เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 72 ลมเปลี่ยนทิศ

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 72 ลมเปลี่ยนทิศ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 72 ลมเปลี่ยนทิศ

บทที่ 72 ลมเปลี่ยนทิศ

เพียงแต่… “ไม่มีผู้ใดทำเช่นนี้มาก่อน”

นับว่าน่ากังวลไม่น้อยเลย

ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เสี่ยวเถียนมั่นใจขนาดนี้ “มันต้องเป็นไปตามที่ผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยบอกแน่นอน”

ผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยผู้นั้นงดงามราวกับเทพธิดา ดังนั้นคำพูดของนางต้องไม่ผิดแน่นอน

ห้าครอบครัวมารวมตัวเพื่อปรึกษาหารือกัน ยิ่งได้ยินเด็กทั้งห้าคุยโม้เป็นน้ำไหลไฟดับ พวกผู้ใหญ่ก็ตกใจจนเถียงไม่ออก

สุดท้ายปลาพวกนั้นยังคงอยู่ในนาของพวกเขาต่อไป ทว่าพวกเขาก็ยังไม่วางใจจนต้องลุกลี้ลุกลนไปตรวจดูแปลงนาของตนเองทุกวัน และเฝ้าดูอยู่นานสองนานจนกว่าจะสบายใจ เพราะกลัวว่าปลาพวกนั้นจะทำให้ต้นกล้าเสียหาย

ชาวบ้านในหมู่บ้านบางคนรู้เรื่องเข้าก็พากันหัวเราะเยาะพวกเขา  

“ที่ไหนเขาทำกันเช่นนี้? ต้นกล้าจะต้องเสียหายเพราะปลาพวกนั้นเป็นแน่ อีกอย่างปลาเติบโตในนาได้จริงหรือ?”  

“นั่นคือการเลี้ยงปลาหรือ โอ้! สวรรค์ ผู้ใดเขาเลี้ยงปลากันเช่นนี้บ้าง?”  

ชาวบ้านเหล่านี้ทำนามาหลายชั่วอายุคน แต่ความรู้กลับมีจำกัด ทุกคนล้วนถูกปลูกฝังให้ทำตามวิธีการของคนรุ่นเก่า ไม่มีผู้ใดริเริ่มสิ่งใหม่เช่นนี้มาก่อน พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะลองหรือเชื่อในหนทางที่แตกต่างไปจากเดิม

ห้าครอบครัวที่ถูกหัวเราะเยาะรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสองวันต่อมาจุดเปลี่ยนของพวกเขาก็มาถึง 

เหตุผลก็คือมีคนเห็นว่าแปลงนาในนาหลวงได้ปล่อยปลาลงไปนาข้าวเช่นกัน ซ้ำแล้วปลาที่ปล่อยก็ไม่ใช่น้อย ๆ เสียด้วย

ทันทีที่เรื่องนี้รู้ถึงหูคนในหมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านก็ตกอยู่ในความโกลาหล

“ว่าอย่างไรนะ? เป็นความจริงแน่หรือ? ผู้สูงศักดิ์ปล่อยปลาในแปลงนาหลวงจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”  

“มะ…มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”  

“หรือว่าสิ่งที่ครอบครัวของเสี่ยวเถียนทำจะได้ผลจริง ๆ พวกเขารู้เรื่องนี้มาจากผู้สูงศักดิ์อย่างนั้นหรือ?”  

“หากเลี้ยงปลาได้จริง พอถึงยามเก็บเกี่ยวข้าวพวกเขาก็จะมีปลาตัวโต ๆ ไว้กินด้วยใช่หรือไม่?”  

“ข้าได้ยินมาว่าปลาพวกนั้นกินเพียงแมลงเท่านั้น หากมันกินแมลงในนาจริง เช่นนั้นมันก็เป็นผลดีต่อต้นกล้าด้วยสิ”  

“ผู้สูงศักดิ์ทำอย่างนี้ มันจะได้ผลแน่หรือ?”  

เสียงถกเถียงดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านกับผู้สูงศักดิ์นั้นมีความคิดที่แตกต่างกัน ในเมื่อผู้สูงศักดิ์กล้าปล่อยปลาในนาย่อมต้องมีเหตุผล!  

หลังจากเกิดประเด็นถกเถียงนี้ขึ้นมา ห้าครอบครัวที่เลี้ยงปลาในนาข้าวก็รู้สึกพอใจมาก พวกเขาเดินไปเดินมาเหมือนไก่ตัวใหญ่ตรวจตราอาณาเขตของตน 

“พวกเราก็ได้ยินกันแล้วไม่ใช่หรือว่านี่เป็นวิธีการจากผู้สูงศักดิ์ มันต้องได้ผลเป็นแน่”

“ใช่ ๆ เมื่อครู่ยังพูดว่าลูกเราล้อเล่นไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ลองไปดูสักหน่อยเล่า ต้นกล้าในนาของเรายังเติบโตได้ดี หมายความว่าปลาพวกนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายให้ทุ่งนาจริง ๆ ข้ายังเห็นว่าปลาเริ่มตัวโตขึ้นแล้วด้วย”  

คนพวกนี้พูดจาเหลวไหลอันใดกัน เพิ่งปล่อยไปไม่กี่วันเอง มันจะเปลี่ยนแปลงไปมากสักเพียงใดกัน?

พวกเขาแค่ลำพองใจหรือไม่ก็ต้องการโอ้อวด   

ในที่สุด พวกเขาก็พูดอย่างมีความสุขว่า “ถึงยามเก็บเกี่ยวข้าว เราก็จะได้กินปลาตัวใหญ่เนื้อแน่น ๆ” 

น่าปลื้มปริ่มที่สุด  

คนในหมู่บ้านต่างพากันอิจฉาตาร้อน บางคนก็หัวไวรีบไปที่แม่น้ำเพื่อจับปลาทันที

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะจับปลาในแม่น้ำ แต่ไม่ใช่ว่าจะจับกันได้ง่าย ๆ เพราะก่อนจะจับปลาได้ก็ต่อเมื่อสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยวหรือช่วงใกล้ถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

แต่ปลาที่เลี้ยงในนาของตัวเองหาได้เป็นเช่นนั้น เมื่อโตขึ้นมันก็ยังเป็นปลาของตน

ทุกวันนี้เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่หากินได้ยาก ปลาก็ถือเป็นอาหารจานใหญ่ 

แต่มาบัดนี้ ชาวบ้านใช้เวลาส่วนใหญ่พากันออกไปจับปลาตัวเล็ก ๆ มาปล่อยไว้ในแปลงนาของตนเอง พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวพวกเขาก็จะมีปลากิน วิธีดี ๆ เช่นนี้ผู้ใดไม่ทำตามก็โง่เต็มทนแล้ว

คนในหมู่บ้านต่างก็ทำตาม ๆ กัน พอมีเวลาว่างก็จะไปจับปลาที่แม่น้ำแล้วเอาไปปล่อยในนาข้าว  

เสี่ยวเถียนกับเด็ก ๆ อีกสี่คนเห็นว่าผู้คนพากันไปจับปลาที่แม่น้ำ พวกเขาก็ตระเวนโอ้อวดกับผู้คนทั่วทั้งหมู่บ้านว่าเขาได้เงินสามอีแปะ ลูกกวาดและขนมเกาลัดแสนอร่อยจากผู้สูงศักดิ์ เพราะได้ช่วยงานที่ผู้สูงศักดิ์มอบหมายให้

ตอนนี้อย่าว่าแต่พวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ยังอิจฉาพวกเขา  

เพราะน้อยใจในโชคชะตาที่ไม่ดลบันดาลให้พวกเขาได้พบกับเหล่าผู้สูงศักดิ์  

เสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ ไม่รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เพราะพวกเขากลับไปนานแล้ว  

หลังจากพำนักอยู่ที่นาหลวงเพียงสามวัน หนานกงสือเยวียนผู้เป็นโอรสมังกรสวรรค์มีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองที่ต้องจัดการมากมายมิวายเว้น เขาไม่อาจปล่อยให้เหล่าขุนนางต้องเป็นฝ่ายดั้นด้นเดินทางมาหาเขาที่นาหลวง 

ทุกคนจึงเก็บข้าวของเดินทางกลับพระราชวังกันหมดแล้ว 

เสี่ยวเป่าพาเจ้ากวางน้อยกลับไปด้วย เพราะตามหาแม่เจ้าตัวน้อยนี้ไม่พบ

เจ้าตัวน้อยยังไม่หย่านมแม่ หากหาแม่ของมันไม่พบแล้วทิ้งมันไว้บนภูเขา นั่นเท่ากับว่าทิ้งให้มันรอความตาย

เสี่ยวเป่าจึงอ้อนวอนท่านพ่อให้พาเจ้ากวางน้อยกลับมาด้วย  

ด้วยความหัวไวในเรื่องขี้ปะติ๋วของเสี่ยวเป่าจึงตั้งชื่อเจ้ากวางน้อยสีขาวว่า ‘เสี่ยวไป๋’ ตามสีตัว และนางก็พอใจกับชื่อที่ตนตั้งมาก  

“เสี่ยวไป๋ เราไปหาโร่วโร่วกันเถอะ!”  

หลังจากรดน้ำและส่งพลังวิญญาณให้ต้นเฉ่าเหมยในกระถางแล้ว เสี่ยวเป่าก็พาเจ้ากวางน้อยไปหาพี่ใหญ่

พี่ใหญ่พาโร่วโร่วกลับมาด้วย แถมตอนนี้มันยังอยู่ดีกินดีจนอ้วนพี  

เจ้ากวางน้อยปราดเปรียวราวกับสัตว์เทพ ซ้ำยังเชื่องมาก มันเดินตามก้นเสี่ยวเป่าไปทุกที่ กีบเท้าเล็ก ๆ ส่งเสียงดัง

พอคนตัวเล็กมาถึงตำหนักของพี่ใหญ่ กลับพบว่ามีคนมากมายกำลังเก็บข้าวของกันให้วุ่น

“พี่ใหญ่กำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ?”  

“โฮ่ง ๆ!”  

หนานกงฉีซิวยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าโร่วโร่วก็กระดิกหางดุ๊กดิ๊กพร้อมกับวิ่งลงบันไดขั้นเล็ก ๆ มาหานาง

“โร่วโร่วไปเล่นกับเสี่ยวไป๋ก่อนนะ เสี่ยวเป่าจะไปหาพี่ใหญ่”  

“โฮ่ง ๆ!”  

หนานกงฉีซิวเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “พี่ใหญ่กำลังจะออกจากวังไปสร้างจวนของตน จากนี้ไปยามใดที่เสี่ยวเป่าออกไปเล่นนอกวังก็ไปหาพี่ใหญ่ที่จวนได้”  

เสี่ยวเป่าเบิกตากว้าง “พี่ใหญ่จะไปจากที่นี่แล้วหรือ?”  

“อืม”  

เมื่อได้ยินพี่ชายตอบเช่นนั้น เสี่ยวเป่าพลันรู้สึกแย่ ปากเล็ก ๆ เริ่มเบะออก

“ไม่ไปได้หรือไม่ ต่อจากนี้เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้เจอพี่ใหญ่บ่อย ๆ แล้วสิ หากคิดถึงพี่ใหญ่ขึ้นมาเสี่ยวเป่าจะทำอย่างไร?”  

หนานกงฉีซิวยกนิ้วเรียวยาวเคาะจมูกกระจิริดของนางอย่างแผ่วเบา

“หากเสี่ยวเป่าคิดถึงพี่ใหญ่ก็ขอท่านพ่อออกไปเที่ยวเล่นนอกวังสิ พวกพี่ชายโตแล้วจึงต้องจากเสด็จพ่อเสด็จแม่ไปใช้ชีวิตลำพัง”  

เสี่ยวเป่าที่ยังทำใจไม่ได้ขยับเข้าไปถูไถแขนแกร่งอย่างออดอ้อน

“เช่นนั้นท่านพี่จะไปเมื่อใด?”  

หนานกงฉีซิว “พี่ใหญ่ต้องย้ายของชิ้นใหญ่ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกไปก่อน ยังพอมีเวลาประมาณครึ่งเดือน”  

เสี่ยวเป่ายกนิ้วน้อย ๆ ขึ้นมานับ “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะเตรียมของกำนัลให้พี่ใหญ่”

“เจ้าให้พี่ใหญ่แล้วนี่นา โร่วโร่วกับกล้วยไม้เขากวางอ่อนอย่างไรเล่า เสี่ยวเป่าให้พี่ใหญ่เป็นของกำนัลมิใช่หรือ?”  

ขอเพียงได้ยินชื่อตนแว่ว ๆ เจ้าโร่วโร่วก็วิ่งหน้าตั้งมาหาเสี่ยวเป่าด้วยอุ้งเท้าเล็ก ๆ ทั้งสี่ข้าง พร้อมหางที่ส่ายระรัวและเสียงเห่าที่บ่งบอกถึงความดีอกดีใจ ทิ้งให้เสี่ยวไป๋อยู่ตัวเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกา

เสี่ยวเป่าลูบหัวที่ปกคลุมด้วยขนนุ่มนิ่ม “ก็เสี่ยวเป่าอยากให้พี่ใหญ่นี่นา พี่รองก็ด้วย”

ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งดวงใจของหนานกงฉีซิว นางยังทำให้ผู้อื่นอบอุ่นใจได้เสมอสินะ

อีกไม่นานพี่ชายทั้งสองก็ต้องจากไปแล้ว เสี่ยวเป่าไม่อาจนิ่งเฉย นางกลับมาเร่งพืชพันธุ์ทั้งหลายของตนให้เติบโต เพราะรอไม่ไหวจึงใช้ทุกสิ่งที่ตนมีประเคนใส่พืชพันธุ์เหล่านั้น

ต้นเฉ่าเหมยเริ่มออกดอกแล้ว ผลของมันคงจะโตก่อนที่พี่รองจะออกเดินทาง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *