เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 86 อำนาจของเสี่ยวเป่า
บทที่ 86 อำนาจของเสี่ยวเป่า
บทที่ 86 อำนาจของเสี่ยวเป่า
ทันทีที่พวกเขามาถึงใต้ต้นไม้ ก็สบตาเข้ากับชายในชุดดำที่เล็งธนูมาจากมุมมืด
ชายคนนั้นปีติยินดียิ่ง แต่เมื่อเตรียมจะสังหารพวกเขา เขาพลันได้ยินเสียงหึ่ง ๆ จากข้างหู
สองชั่วอึดใจต่อมา
“อ๊ากกก!!!”
เสียงร้องอันน่าสังเวชดังมาจากทางต้นไม้ ชายชุดดำเหยียบเท้าลงบนอากาศ ทว่าเสียการทรงตัวตกลงมาจากต้นไม้ มือที่เพิ่งจะใช้ซุ่มโจมตีปัดป่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง พยายามไล่ผึ้งที่กำลังต่อยหน้าเขา
ซ้ำแล้วยังไม่ใช่ผึ้งธรรมดา แต่เป็นฝูงผึ้ง ทั้งยังเป็นผึ้งนักฆ่า!
เพียงแค่ได้ยินเสียงกรีดร้องและเห็นขนาดตัวผึ้งเหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด
เจ้าก้อนแป้งที่อยู่ใต้ต้นไม้โบกมือข้างหนึ่ง ภายในดวงตาสีดำขลับปรากฏแสงสีเขียวมรกต
“ต่อยแค่พวกคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำเท่านั้น!”
ภายใต้คำสั่งของเจ้าก้อนแป้ง ฝูงผึ้งบินออกไปพร้อมเสียงหึ่ง ๆ กลุ่มก้อนสีดำชวนให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรง
ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเดียวกันหรือศัตรู เมื่อได้เห็นเหล่าผึ้งตัวเท่าหัวแม่มือ ล้วนแล้วแต่แสดงสีหน้าหวาดกลัว การโดนรุมต่อยนับว่าน่ากลัวมากจริง ๆ
เหล่าทหารองครักษ์จากพระราชวังล้วนป้องกันศีรษะตัวเองไว้ตามจิตใต้สำนึก มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาในหู เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้คนหนาวสะท้านชาหนึบไปถึงหนังศีรษะ
ทว่า…ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับพวกเขาแม้แต่น้อย
องครักษ์จากพระราชวังต่างตกอยู่ในความฉงน พวกเขาค้นพบอย่างรวดเร็วว่าฝูงผึ้งบินผ่านพวกเขาไป ราวกับพุ่งเป้าหมายไปทางเหล่าศัตรู!
แม้นี่จะน่าอัศจรรย์จนเกินไป ทว่าพวกเขาก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ถึงจะประหลาดใจ แต่ก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว หยิบอาวุธขึ้นมาฟันศัตรูทันที
ฉวยโอกาสในจังหวะนี้สังหารคน!
เหล่าคนที่กำลังล้อมหนานกงสือเยวียนไว้น่าสังเวชยิ่งกว่า พวกเขาต่างถูกฝูงผึ้งรุมต่อยศีรษะอย่างดุเดือด ทำได้เพียงกุมหัววิ่งหนีพร้อมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
สำหรับมนุษย์แล้ว ผึ้งนั้นตัวเล็กทั้งยังบินได้ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ซ้ำแล้วเหล็กในยังสามารถทำให้คนถึงตายได้ ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจสังหารผึ้งทุกตัวได้
“ถอย!”
สุดท้ายผู้นำกลุ่มก็ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด เหล่ามือสังหารทั้งหมดจึงหนีไปด้วยความทุลักทุเล
หนานกงสือเยวียนมองดูด้วยสายตาเย็นชา “สังหารพวกมันทั้งหมด”
“ฝ่าบาท จะไม่เหลือคนไว้สอบปากคำหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ดวงตาของหนานกงสือเยวียนทอประกายเย็นเยียบ “สังหารให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาถือกระบี่หันไปมองทางเสี่ยวเป่า บรรยากาศนองเลือดรอบกายยังคงไม่ลดลง กระบี่เปื้อนโลหิตยังคงถือเอาไว้ในมือ ไม่ว่ามองอย่างไรภาพนี้ก็ชวนให้ผู้คนตื่นตัวเป็นอย่างมาก
ทว่าเสี่ยวเป่าก็ยังวิ่งเข้ามากอดเขาไว้ทั้งน้ำตา
“ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เสี่ยวเป่ากลัวมากเลย ฮือออ…”
หนานกงสือเยวียนทิ้งกระบี่ในมือ ก่อนจะก้มลงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
เสี่ยวเป่ารีบประคองใบหน้าของเขาทันที เพราะเห็นว่าบนใบหน้าของท่านพ่อมีเลือดสีแดงติดอยู่ นางจึงอดตกใจกลัวไม่ได้
“ท่านพ่อมีเลือดเยอะมากเลย”
หนานกงสือเยวียนตบปลอบคนในอ้อมกอด กล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “ล้วนเป็นเลือดผู้อื่นทั้งสิ้น”
เสี่ยวเป่าถามต่อ “แล้วท่านพ่อบาดเจ็บหรือไม่เพคะ?”
หนานกงสือเยวียนมองเข้าไปในดวงตาของนาง จึงพบว่าเด็กน้อยกลัวจริง ๆ แต่ไม่ได้กลัวที่เขาสังหารคน ทว่ากลัวเขาได้รับบาดเจ็บ
หัวใจของคนเป็นพ่อพลันอุ่นวาบ กอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม
“บิดาของเจ้าสบายดี”
ทว่าเสี่ยวเป่าก็เห็นบาดแผลด้านหลังบริเวณที่สะบักไหล่ของเขา หัวใจดวงน้อยพลันเจ็บปวดเสียจนน้ำตาไหล แต่ปากน้อย ๆ ก็เป่าลมออกมาไม่หยุด
“ท่านพ่อ ไม่เจ็บนะ เสี่ยวเป่าเป่าฟู่ ๆ ให้ท่านพ่อไม่เจ็บแล้ว”
เสียงของเจ้าก้อนแป้งติดสะอื้นไห้ เห็นได้ชัดว่าตัวเองยังกลัวแทบตาย แต่ก็ยังคงปลอบท่านพ่อเหมือนเขาเป็นเพียงเด็กตัวน้อย
หนานกงสือเยวียนลูบหลังนางอย่างอับจนหนทาง เขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตเช่นนี้มานานแล้ว มีเพียงแค่ครั้งนี้ที่ภายในใจของเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
ไม่ใช่ความกลัวตาย แต่กลัวว่าชีวิตน้อย ๆ ในอ้อมแขนจะเป็นอะไรไป
เขาเห็นเสี่ยวเป่าถูกซุ่มโจมตีระหว่างถูกล้อมเอาไว้ ความชิงชังของเขาปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับเอาไว้ได้ ทำให้สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ
มือสังหารชุดดำทั้งหมดถูกสังหารสิ้น เหล่าฝูงผึ้งก็บินกลับไปยังรังเมื่อไม่พบเป้าหมาย
ทุกคนที่ได้เห็นฉากอันน่าอัศจรรค์ต่างอดประหลาดใจไม่ได้
ผู้ไม่รู้สถานการณ์ต่างพากันถอนหายใจออกมา “สวรรค์ หรือว่าบารมีของฝ่าบาทจะยิ่งใหญ่ไพศาล กระทั่งเหล่าฝูงผึ้งยังมาช่วยเหลือพวกเรา!”
มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่รู้ว่านี่ไม่ใช่บารมีของฮ่องเต้อะไรทั้งนั้น แต่เป็นอำนาจของเจ้าก้อนแป้งตัวน้อย
เจ้าอาวาสฮุ่ยเยวี่ยนไม่เอ่ยอะไร เขาเห็นเต็มตาว่าเสี่ยวเป่าเป็นคนออกคำสั่งฝูงผึ้งด้วยตนเอง
นักพรตเสวียนจีเองก็เห็นพลังที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณรอบตัวของเสี่ยวเป่า อีกทั้งนางพญาผึ้งของรังที่ตัวใหญ่และดุร้ายที่สุดก็ยังคงเกาะอยู่บนหัวของเด็กน้อยไม่ยอมจากไป
ส่วนหนานกงสือเยวียนนั้น เขาคาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าธิดาของเขาต้องไม่ธรรมดา
เจ้าอาวาสฮุ่ยเยวี่ยนใส่ยาให้กับหนานกงสือเยวียน ขณะที่เสี่ยวเป่ามองดูอย่างตั้งใจจากทางด้านข้าง และร้องออกมาเบา ๆ เพราะกลัวว่าท่านพ่อจะเจ็บ
ความกังวลและเจ็บปวดใจทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ยับย่น หากใครไม่รู้เกรงว่าจะเข้าใจผิดว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจะเป็นนางเสียเอง
ทว่าบาดแผลที่ทำให้เสี่ยวเป่าเป็นกังวล สำหรับหนานกงสือเยวียนแล้วราวกับไม่มีอยู่จริง เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วระหว่างการใส่ยาด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่บาดแผลเช่นนี้ไม่อาจเทียบอะไรได้กับอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากสนามรบ
แม้เขาในอดีตจะถูกแทงก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ นับประสาอะไรกับแผลตื้น ๆ เช่นนี้
เสี่ยวไป๋ออกมาจากซากปรักหักพัง ก่อนจะเดินตัวสั่นไปอยู่ทางด้านข้างของเสี่ยวเป่า เห็นได้ว่ามันเองก็ตกใจกลัวไม่น้อย
ยังดีที่คนเหล่านั้นพุ่งเป้ามาที่หนานกงสือเยวียนกับนาง ดังนั้นเจ้ากวางน้อยจึงไม่ถูกโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว
เสี่ยวเป่าที่ยังคงหวาดกลัวอยู่กอดเสี่ยวไป๋เอาไว้ ดวงตาจับจ้องไปที่ท่านพ่อไม่ละจาก ใบหน้าเล็ก ๆ ซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
เพราะกังวลว่าเด็กน้อยจะตื่นตกใจเกินไป อีกทั้งท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีแล้ว หนานกงสือเยวียนจึงตัดสินใจพักอยู่ที่วัดต้ากั๋ว
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเป่าต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ เนื่องจากกลัวว่ายามตกกลางคืนนางจะต้องเผชิญกับฝันร้าย ดังนั้นเจ้าอาวาสจึงพาเด็กน้อยไปที่ห้องพระ ให้พระหลายองค์สวดมนต์รอบกายนาง
ณ ห้องปีกข้าง หนานกงสือเยวียนกำลังเปลือยท่อนบน โดยมีผ้าพันแผลรอบไหล่ทางขวา
เทียนในห้องวูบไหวส่องให้เห็นกล้ามเนื้อแน่นตึง ไหล่กว้าง เอวสอบและกล้ามเนื้อหกลูกบริเวณท้องอย่างชัดเจน
ทว่าทั้งด้านหน้าและแผ่นหลังของเขาล้วนเต็มไปด้วยแผลเป็นมากมาย โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นแผลที่เกิดจากของมีคม
แผลเป็นที่มองดูแล้วน่าเกลียด เมื่ออยู่บนร่างของเขากลับงดงามไปอีกแบบ
หนานกงสือเยวียนปรายตามองไปยังจุดที่พันด้วยผ้าพันแผลเอาไว้ ก่อนจะแต่งตัวให้เรียบร้อย
“เข้ามา”
เสียงของเขาสงบนิ่งไม่แยแส และไม่มีร่องรอยของอารมณ์อยู่ภายในนั้น
องครักษ์เงาในหน้ากากผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านในห้องอย่างไร้สุ้มเสียง
“ฝ่าบาท เรื่องราวทุกอย่างล้วนจัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนส่งเสียงอืมออกมาหนึ่งครั้ง “ตรวจสอบพวกทหารองครักษ์ทั้งหมด”
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตรวจสอบเพียงเพราะความเบื่อหน่าย จึงเหลือคนเอาไว้เล่นกับตัวเอง การได้สังหารคนบ้างเป็นครั้งคราวนับว่าคลายความหน่ายได้ไม่เลว
แต่ตอนนี้เสี่ยวเป่าเกือบได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นสักคนก็ไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์เงาในหน้ากากจากไปอย่างเงียบงัน ทว่าคืนนี้คงมีหลายคนที่ไม่อาจข่มตาหลับได้
เสี่ยวเป่าที่ในหัวเต็มไปด้วยคำสวดกลับมาหาท่านพ่อด้วยความมึนงง
เสี่ยวไป๋ที่ถูกพาไปฟังบทสวดด้วยก็มีท่าทางมึนงงเช่นเดียวกับนาง
ทั้งสองก้าวเดินด้วยความรู้สึกเบาหวิว
Comments