เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 459 คิดอะไรไม่ออกให้บอกท่านพ่อ
บทที่ 459 คิดอะไรไม่ออกให้บอกท่านพ่อ
บทที่ 459 คิดอะไรไม่ออกให้บอกท่านพ่อ
เรื่องนี้จำต้องหารือกับท่านพ่อ เพราะนางพบว่าแหล่งจ่ายน้ำนมที่ตนเลี้ยงไว้นั้นยังห่างไกลที่จะทำนมผงได้เพียงพอ
คิดอะไรไม่ออกให้บอกท่านพ่อ~
จริงสิ พาเจ้าเสือน้อยสามตัวไปให้ท่านพ่อกับท่านพี่ดูด้วยดีกว่า เรื่องนี้ห้ามลืมเด็ดขาด
ไหน ๆ แล้วก็ขอพูดหน่อย เฮยอู๋ฉางกับไป๋อู๋ฉางทำตัวแย่มากในฐานะที่เป็นพ่อแท้ ๆ ของลูกเสือทั้งสาม
ตั้งแต่พากลับมาก็ไม่เคยมาเลี้ยงดู ตอนที่เสี่ยวเป่าวางพวกลูกเสือไว้ข้างตัวพวกมันหวังจะให้มันทั้งคู่เลี้ยงลูก แต่เสือสองตัวกลับมองดูตัวเองในขนาดย่อส่วนด้วยสายตารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็ปฏิเสธที่จะเลี้ยงลูกน้อยอย่างแข็งขันโดยการผลักพวกมันออกไป
ทำเอาเสี่ยวเป่าโกรธจนให้อาหารพวกมันน้อยกว่าปกติ
ทว่าพวกมันเป็นนักล่าชั้นยอด ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเจ้าเสือมิได้หวาดกลัวแต่อย่างใดด้วยเพราะตัวมันก็มีเงินเก็บ วันนั้นมันจึงนำเงินไปซื้อเนื้อในตลาดกินด้วยตัวเองได้
“พ่อก็ไม่รัก แม่ก็ทอดทิ้ง เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสาร”
เสี่ยวเป่าลูบเจ้าตัวนุ่มนิ่มทั้งสาม ปากบอกน่าสงสาร แต่ได้ลูบ ๆ ถู ๆ ลูกเสือตัวน้อยแบบนี้รู้สึกดีสุด ๆ ไปเลย!
“แต่ไม่เป็นไรนะ ต่อไปนี้เสี่ยวเป่าจะรักและดูแลพวกเจ้าเอง”
เสี่ยวเป่าหยิบตะกร้าที่เตรียมไว้ ด้านในมีเบาะนุ่มสบายอันน้อย โดยมีเตาอุ่นมือขนาดเล็กกำลังพอดีวางไว้ข้างใต้ทั้งสองด้าน
ข้างในเบาะยัดไส้ด้วยดอกฝ้ายนุ่มนิ่มเบาสบายทีเดียว
จากนั้นก็วางเจ้าตัวน้อยลงไปทีละตัวอย่างเป็นระเบียบ
ลูกเสือเพิ่งดื่มนมแพะเข้าไป พุงของพวกมันยังคงกลมป่อง บัดนี้นอนนิ่งให้เสี่ยวเป่าเล่นสนุกได้ตามใจ จากนั้นก็นอนคว่ำหน้าผล็อยหลับไป
เสี่ยวเป่าค่อย ๆ ถือตะกร้าอย่างเบามือ
ลูกเสือตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกตัวไม่หนักเลยสักนิด นางถือได้สามตัวสบายมาก!
“ข้าไปล่ะ พวกเจ้าจะไปด้วยหรือไม่”
สิ้นเสียงตะโกน เสือยักษ์สองตัวก็วิ่งออกมาจากสวนด้านหลัง
พ่อนิสัยเสียสองตัวที่ทิ้งลูกให้นางเลี้ยงโดยไม่แยแส!
“ฮึ ๆ”
เสี่ยวเป่ามองพวกมันพร้อมกับส่งเสียงฮึ
เฮยไป๋อู๋ฉางกระดิกหูไปมาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
พวกมันไม่มีทางยอมเลี้ยงลูกอย่างเด็ดขาด
เสี่ยวเป่าสวมเสื้อคลุมกันลมและขึ้นนั่งบนรถม้าทันทีที่ออกจากบ้าน โดยมีเฮยไป๋อู๋ฉางเดินตามมาบนถนนอย่างเอื่อยเฉื่อย
เมื่อเทียบกับฤดูร้อนที่แสนอบอ้าว เจ้าเสือขนหนาอย่างพวกมันดูจะชอบอากาศหนาวมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทางกระปรี้กระเปร่าทีเดียว
ไม่นานก็มาถึงค่ายทหาร หลังจากที่ตรวจสอบรถม้าแล้วก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน
“แกว๊ก!”
วิหคเทวะที่ยืนเฝ้าอยู่บนหอสังเกตการณ์ส่งเสียงร้องทันทีที่เห็นรถม้าของเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าแหวกม่านรถม้าออกมาทักทายพวกมัน
มีนกนักล่าสองตัวบนหอสังเกตการณ์ แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่รอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของพวกมัน
ช่วงที่สงครามอยู่ในสภาวะตึงเครียดก่อนหน้านี้ พวกซยงหนูคิดจะลอบเข้ามากลางดึก แต่ก็ถูกนกนักล่าพวกนี้พบเข้า
บรรดานกนักล่าที่ทำหลายงานได้รับค่าจ้างมากกว่าทหารหลายคน มิหนำซ้ำยังได้กินเนื้อทุกวัน
แต่ก็ไม่มีผู้ใดในค่ายทหารพูดอะไร
วิหคเทวะสองตัวบินตรงเข้ามากินเนื้อที่เสี่ยวเป่าป้อนให้ จากนั้นก็คลอเคลียฝ่ามือเสี่ยวเป่าอย่างรักใคร่และบินกลับไปที่เดิม
เมื่อรถม้าเคลื่อนไปไกล พลทหารที่ยืนเฝ้าบนหอสังเกตการณ์เช่นเดียวกันก็พูดด้วยความอิจฉา “พรรคพวก องค์หญิงมาทีไรก็มีเนื้อมาให้พวกเจ้าทุกครั้ง นางช่างดีกับพวกเจ้าจริง ๆ”
“กรู้ว ๆ”
แน่นอนว่าองค์หญิงดีกับพวกมัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือมีตัวแย่งความรักมากเกินไป
อีกด้านหนึ่ง หลังลงจากรถม้า เสี่ยวเป่าก็ถูกพาไปยังกระโจมของท่านพ่อ ทว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
เสี่ยวเป่านั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก พร้อมกับวางตะกร้าที่ใส่ลูกเสือน้อยทั้งสามตัวด้วยความระมัดระวัง
ทั้งสามตัวทำเพียงแค่กินแล้วก็นอน ทั้งยังหลับไม่ตื่นตลอดการเดินทาง
ผิวหนังยังคงมีสีชมพูเล็กน้อยโดยมีขนปุกปุยปกคลุมบาง ๆ บนร่างกาย ดูจ้ำม่ำน่ารัก เสี่ยวเป่านั่งเท้าคางมองพวกมันอยู่นานทีเดียว
จากนั้นก็ถูกเจ้าเสือยักษ์ทั้งสองตะปบเข้าที่ขา
พวกมันไม่แม้แต่จะชำเลืองมองลูกเสือทั้งสามตัวด้วยซ้ำ
เสี่ยวเป่าจึงหยิกหูพวกมันเป็นการสั่งสอน
“พวกเจ้าเห็นว่าเสือตัวอื่นทำนิสัยไม่ดีได้ จึงเอาเป็นเยี่ยงอย่างไม่ได้นะ พวกมันเป็นลูกของเจ้า ต้องรู้จักทำตัวเป็นพ่อที่ดี ภายภาคหน้าจะได้ไม่ถูกพวกเสือสาวรังเกียจเอา”
เฮยอู๋ฉางและไป๋อู๋ฉางใช้หัวดันขาของนาง ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง
เสี่ยวเป่าดึงขนบนตัวของพวกมัน
มีขนร่วงติดมือมาด้วยเล็กน้อย
รู้สึกหวั่นใจนิดหน่อย หากท่านพ่อรู้เข้าคงไม่ชอบใจเป็นแน่
ไม่ทันขาดคำท่านพ่อก็เข้ามาพอดี
หนานกงสือเยวียนแต่งกายในชุดสีดำดูเยือกเย็น เนื่องจากรูปร่างที่สูงโปร่ง ประกอบกับความน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความกดดันราวกับถูกเหยียดหยามอยู่ร่ำไป
ที่ด้านหลังของเขามีบรรดาลูกชายติดตามมาด้วย
ทั้งหมดสวมเสื้อคลุม เพราะเมืองหน้าด่านใกล้เข้าฤดูหนาวจึงมีลมพัดแรง
“ท่านพ่อ พี่รอง พี่สี่ พี่ห้า~”
ทันทีที่เสี่ยวเป่าเห็นทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปหาและกอดขาท่านพ่อพร้อมกับประจบประแจงอย่างที่ทำเป็นประจำ
“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อ วันนี้ท่านพ่อดูหล่อสุด ๆ ไปเลยเพคะ~”
ปากน้อย ๆ พูดจาหวานไม่เบา
หนานกงสือเยวียนอุ้มนางขึ้นมา จากนั้นก็ส่งไปให้เจ้ารอง
เพราะว่าขนเสือที่เสี่ยวเป่าเพิ่งไปจับมาทำเอาเขาเลอะไปทั้งตัว
เสี่ยวเป่าก้มมองตาม จากนั้น…
“ไอ้หยา เสี่ยวเป่าลืมไปเลย”
หนานกงสือเยวียนบีบจมูกนางอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่าลืมทำความสะอาดขนเสือบนชุดข้าให้สะอาดด้วยล่ะ”
เสี่ยวเป่า “แต่ว่าท่านพ่อ เสี่ยวเป่ายังมีขนเสืออยู่บนตัว จะยิ่งทำสกปรกนะ”
หนานกงฉีโม่กอดเจ้าตัวเล็กที่ตัวโตขึ้นมากทีเดียว
“เหมือนว่าจะหนักขึ้นอีกแล้วนะ”
สาวน้อยรีบตอบ “เสี่ยวเป่าไม่ได้อ้วน แต่สูงขึ้นต่างหาก!”
ท่าทางรีบร้อนราวกับกลัวว่าจะมีคนเข้าใจผิดว่านางอ้วนขึ้น
บรรดาพี่ ๆ ต่างก็หัวเราะกันใหญ่
ภายในกระโจมมีเพียงสมาชิกในครอบครัว บรรยากาศจึงผ่อนคลายขึ้นมาก
เหตุผลหลักก็เพราะมีหนูน้อยช่างพูดผู้ร่าเริงอย่างเสี่ยวเป่าอยู่ที่นี่ด้วย
Comments