เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 52 กระหายอำนาจ

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 52 กระหายอำนาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 52 กระหายอำนาจ

บทที่ 52 กระหายอำนาจ

“เจ้าจงจำไว้ให้ขึ้นใจ ในวังหลวงหาได้มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง คนพวกนั้นล้วนเป็นศัตรูของเจ้า มีเพียงสกุลหลี่เท่านั้นที่จะหนุนหลังเจ้า และญาติของเจ้ามีเพียงคนสกุลหลี่เท่านั้น

เจ้าคือบุตรชายคนเดียวของข้า… หลี่เซียงอี๋! นับแต่นี้เจ้าต้องแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนั้นมาให้จงได้ แต่ไหนแต่ไรมาตำแหน่งรัชทายาทล้วนเป็นศึกแห่งสายเลือด หากเจ้าไม่สู้ จุดจบของเจ้าก็คือความตาย

 

หนานกงฉีโม่… เจ้าต้องเข้าใจเสียทีว่าที่นี่ไม่มีคำว่าพี่น้อง เพียงเชื่อใจพวกเขาคนใดคนหนึ่ง เจ้าก็จะไม่มีทางโงหัวขึ้นมาได้!”

 

หลี่เซียงอี๋ค่อย ๆ เช็ดเลือดที่ไหลลงมาเป็นสายจากใบหน้างามของบุตรชาย

“แม่รู้ว่าเจ้าไม่ใคร่ฟังเรื่องพวกนี้ แต่ทุกสิ่งที่แม่ทำก็เพื่อเจ้า เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้น ให้ฝ่าบาทเห็นความสามารถของเจ้า เจ้าจะด้อยกว่าบุตรชายของเซี่ยชิงหร่านไม่ได้ ห้ามด้อยกว่าคนไร้ค่าผู้นั้นเด็ดขาด…” 

นางพร่ำเพ้อไม่หยุด แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทหวังในอำนาจจนหวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง

นับตั้งแต่เข้าวังมา นางได้แต่เฝ้าริษยาเซี่ยชิงหร่านผู้เป็นหวงกุ้ยเฟยเพียงหนึ่งเดียว และอีกฝ่ายยังให้กำเนิดพระโอรสเป็นคนแรก ทั้งยังเติบโตมาเป็นองค์ชายที่โดดเด่น เมื่อบุตรชายของนางยังเป็นเด็กก็เอาแต่วิ่งตามหลังบุตรชายของเซี่ยชิงหร่านผู้นั้น

นางไม่มีวันยอมแพ้ บุตรชายของนางจะต้องได้ดีกว่าเท่านั้น!

“ไปท่องตำราเถอะ เรื่องสกุลหลี่ข้าจะไปพูดกับท่านลุงของเจ้าเอง เจ้าก็ควรเตรียมตัวเสียหน่อย พรุ่งนี้ต้องนำของขวัญไปปลอบใจหนานจู”

หนานกงฉีโม่มองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนจะหันหลังเดินจากไป โลหิตสีสดบนใบหน้าค่อย ๆ ไหลจากแก้มจนถึงคาง ทันทีที่เขาก้าวขาออกไป หยาดโลหิตสีสดพลันหยดลงสู่พื้น

หลี่เซียงอี๋นั่งบนเก้าอี้ไท่ชือ*[1]และมองแผ่นหลังของบุตรชายที่กำลังเดินจากไป “สั่งให้คนนำยาไปให้องค์ชายรอง”

“พระสนม ไยท่านต้องทำถึงเพียงนี้”  

แม่นมของหลี่เซียงอี๋หมดความอดทนที่เห็นนายตนเป็นถึงขนาดนี้ แต่พระสนมของตนทั้งหยิ่งยโสและชอบชิงดีชิงเด่นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเตือนอย่างไรนางก็ไม่ฟัง

หลี่เซียงอี๋สวนกลับว่า “เขาเป็นบุตรชายของข้า เขาต้องไม่ด้อยกว่าเจ้าคนไร้ค่าผู้นั้น!”

“แต่ท่านยิ่งทำเช่นนี้ มีแต่จะผลักองค์ชายรองให้ไกลออกไปนะเพคะ”  

“แต่ข้าไม่ได้บังคับเขา หากข้าไม่ช่วยปูทางให้เขา เจ้าจะให้ข้านั่งดูผู้อื่นคว้าตำแหน่งนั่นไปครองอย่างนั้นน่ะหรือ? กองทัพใหญ่ทางตอนเหนืออยู่ในมือบิดาของเซี่ยชิงหร่าน เขาจึงถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อฝ่าบาทยิ่ง เวลานี้นางคือสตรีที่มีเกียรติที่สุดในวังหลวง

แล้วข้าเล่า? เมื่อคราวที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ จวนเซวียนผิงโหวรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง มารดาของข้าเป็นถึงพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ก่อน ผู้ใดพบหน้าก็ต้องก้มหัวให้ ทว่าตอนนี้เล่า… หากไม่ใช่เพราะมารดาของข้าได้บังเอิญช่วยเหลือฝ่าบาทในตอนนั้น ไม่รู้ว่ายามนี้จวนเซวียนผิงโหวจะถูกย่ำยีอย่างไรบ้าง ข้าทนกับชีวิตเช่นนี้มามากพอแล้ว” 

มือเรียวสวยจิกลงบนที่วางแขนแรงขึ้น เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะลุกโชนในแววตา

รัชสมัยใหม่ ขุนนางใหม่*[2] จวนผิงเซวียนโหวที่เคยรุ่งเรืองในวันวาน ทว่าตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่เข้ามามีอำนาจ ผู้คนต่างรู้ดีว่าฝ่าบาททรงเกลียดฮ่องเต้องค์ก่อนมากเพียงใด แม้แต่มารดาของนางที่เป็นพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยังกลายเป็นที่รังเกียจ เป็นบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยง

แต่ก่อนนางย่างกรายไปที่ใดล้วนเป็นที่นับหน้าถือตา ทว่าตอนนี้นางกลับถูกคนชั้นต่ำพวกนั้นหัวเราะเยาะทั้งต่อหน้าและลับหลัง

นางผู้เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีจะแบกรับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร!? 

จวนเซวียนผิงโหวส่งนางเข้าวังหวังจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ทว่าแม้แต่ตำแหน่งกุ้ยเฟยที่นางมีอยู่ทุกวันนี้ได้มาก็เพราะมารดาของนางเอาบุญคุณครั้งเก่าไปร้องขอจากฝ่าบาทเพื่อให้ได้มา  

หลังจากองค์ชายรองประสูติ ฝ่าบาทก็ไม่เคยมาเหยียบตำหนักของนางอีกเลย แต่บุตรสาวแม่ทัพที่นางเคยดูถูกดูแคลนอย่างเซี่ยชิงหร่าน กลับกลายเป็นหวงกุ้ยเฟย ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด  

เซี่ยชิงหร่านเป็นเพียงบุตรสาวแม่ทัพ แต่กลับปีนขึ้นมาขี่คอนางได้ แล้วเช่นนี้จะให้นางยอมได้เยี่ยงไร!

หลี่เซียงอี๋ค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้างามของตนราวกับคนเสียสติ

“ชีวิตนี้ของข้าไม่ควรต้องเป็นเช่นนี้ โม่เอ๋อร์ไม่อาจเป็นคนใจอ่อนหรือมีเมตตาได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่เราพึ่งพาได้มีเพียงจวนเซวียนผิงโหว เขาจะต้องเข้าใจความเจ็บปวดของข้า แล้วก็เรื่องแต่งงาน…”

นางจะต้องหาสตรีที่สามารถส่งเสริมบุตรชายของนางได้

แม่นมมองนางเหมือนอยากจะพูดบางสิ่ง ทว่าสุดท้ายก็ถอนหายใจและไม่พูดสิ่งใดออกมา ยิ่งถูกขังในวังนี้นานเท่าใด พระสนมก็ยิ่งกระหายอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซ้ำยังมีท่าทีหวาดระแวงยิ่ง  

วันต่อมา ทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป หลี่เซียงอี๋คลุ้มคลั่งจนทุบเครื่องลายครามทั้งหมดในตำหนัก ก่อนจะวิ่งไปยังตำหนักขององค์ชายรองเหมือนคนเสียสติ

“เสด็จแม่”  

ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่านางจะมาหา หนานกงฉีโม่ถึงไม่แปลกใจเลยสักนิด เพียงยิ้มบาง ๆ ให้นางแทน  

หลี่เซียงอี๋ง้างมือตบหน้าบุตรชายเต็มแรง ดวงตาแดงก่ำจ้องเขาเขม็ง

“ท่านตาของเจ้าบอกข้าว่า เจ้าเอ่ยปากขอด้วยตัวเจ้าเองใช่หรือไม่!”  

หนานกงฉีโม่ไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้า เขายังมองนางพร้อมรอยยิ้มเหมือนเก่า  

“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”  

หลี่เซียงอี๋โมโหเลือดขึ้นหน้าง้างมือขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาคว้าข้อมือนางไว้ แววตาเขาเย็นชาจนน่ากลัว  

“เสด็จแม่ ระวังมือเจ็บพ่ะย่ะค่ะ”  

“เพราะเหตุใด! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดลงไป!”  

หนานกงฉีโม่ปล่อยมือผู้เป็นมารดาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าย่อมรู้ดี”

“ข้าว่าเจ้ากำลังรนหาที่ตาย หากข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าจะโตมาเป็นคนเช่นนี้ ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายตั้งแต่วันที่คลอดเจ้าออกมา!”  

หนานกงฉีโม่นิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้นท่านก็ฆ่าข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เถอะ”

 

เรื่องการเดินทางไปเมืองชายแดนของหนานกงฉีโม่นั้น เสี่ยวเป่าก็ได้ยินข่าวแล้วเช่นกัน 

“พี่รอง? พี่รองจะไปแล้วหรือ? แล้วเมืองชายแดนอยู่ที่ใด?”  

เจ้าก้อนแป้งกำลังถือบัวรดน้ำอันเล็กรดน้ำต้นเฉ่าเหมยเอ่ยถามชุนสี่เสียงใส  

ชุนสี่ตอบ “หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดเพคะ เพียงเคยได้ยินว่าหากขี่ม้าเร็วไปกลับก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน แต่องค์ชายรองไปคราวนี้จะต้องขนเสบียงและหญ้าไปด้วย จึงอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้นเพคะ

อีกทั้งไม่อาจรู้ได้ว่าระหว่างจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง อาจมีโจรปล้นเสบียงหรือเหตุไม่คาดคิดอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หากถูกโจรปล้น ตามปกติแล้วกองทัพใหญ่จะไม่เคลื่อนทัพมาช่วย”

เสี่ยวเป่าได้ยินชุนสี่พูดเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่พี่รองยังไม่ไปนางก็เริ่มเป็นกังวลเสียแล้ว

ใช้เวลาเดินทางนานถึงเพียงนั้น แล้วพี่รองจะนั่งรถม้าหรือขี่ม้าไปเอง เสี่ยวเป่าเคยนั่งรถม้ามาก่อน แค่สองวันยังรู้สึกอึดอัดมาก

ซ้ำยังมีอันตรายอีก!  

เสี่ยวเป่าต้องไปช่วยพี่รองแล้ว!  

แต่นางจะช่วยอะไรได้?  

คนตัวเล็กเม้มปากครุ่นคิด ทันใดนั้นสายตาก็ปะทะเข้ากับต้นเฉ่าเหมยของตน  

ต้องรีบไปหาพี่รองก่อน!  

เจ้าก้อนแป้งรีบร้อนพาตนเองไปหาพี่รอง ทว่าเดินไปสักพักถึงนึกขึ้นได้ว่าตนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่รองอยู่ที่ใด

เสี่ยวเป่าหันขวับไปถามชุนสี่ 

“ชุนสี่รู้หรือไม่ว่าพี่รองอยู่ที่ใด?”  

ชุนสี่พยักหน้า “หม่อมฉันจะพาองค์หญิงไปที่นั่นเองเพคะ”  

“ไปกันเถอะ!”  

เสี่ยวเป่าไม่เคยคิดเลยว่ามาหาพี่รองคราแรกจะต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ 

ทั่วทั้งตำหนักเงียบกริบจนน่ากลัว มีเพียงเหล่าขันทีและนางกำนัลที่พากันย่องเท้าเข้าออก ทุกคนต่างรีบเร่งนำข้าวของที่แตกเสียหายออกมาจากด้านใน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เสี่ยวเป่าเริ่มร้อนใจจึงรีบคว้าตัวขันทีผู้หนึ่งมาถาม  

ขันทีผู้นั้นกำลังรีบเดินออกไป พอถูกดึงตัวไว้ก็รีบก้มศีรษะและคุกเข่าลงทันทีที่เห็นว่าผู้ใดหยุดตน  

“กระหม่อมถวายพระพรองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ”

[1] เก้าอี้ไทชื่อ หมายถึง เก้าอี้ไม้โบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีที่วางแขน

[2] รัชสมัยใหม่ ขุนนางใหม่ หมายถึง เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ขุนนางเรืองอำนาจจะถูกแทนที่ด้วยขุนนางใหม่

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *