เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 87 ยังนับว่ารู้ตัวดี
บทที่ 87 ยังนับว่ารู้ตัวดี
บทที่ 87 ยังนับว่ารู้ตัวดี
สุดท้ายก็มาถึงห้องที่ท่านพ่ออยู่
เสี่ยวเป่าปรับสีหน้าเป็นปกติและวิ่งเข้าไปในทันที
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่ากลับมาแล้ว!”
เสี่ยวไป๋ใช้กีบเท้าน้อย ๆ เดินตามหลังนางไป ทว่ามันไม่กล้าพุ่งพรวดเข้าไป จึงชะเง้อเข้าไปสำรวจสถานการณ์ก่อน
เมื่อสบตากับดวงตาสีดำของมนุษย์ที่ดุร้ายบนเตียง เสี่ยวไป๋ก็รีบหดหัวกลับไปทันทีด้วยความตกใจ
เข้าไปไม่ได้ เข้าไปไม่ได้ กวางน้อยตกใจจะตายแล้ว
หลังจากวิ่งเข้าไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้กระโดดใส่ท่านพ่อเหมือนยามปกติ แต่นั่งลงด้านข้างเขาด้วยความระมัดระวัง
“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ยังเจ็บอยู่หรือไม่? หิวน้ำหรือไม่…”
เด็กน้อยเอ่ยคำถามออกมาไม่รู้มากเท่าใด หนานกงสือเยวียนเอื้อมมือมาบีบแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของนาง
ปากเล็กถูกบีบจนเสี่ยวเป่าไม่อาจพูดต่อได้ นางจึงทำได้เพียงใช้ดวงตาใสกระจ่างจับจ้องท่านพ่อ
หนานกงสือเยวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นเคย “ไม่เจ็บ ไม่หิว”
“เช่นนั้น…เช่นนั้น วันนี้เสี่ยวเป่านอนกับท่านพ่อได้หรือไม่เพคะ?”
“ไม่ได้ ข้าจะนอนกับท่านพ่อไม่ได้!” พูดจบแล้วนางก็เอ่ยปฏิเสธตนเองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเปี่ยมทุกข์
หนานกงสือเยวียนชะงัก ก่อนจะค่อย ๆ เงยขึ้นมองเจ้าก้อนแป้งที่มีสีหน้ายุ่งยากใจ
“เพราะเหตุใด?”
เสี่ยวเป่าเกาแก้มตัวเองด้วยความเอียงอาย “สะ…เสี่ยวเป่านอนไม่ค่อยเรียบร้อย”
ยังนับว่ารู้ตัวดี
ทว่า…
หนานกงสือเยวียนในตอนนี้ไม่รู้ว่าการที่มีเด็กมานอนทับแผลหรือการนอนไม่หลับนั้น อันไหนร้ายแรงกว่ากัน
“ตะ…แต่เสี่ยวเป่าก็ยังอยากนอนกับท่านพ่อ”
เสี่ยวเป่าออกแรงปีนขึ้นไปบนเตียง “ท่านพ่อขยับเข้าไปหน่อย เสี่ยวเป่าจะนอนด้านนอก เช่นนั้นแล้วเมื่อเสี่ยวเป่าดิ้นจะได้กลิ้งตกเตียงไม่มาทับท่านพ่อ!”
นางเฉลียวฉลาดจริง ๆ!
หนานกงสือเยวียน “…”
ริมฝีปากของคนเป็นพ่อกระตุกวูบ ขณะที่คิดจะลูบหัวของนาง สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับผึ้งตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนหัวนางอย่างเงียบงัน
หนานกงสือเยวียน ‘…ยังไม่ไปอีกหรือ?’
“เจ้าคิดจะปล่อยมันไว้เช่นนี้หรือ?”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงเอ๊ะออกมาด้วยความฉงน แต่เมื่อเห็นท่านพ่อมองมาบนหัวของตนเองแล้ว ก็ยกมือขึ้นไปแตะโดยสัญชาตญาณ หลังจากนั้นจึงสัมผัสได้ถึงผึ้งตัวหนึ่ง
มันมีขนาดใหญ่มาก ตัวใหญ่เท่าหัวแม่มือของท่านพ่อ มองเห็นได้อย่างชัดเจนบนฝ่ามือของนาง
“เอ๋? เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ?”
ผึ้งตัวนั้นกระพือปีกภายใต้สายตาของสองพ่อลูก ก่อนจะบินจากฝ่ามือนางออกไปทางด้านนอกหน้าต่าง
เสี่ยวเป่ามองไปทางท่านพ่อด้วยความประหม่าเล็กน้อย นิ้วจิ้มกันไปมารอการซักถามของท่านพ่อ
“นอนเถิด”
หนานกงสือเยวียนไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด ทำเพียงปัดผมที่กระดกขึ้นมาของนางให้ลงไป
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกาย เฉกเช่นดวงดาราที่เปล่งประกายยามค่ำคืน นางรีบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ หลีกเลี่ยงบริเวณที่บาดเจ็บด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเห็นผ้าพันแผลสีขาวบนไหล่ของท่านพ่อ ก็ทำให้ยิ่งคิดยิ่งโมโห ขาอวบของเด็กน้อยเตะไปมาพร้อมพึมพำออกมาอย่างดุดัน
“คนเลว พวกคนเลว เหตุใดจึงมีพวกคนเลวเยอะถึงเพียงนี้!”
นางได้ยินหมดแล้ว คนเลวเหล่านั้นล้วนมาเพื่อสังหารท่านพ่อ
แววตาของหนานกงสือเยวียนวูบไหว
“เหตุใดเจ้าจึงแน่ใจว่าพวกเขาเป็นคนเลว ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนเลว?”
เสี่ยวเป่ากล่าวออกมาอย่างไม่ต้องคิด “ท่านพ่อไม่ใช่คนเลว ท่านพ่อดีที่สุด”
หนานกงสือเยวียนลูกหัวเล็ก ๆ ของนาง “นอนเถิด”
คืนนี้หนานกงสือเยวียนนอนหลับไม่สนิท เนื่องจากในใจของเขาพะวงแต่เรื่องของเสี่ยวเป่า
เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นภาพเช่นนี้ แม้ท่านเจ้าอาวาสฮุ้ยเยวี่ยนจะพานางไปสวดมนต์ขับไล่ความเลวร้าย ทว่าเขาก็ยังคงเป็นห่วง
เป็นดั่งที่คาดไว้ เมื่อผ่านไปค่อนคืนเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มสั่นเทา
หนานกงสือเยวียนตื่นขึ้นมาเพราะเสี่ยวเป่าละเมอร้องหา ใบหน้าน้อย ๆ ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาซีดเซียวและเต็มไปด้วยเหงื่อภายใต้แสงจันทร์
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
เสี่ยวเป่าฝันร้าย นางฝันว่ามีคนเลวจำนวนมากมาสังหารท่านพ่อ แต่นางกลับไม่อาจช่วยสิ่งใดได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองท่านพ่อได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อง ๆ ร่างเต็มไปด้วยเลือดทุกหนแห่ง
“ท่านพ่อ ท่านพ่ออย่าตายนะ”
เสื้อของหนานกงสือเยวียนถูกเสี่ยวเป่าที่ฝันร้ายกำเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาไหลออกมาอาบใบหน้า
“พ่ออยู่นี่ ไม่ต้องกลัวไป”
หนานกงสือเยวียนกอดเด็กน้อย วางคางไว้บนศีรษะของนางแล้วเอ่ยปลอบอย่างเสียงอ่อน ขณะที่มือก็ตบหลังของนาง
เขาคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ทำให้เสี่ยวเป่าหวาดกลัวจะไม่ใช่คนตายและเลือด แต่คือการที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ดวงตาสีดำล้ำลึกของหนานกงสือเยวียนก็อ่อนลงเป็นอย่างมากภายใต้แสงจันทร์
เสี่ยวเป่าที่ได้รับการปลอบประโลมสงบลงอย่างรวดเร็ว นางขยับตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านพ่อ จมูกเล็ก ๆ ขยับไปมา เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็นิ่งและหลับสนิท เพียงแต่มือยังคงกำเสื้อของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
รุ่งเช้าวันถัดมา เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนจะพบว่าตนเองไม่ได้ตื่นขึ้นมาบนพื้น
นางนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเรียกท่านพ่อด้วยสีหน้าตื่นเต้นปนประหลาดใจ
“ท่านพ่อดูสิ เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นมาบนเตียง!”
หนานกงสือเยวียนผู้คว้าร่างของนางเอาไว้ถึงสามครั้งในครึ่งคืนหลัง “…”
เดิมที นึกว่านางจับเสื้อของเขาไว้แน่นเพียงนี้แล้วจะไม่กลิ้งไปมา แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่ายามใกล้รุ่งสาง นางจะกลับมามีพฤติกรรมการนอนเช่นเดิม!
ม่านหมอกในช่วงรุ่งสางยังคงไม่จางหายไปอย่างสมบูรณ์ แต่เสี่ยวเป่าก็ยังได้ยินเสียงฝึกมวยดังอยู่ราง ๆ
คนในวัดต้ากั๋วล้วนตื่นแต่เช้า ไม่เพียงเพื่อฝึกฝนการต่อสู้ แต่หลังจากนั้นยังมีการสวดมนต์ยามเช้า
ทันทีที่เสี่ยวเป่าเปิดประตูออกไป เสี่ยวไป๋ก็ย่ำกีบเท้าน้อย ๆ เข้ามาหา
เสี่ยวไป๋ที่เดินเข้ามาหาท่ามกลางม่านเมฆหมอก แลดูคล้ายกับกวางเซียนอยู่บ้าง
“เสี่ยวไป๋ เมื่อคืนเจ้าไปนอนที่ใดมา?”
เจ้าก้อนแป้งรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย ความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่ที่ท่านพ่อทำให้นางหลงลืมสหายตัวน้อยของตนเองไป
“น่าสงสาร น่าสงสาร หากไม่ใช่เพราะมีคนรับมันกลับไปด้วย เกรงว่ามันจะต้องนอนตัวแข็งอยู่ด้านนอกทั้งคืน”
นักพรตเสวียนจีเดินถือเหยือกสุรา ร่างกายโซเซไปมา ดูจากกลิ่นสุราบนตัวแล้วคงจะดื่มลงไปไม่ใช่น้อย
เสี่ยวเป่าบีบจมูกแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงอู้อี้
“เหม็นมาก”
นักพรตเสวียนจีมองไปที่นางอย่างขุ่นเคือง “เจ้าจะเข้าใจสิ่งใด กลิ่นสุราบนกายข้าล้วนหอมยิ่ง! กลิ่นหอมสุรา เจ้าเข้าใจหรือไม่!”
เสี่ยวเป่าตะโกนออกมา “เสี่ยวเป่าไม่ใช่เด็กสองขวบนะ รู้ว่ากลิ่นใดหอมกลิ่นใดเหม็น นี่คือกลิ่นเหม็น ใช่หรือไม่เสี่ยวไป๋”
แน่นอนว่าเจ้าลูกกวางขาวย่อมสนับสนุนเสี่ยวเป่า พยักหน้าเห็นด้วยในทันที
นักพรตเสวียนจีชี้นิ้วสั่นเทาไปที่พวกเขา “พวกเจ้า พวกเจ้ารวมหัวกันรังแกคนแก่!”
เสี่ยวเป่าเอ่ย “เช่นนั้นหลังจากนี้ท่านต้องไม่ดื่มสุราอีก สุราดื่มแล้วเหม็นทั้งยังไม่ดีต่อร่างกายด้วย”
“ไม่ได้ สุราคือชีวิตของข้า!”
หนึ่งคนแก่และหนึ่งเด็กเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง หนานกงสือเยวียนที่อยู่ด้านในห้องยกมือขึ้นจับดั้งจมูกของตนเอง
ทันใดนั้น ผึ้งตัวหนึ่งก็กระพือปีกมาอยู่บนผมของเสี่ยวเป่า
นักพรตเสวียนจีเอ่ยออกมา “เจ้าผึ้งน้อยนี่ ไม่ใช่ว่าจะใช้หัวของเจ้าทำเป็นรังหรอกนะ”
แม้กระทั่งองครักษ์ที่เฝ้าประตูอยู่ก็อดหันไปมองบนหัวของเสี่ยวเป่าไม่ได้
เมื่อวานพวกเขาได้สัมผัสกับฤทธิ์เดชของผึ้งเหล่านี้ด้วยตนเองไปแล้ว
เสี่ยวเป่าส่ายหัว ก่อนเอ่ยออกมาว่า “สวัสดี”
เพราะความช่วยเหลือเมื่อวาน เสี่ยวเป่าจึงยินดีต้อนรับสหายตัวน้อยเป็นอย่างมาก ทั้งยังปล่อยพลังวิญญาณออกมาหล่อเลี้ยงมัน
สิ่งนี้ทำให้ผึ้งตัวนี้ไม่เต็มใจที่จะจากไปยิ่งกว่าเดิม
Comments