เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 461 ชาวเทียนกู่น่า

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 461 ชาวเทียนกู่น่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 461 ชาวเทียนกู่น่า

บทที่ 461 ชาวเทียนกู่น่า

แม้ต้าเซี่ยกับซยงหนูจะเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทว่าฝั่งซยงหนูที่จำนวนคนน้อยกว่าทั้งยังมีความหวาดเกรงต่อต้าเซี่ยเป็นทุนเดิม หลังจากสู้เพียงไม่นานก็แตกพ่าย คนที่เหลือพากันหนีตายทันที

ระหว่างไล่ตามพวกซยงหนูบนทุ่งหญ้า หนานกงสือเยวียนก็ได้พบกับคนกลุ่มหนึ่งที่มีอยู่แปดคน

พวกเขาสูงใหญ่กำยำราวกับหมี ผมยาวถักเป็นเปีย บนร่างสวมชุดหนังสัตว์เปลือยหน้าอก ดูเป็นอารยธรรมดั้งเดิม

ในความคิดของทุกคนชาวทุ่งหญ้านั้นร่างกายแข็งแกร่งกำยำมากแล้ว แต่คนเหล่านี้ล้วนสูงใหญ่ล่ำสันกว่ามาก

ดวงตาของพวกเขาล้วนเป็นสีน้ำเงิน

บนร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุดันอันแข็งแกร่ง

ยามทั้งสองฝ่ายประจันหน้าก็ต่างระแวดระวังกันขึ้นมาทันที

“ฝ่าบาท เหล่าคนตรงหน้าดูไม่เหมือนพวกซยงหนูเลย”

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนร่างกายกำยำมากกว่าชาวซยงหนูมากถึงเพียงนี้ แต่ละคนตัวโตเหมือนหมี มองแล้วอดกลืนน้ำลายไม่ได้

แม้พวกเขาจะกล่าวไม่ได้ว่ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่หากคนเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาสักครั้ง ย่อมไม่ถูกมองข้ามอย่างแน่นอน ชาวซยงหนูเป็นได้เพียงแค่เศษเดนเบื้องหน้าพวกเขาเท่านั้น

แต่ดีที่ดูแล้วอีกฝ่ายเหมือนจะไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเขา อีกทั้งยังมีจำนวนคนเพียงไม่ถึงสิบ

“พวกเจ้าเป็นใคร”

คนของกองทัพต้าเซี่ยที่รู้ภาษาทุ่งหญ้าตะโกนขึ้นมา

คนที่อยู่ตรงข้ามรวมหัวกัน ไม่รู้ว่าปรึกษาเรื่องใด ก่อนจะมีชายหนึ่งคนเดินออกมา

“สวัสดี พวกข้ามาจากเผ่าเทียนกู่น่า”

รูม่านตาของหนานกงสือเยวียนหดแคบลงเมื่อได้ยินคำว่าเทียนกู่น่า

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเป่ามักจะพูดคุยเรื่องเผ่าเทียนกู่น่ากับเขาบ่อยครั้ง ดังนั้นหนานกงสือเยวียนจึงรู้บางอย่างอยู่บ้าง

อีกทั้งดูเหมือนเสี่ยวเป่าจะเคยพูดว่าคนของเผ่าเทียนกู่น่าต้องการมายังเมืองหน้าด่านเพื่อแลกเปลี่ยนเสบียง

“เผ่าเทียนกู่น่า? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเผ่านี้มาก่อน”

“ข้ารู้จัก”

หนานกงสือเยวียนกล่าว “พวกเขามาที่ต้าเซี่ยเพื่อแลกเปลี่ยนเสบียง”

“มาหาพวกเรา?”

ดูร่างกายของฝ่ายตรงข้ามที่ดูแข็งแกร่งมีพละกำลังอย่างยิ่ง มองแล้วเหมือนว่าทุกคนต่างมีความเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้อย่างมาก

ดีที่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน

ภายในใจทุกคนอดรู้สึกโชคดีขึ้นมาไม่ได้

หลังจากทั้งสองฝ่ายสนทนากันสั้น ๆ แม่ทัพเซี่ยก็เอ่ยถามขึ้นมากลางปล้องทันที

“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อล่าสัตว์หรือ”

บนร่างของพวกเขามีเลือดอยู่มากเกินไป ทั้งยังดูสดใหม่มาก

ผู้นำกลุ่มชาวเทียนกู่น่าส่ายหัว “ยามมาถึงพบเข้ากับกลุ่มคนแปลกหน้าพยายามเข้ามาจับตัวพวกข้า แต่ถูกพวกข้าสังหารทิ้งไปแล้ว”

คนผู้นั้นพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง แต่หัวใจของแม่ทัพเซี่ยและคนอื่น ๆ กลับเต้นกระหน่ำ

“สามารถพาพวกข้าไปดูได้หรือไม่”

จากคำพูดเมื่อครู่ คนเผ่าเทียนกู่น่าเองก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนของต้าเซี่ย และก็เป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา อีกทั้งยังต้องการคนนำทาง อย่างไรเสียพวกเขาก็เดินทางในทุ่งหญ้ามาเป็นเวลานานก็ยังไม่ถึงต้าเซี่ยที่พ่อค้าเอ่ยถึงเสียที หลงทางอย่างเต็มรูปแบบ

หลังจากนั้นจึงได้พบเข้ากับกลุ่มคนแปลกหน้าที่ต้องการจะจับพวกเขา

แน่นอนว่าผลที่ออกมาคืออีกฝ่ายต้องเผชิญเคราะห์ร้ายเสียเอง

เมื่อคนเผ่าเทียนกู่น่าพาไปยังสถานที่แห่งนั้นแล้ว กองทัพต้าเซี่ยก็เข้าไปตรวจสอบทันที

“ฝ่าบาท นี่คือกองกำลังที่พวกเราตามไล่ล่า!”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “ถอยทัพ!”

การเดินทางกลับครั้งนี้ จึงมีคนจากเผ่าเทียนกู่น่าติดตามมาด้วย

ทว่าภาษาที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นเป็นภาษาที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้เหล่าคนได้ยินพากันมองหน้าไปมา

หลังเข้าไปในเมืองหน้าด่าน พวกเขาก็แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนฝั่งเหล่าชาวบ้านในเมืองหน้าด่านเองก็ให้ความสนใจพวกเขาเช่นกัน….

“อ๊า!!! คนเถื่อน!”

มีสตรีแรกรุ่นรีบปิดตาตนเอง ทว่าก็มีคนหาญกล้าอดมองด้วยใบหน้าแดงก่ำไม่ได้

สตรีที่แต่งงานแล้วบางส่วนปราศจากความเขินอาย ถึงกับเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ออกมาเสียด้วยซ้ำ

“วันอากาศหนาวเยี่ยงนี้ พวกเขาล้วนไม่สวมเสื้อผ้ามิหนาวบ้างหรือ”

“สวมแล้ว ไม่เห็นหรือว่าบนร่างของพวกเขาสวมเสื้อหนังสัตว์อยู่”

“ต้นขา แขน และหน้าอกล้วนเปลือยหมด เช่นนี้ต่างอันใดกับการไม่สวมเล่า”

“จุ๊ จุ๊ จุ๊ หากบุรุษที่บ้านข้ากำยำถึงเพียงนี้ เกรงว่าภายในร้อยลี้คงไม่มีผู้ใดกล้าระรานคนในครอบครัวข้า!”

“ไม่เพียงแค่นั้น ร่างกายกำยำแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จะต้องทำไร่นาได้ยอดเยี่ยมเป็นแน่!”

“ดูแล้วแข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเราคนต้าเซี่ยถึงกับดูตัวเล็กจ้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา!”

คนต้าเซี่ย “….”

แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นความจริง

เหล่าบุรุษหลายคนมองไปทางคนเผ่าเทียนกู่น่าด้วยความอิจฉา

หากพวกเขาร่างกายกำยำขนาดนั้น ยังต้องกลัวว่าไม่อาจแต่งภรรยาได้อีกหรือ?

ในยุคสมัยนี้ การแต่งงานของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ดูกันที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ดูว่าครอบครัวจะมีกำลังแรงงานหรือไม่ ในอนาคตจะมีพอกินหรือไม่

แต่จะบอกว่าไม่ดูรูปลักษณ์ภายนอกเลยก็ไม่จริงเสียทีเดียว

หากมีร่างกายกำยำเหมือนเผ่าเทียนกู่น่า แม้จะมาจากครอบครัวยากจนข้นแค้น ขอเพียงแค่มีแรงและความแข็งแกร่งมากพอทำไร่นา ย่อมมีแม่นางจำนวนมากต้องการคว้ามาแต่งงาน

แน่นอนว่าในหมู่คนเหล่านั้นย่อมมีคนต้องการกลายเป็นแม่ยายโดยให้ลูกสาวตนเองตบแต่งด้วย

ทว่าเมื่อได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินของพวกเขา พวกนางต่างปัดความคิดนั้นทิ้ง คนเหล่านี้ไม่ใช่ชาวต้าเซี่ย พวกนางไม่ต้องการให้ลูกสาวติดตามพวกเขาไปทุกข์ทนในทุ่งหญ้า

ชายแดนอากาศหนาวเหน็บเย็นยะเยือก แต่ดีร้ายอย่างไรก็มีที่ดิน ตอนนี้ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาปากท้อง ภายในมือมีอาหารอยู่ไม่ต้องกังวลใจ

ได้ยินมาว่าทางฝั่งทุ่งหญ้าไม่ได้ปักหลักตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง อีกทั้งยังมีศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อย่างซยงหนูอยู่ด้วย เรื่องแต่งงานก็ช่างมันไปเสียเถิด

หนานกงสือเยวียนเอ่ยสองสามประโยคกับผู้นำกลุ่มเผ่าเทียนกู่น่า

สรุปง่าย ๆ คือบอกให้พวกเขากลับไปยังบ้านพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ก่อน

เขารู้ว่าลูกสาวของตนต้องการพบคนกลุ่มนี้มากเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คนในสภาพเช่นนี้ไปพบเสี่ยวเป่าได้

ชาวเทียนกู่น่าไม่รู้ว่าคนที่หวงลูกสาวยิ่งชีพคิดสิ่งใดอยู่ พวกเขาจึงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด