมาก

แต่สิ่งที่ดึงความสนใจคนทั้งหลายหาใช่สภาพอากาศที่เลวร้าย แต่เป็นชาวนาที่กำลังทำงานขะมักเขม้นอยู่ในทุ่งข้าวสาลีหนาทึบ

เวลานี้ข้าวสาลียังไม่พร้อมเก็บเกี่ยว ทว่ารวงใหญ่เมล็ดเต่งตึงยิ่งนัก

แม้ชาวนาเหล่านั้นจะซูบผอม ผิวดำคล้ำจากการตรากตรำทำงานหนัก ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่เคยจางหาย แววตาเปล่งประกายแสงแห่งความหวัง

เสี่ยวเป่ากวาดตามองท้องทุ่งกว้างใหญ่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์จากบนรถม้า

พืชผลเหล่านั้นล้วนเกิดจากเมล็ดพันธุ์ของนาง พอได้มาเห็นว่าพวกมันงอกงามเพียงใดด้วยตาตนเอง เสี่ยวเป่าพลันรู้สึกภูมิอกภูมิใจ

พอเหล่าชาวนาเห็นว่ามีขบวนเสด็จกำลังเคลื่อนผ่าน พวกเขาก็ยืนดูอยู่ไกล ๆ โดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวสักนิด ยิ่งเห็นว่าเป็นกองทัพต้าเซี่ย พวกเขาก็ยิ่งส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับด้วยความปลาบปลื้มยินดี

“เป็นกองทัพต้าเซี่ย เป็นกองทัพต้าเซี่ยของเราเอง”

“ข้าได้ยินมาว่าพวกซยงหนูคิดจะขโมยเสบียงอาหารของเราอีกแล้ว ข้าหวังว่ากองทัพต้าเซี่ยจะจัดการคนพวกนั้นให้หลาบจำเสียที พวกมันจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเราอีก”

“ข้าว่ากวาดล้างพวกมันให้สิ้นซากไปเลยก็ยิ่งดี พวกเราจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเสียที ไม่ต้องกังวลว่าคนพวกนั้นจะกลับมารุกรานเราอีก หากพวกมันยังกล้า คราวนี้เราสู้ไม่ถอยแน่!”

“ปีนี้ได้ผลผลิตดีมาก เป็นเพราะได้เมล็ดพันธุ์จากเมืองหลวง ในที่สุดเราก็ไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว”

ตลอดระยะเวลาสองปีมานี้ หนานกงฉีโม่ได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่รกร้าง และจะไม่มีการเก็บภาษีที่ดินเป็นเวลาสามปี ทั้งยังแจกเมล็ดพันธุ์ด้วย ตอนนี้ผู้คนในเมืองหน้าด่านจึงขยันขันแข็ง ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาบุกเบิกพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูก

เมื่อบำรุงดินด้วยปุ๋ยจนสามารถปลูกพืชผลที่เจริญเติบโตง่ายอย่างมันเทศและข้าวโพดได้แล้ว ยามนี้นอกจากชาวบ้านจะไม่ต้องกังวลปัญหาปากท้องแล้ว พวกเขายังมีเหลือกินเหลือใช้อีกด้วย

พวกเขาจึงคาดหวังว่าต้าเซี่ยที่แข็งแกร่งขึ้นจะจัดการพวกซยงหนูที่คิดจะขโมยผลผลิตของพวกเขา โจรชั่วอย่างพวกซยงหนูสมควรถูกกวาดล้างให้สิ้นซาก!

เวลานี้ชาวซยงหนูและชาวจงหยวนคือศัตรูคู่แค้น ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ฉะนั้นจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด เพราะสำหรับพวกซยงหนูนั้นสันติไม่ใช่ทางออก!

กระทั่งกองทัพต้าเซี่ยเคลื่อนขบวนไปจนลับสายตา ผู้คนทั้งหลายจึงหันกลับมาตั้งใจดูแลพืชผลในทุ่งนาต่อเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ยิ่งใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวในสารทฤดู พวกเขาก็ยิ่งกังวล

ณ เมืองหน้าด่าน

ขบวนเสด็จที่มาพร้อมกองทัพใหญ่ไม่มีทางรอดพ้นสายตาคนในค่ายทหารไปได้ ทั้งแม่ทัพเซี่ย หนานกงฉีโม่ และคนอื่น ๆ รีบควบม้าออกมาต้อนรับ

“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ทุกคนเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

ทันทีที่รู้ข่าวการเสด็จออกจากเมืองหลวงเป็นการส่วนพระองค์ของฝ่าบาท บรรดาขุนพลในเมืองหน้าด่านทั้งตื่นเต้นทั้งเป็นกังวล

ความตื่นเต้นนั้นเกิดจากการชื่นชม แม้จะผ่านไปหลายปี เหล่าขุนพลอาวุโสที่ประจำการที่เมืองหน้าด่านล้วนเคยติดตามหนานกงสือเยวียนออกรบ พวกเขายังคงจดจำวีรกรรมความกล้าหาญของฝ่าบาทได้เป็นอย่างดี

แต่ยามนี้ฝ่าบาททรงเป็นผู้ครองอาณาจักร เป็นมิ่งขวัญของปวงประชา หากเกิดเรื่องอันใดในสนามรบเล่า พวกเขาจะทำอย่างไร

พวกเขาจำได้ว่าทุกครั้งที่ออกรบ ฝ่าบาทจะพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ไม่มีท่าทีหวาดกลัว ไม่มีการหลบอยู่ข้างหลังผู้ใด!

หนานกงสือเยวียนที่อยู่บนหลังม้ากวาดตามองเหล่าทหารกล้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ

“ทุกคนลุกขึ้นเถิด แม่ทัพทุกท่านทำตัวตามสบาย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“พี่รอง!”

เสียงเสี่ยวเป่าดังมาแต่ไกล หนานกงฉีโม่ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนพลันงุนงง ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเจ้าตัวเล็กพุ่งเข้ามาเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่แล้วกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนเขา

หนานกงฉีโม่เบิกตากว้าง รีบจับเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้มั่นคง

“เจ้า…”

“พี่รองคิดถึงเสี่ยวเป่าหรือไม่ เสี่ยวเป่าคิดถึงพี่รองมากเหลือเกิน!”

ผู้คนในยุคสมัยนี้ค่อนข้างสงวนท่าทีและความรู้สึก ทว่าการกระทำของเสี่ยวเป่านั้นออกจะโจ่งแจ้งไปหน่อย เหล่านายทหารบุรุษผู้มีจิตใจแข็งแกร่งถึงขั้นมองสองพี่น้องด้วยสีหน้าตกตะลึง

เนื้อตัวผิวกายขาวสะอาดเหมือนก้อนแป้ง ฉีกยิ้มกว้างจนคิ้วโค้งงอ ใบหน้างดงามน่ารักน่าเอ็นดู สวมชุดสตรีสูงศักดิ์ในวังสีกลีบบัว ดูแตกต่างจากผู้คนที่เมืองหน้าด่านโดยสิ้นเชิง

นัยน์ตาดำขลับสดใสเปล่งประกายดูเฉลียวฉลาด ยามที่นางพูด น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน ฟังดูออดอ้อนเล็กน้อย แม้ถ้อยคำที่นางเอื้อนเอ่ยจะตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันน่าเกลียดเลยสักนิด

เทียบกับบุตรชายผู้แข็งกระด้างพวกนั้นแล้ว แม่ทัพหลายคนชอบบุตรสาวขี้อ้อนเช่นนี้มากกว่า

คนผู้นี้คงจะเป็นองค์หญิงที่มักจะส่งข้าวของต่าง ๆ นานาให้องค์ชายรองเป็นแน่

น้องสาวของคนอื่นไม่เพียงแต่เป็นห่วงเป็นใยพี่ชายเท่านั้น แต่ยังหน้าตาดีอีกด้วย

ในขณะที่พี่สาวน้องสาวของพวกเขา นอกจากจะไม่ตัวเล็กน่ารักแล้ว ยังเอาแต่ขี่ม้ายิงธนู ถือดาบ ถือมีดไล่ฟันบุรุษ

ความแตกต่างนี้มันอันใดกัน เพียงนึกถึงก็แทบอยากหลั่งน้ำตาด้วยความขมขื่น

เสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนพี่รองยกมือเล็ก ๆ กุมใบหน้าพี่ชายเอาไว้พร้อมทำหน้าทุกข์ใจ

“พี่รองดูคล้ำและผอมลงเยอะเลยเพคะ”

นางปวดใจยิ่งนัก

มุมปากของหนานกงฉีโม่โค้งขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้ม เขาแค่เติบโตจากเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่ม ร่างกายจึงผอมลง แต่มีกล้ามเนื้อและพละกำลังที่มากขึ้น สองสามปีที่ผ่านมาให้บทเรียนและประสบการณ์มากมายจนทำให้เขากลายเป็นคนใจเย็นและสุขุมขึ้น เป็นบุรุษที่มองแวบแรกก็รู้สึกว่าพึ่งพาได้

“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ด้วย”

หนานกงฉีโม่ดีใจที่ได้พบนาง แต่ก็กังวลเช่นกัน

ที่นี่ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่เมืองหลวง อยู่ที่นี่น้องสาวจะสะดวกสบายหรือไม่

“ประหลาดใจใช่หรือไม่ เสี่ยวเป่าคิดถึงพี่รอง จึงขอตามเสด็จท่านพ่อมาด้วย”

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเจ้าตัวเล็กแวบหนึ่ง

“พี่รอง”

หนานกงฉีหลิงและหนานกงฉีอิงก็มาด้วย พวกเขาต่างเข้ามากล่าวทักทายหนานกงฉีโม่พร้อมเสียงหัวเราะ

“เดิมทีเราจะเขียนจดหมายบอกท่านก่อนออกเดินทาง แต่เสี่ยวเป่าไม่ยอม บอกว่าอยากจะทำให้ท่านประหลาดใจ”

หนานกงฉีโม่ตบไหล่น้องชายทั้งสองพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประหลาดใจจริงด้วย พวกเจ้าโตขึ้นเยอะเลย ดูเปลี่ยนไปไม่น้อย”

หนานกงฉีอิงได้ยินเช่นนั้นก็ยืดอกเชิดหน้า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น พวกเราโตพอจนออกรบช่วยเสด็จพ่อได้แล้ว”

เขากำลังกล่าวถึงการออกรบครั้งแรกของตน แม้เขาจะเขียนจดหมายคุยโม้กับพี่รองแล้วก็ตาม แต่พอมาอยู่ต่อหน้า เขาก็ยังอยากจะอวดอีกอยู่ดี

คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่จวนของหนานกงฉีโม่

“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ บ้านพักของท่านข้าสั่งให้คนไปซ่อมแซมแล้ว รอให้คนขนข้าวของเข้าไปจัดเตรียมเรียบร้อยก็สามารถเข้าพักได้เลย ให้น้องชายทั้งสองกับน้องหญิงไปพักกับข้าก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าอยู่ได้ทุกที่”

หนานกงสือเยวียน “เสี่ยวเป่าอยู่กับข้า ส่วนสองคนนั้นอยู่กับเจ้า”

สองพี่น้อง “…”

รู้หรอกว่าท่านรังเกียจพวกเรา แต่ท่านช่วยถนอมน้ำใจกันหน่อยจะได้หรือไม่

ผ่านการเดินทางไกลที่แสนยาวนานมาแล้ว ยามนี้เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ เอาแต่คิดถึงสิ่งเดียวกันก็คือนอนหลับให้สบาย

หนานกงฉีโม่ไม่รบกวนพวกเขา เพียงสั่งให้ทางห้องครัวเตรียมอาหารเย็นเพิ่ม

พวกเขาเดินทางไกลมาแปลกที่แปลกทาง ระหว่างเดินทางพวกเขาต้องนอนในกระโจม เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ แทบจำความรู้สึกยามนอนบนเตียงไม่ได้ ตอนนี้มีเตียงแล้ว ทุกคนจึงนอนหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้า

กระทั่งหัวค่ำ เสี่ยวเป่าบิดขี้เกียจหลังจากตื่นนอน ยอมให้เหล่านางกำนัลอาบน้ำแต่งตัวให้แต่โดยดี ก่อนจะวิ่งออกจากห้อง

“ท่านพ่อเล่า? พี่รองด้วย ไปที่ใดกันหมด”

ชุนสี่ “องค์หญิงช้าหน่อยเพคะ องค์ชายรองและคนอื่น ๆ ไปรอรับประทานอาหารเย็นที่ห้องโถงด้านหน้าแล้วเพคะ”

พอนางวิ่งไปที่ห้องโถงด้านหน้า เสี่ยวเป่าก็พบว่าท่านพ่อและพี่รองกำลังหารือเรื่องบางอย่าง

“ปัจจุบันเมืองหน้าด่านมีครัวเรือนที่ลงทะเบียนแล้วหกพันแปดร้อยครัวเรือน หนึ่งอำเภอมีประชากรมากกว่าสามหมื่นคน เดิมทีมีที่ดินทำกินมากกว่าสามหมื่นหมู่ ตอนนี้มีมากกว่าเจ็ดหมื่นหมู่ หากใช้วัวเทียมไถก็จะบุกเบิกพื้นที่รกร้างได้เร็วขึ้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อวัว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด