เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 489 เผ่า
บทที่ 489 เผ่า
บทที่ 489 เผ่า
ทว่าไม่มีใครคาดคิด เด็กน้อยที่ดูผอมแห้งเป็นอย่างมากกลับโหดเหี้ยมเกินผู้ใด
แม้จะเผชิญหน้ากับการรุมรังแกจากคนจำนวนมาก เขาก็ไม่ได้เสียเปรียบสักนิด ทุบตีเหล่าคนที่มารังแกทั้งหมดอย่างรุนแรง จนต้องร้องไห้กลับบ้านด้วยใบหน้าบวมเป่ง
หลังจากนั้นทุกครั้งที่คู่ต๋ายั่วยุอานั่วซือ สุดท้ายก็ล้วนถูกทุบตีอย่างน่าเวทนากลับไปตลอด
อีกทั้งยังสามารถออกล่าสัตว์ด้วยตนเองได้ ทักษะการล่าสัตว์ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใหญ่คนหนึ่งเลย ได้กินมากกว่าเด็กส่วนใหญ่ในเผ่าเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นอานั่วซือจึงพึ่งพาความพยายามเลี้ยงดูตนเอง ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กน้อยผอมแห้งอีกต่อไป ทั้งยังมีประสบการณ์ล่าสัตว์มากมาย เด็กในเผ่าหรือกระทั่งผู้ใหญ่บางคนก็ไม่อาจเทียบเขาได้
ด้วยเหตุนี้แม้ร่างกายจะเล็กกว่าผู้ที่เกิดและเติบโตในเผ่าฉางเซิงเทียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนเขาอีก
เพียงแต่คนผู้นี้สันโดษเกินไป อาศัยอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ไม่ติดต่อสุงสิงกับคนในเผ่า ออกไปล่าสัตว์เพียงลำพัง ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดกับใคร แม้ความสามารถของเขาจะทำให้ไม่ถูกขับไล่ แต่ความสัมพันธ์ในเผ่าก็ไม่นับว่าคุ้นเคย
ส่วนจุดพลิกผันนั้นน่าจะเป็นครั้งที่อานั่วซือออกไปด้านนอกครั้งหนึ่ง ก่อนกลับมาพร้อมกับหมาป่ายักษ์ฝูงหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดในฉางเซิงเทียนไม่รู้จักหมาป่ายักษ์
นี่คือสัญลักษณ์ของพวกเขา
หมาป่ายักษ์มีตัวตนประหนึ่งสัตว์เทพ เมื่อพวกเขาออกล่าสัตว์ด้านนอกย่อมไม่เคยคิดล่าหมาป่ายักษ์ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นฝ่ายโดนโจมตีก่อน
แต่อานั่วซือกลับมาพร้อมหมาป่ายักษ์ อีกทั้งเหล่าหมาป่ายักษ์ยังยอมอยู่ใต้อำนาจของเขา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เรื่องนี้เรียกความสนใจครั้งใหญ่จากคนทั้งเผ่าได้ ผู้อาวุโสเผ่าไปสอบถามเรื่องนี้ และได้รับคำตอบว่าหมาป่ายักษ์เหล่านี้ล้วนถูกฝึกจนเชื่องเรียบร้อยแล้ว
ผู้ที่ยังไม่ทันโตกลายเป็นหนุ่มดี กลับสามารถฝึกหมาป่ายักษ์จำนวนมากเพียงนี้ได้
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กล่าวให้ละเอียดกว่าคือไม่มีผู้ใดเคยฝึกหมาป่ายักษ์ได้มาก่อน
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สายตาที่ทุกคนมองเขาก็แตกต่างออกไป
อานั่วซือมีปฏิสัมพันธ์กับคนในเผ่าเพียงน้อยนิด ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าคนในเผ่ามองเขาด้วยสายตาเคารพยำเกรงจริง ๆ
อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ที่หมาป่ายักษ์ยอมรับ ต่อให้เลือดครึ่งหนึ่งจะเป็นของคนนอกเผ่าก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งใด
“อานั่วซือ เจ้าฝึกฝนสัตว์ร้ายได้มากมายเพียงนี้”
นักรบเกือบทั้งหมดในเผ่าออกมา รวมทั้งผู้อาวุโสเผ่าและหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันด้วย
ทุกคนมองเหล่าสัตว์ร้ายด้วยความตื่นตะลึง หลังจากนั้นก็อุทานกันไม่ขาดสาย
ยังไม่ทันเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับนำสัตว์ร้ายจำนวนมากขนาดนี้มาได้ กระทั่งนักรบที่แข็งแกร่งสุดในเผ่าก็ไม่อาจเทียบ
อานั่วซือพยักหน้าอย่างเงียบงัน
“เจ้าสุดยอดจริง ๆ!”
ผู้อาวุโสเผ่ามองแล้วหัวเราะร่า ดวงตาขุ่นแสดงความชื่นชมปลื้มปีติ
ทว่าหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันนั้นมีสีหน้ามืดครึ้ม
“อานั่วซือ พวกคู่ต๋าเล่า”
หัวหน้าเผ่าเอ่ยถาม ทุกคนพลันเงียบเสียงลงไปทันที
อานั่วซือมองลุงร่วมสายเลือดของตนเอง ตั้งแต่แรกที่ก้าวเข้ามาในเผ่า เขาก็สัมผัสได้ถึงการขับไล่และความรังเกียจจากลุงผู้นี้อย่างชัดเจน
“ไม่รู้”
กับคนที่รังเกียจตน เขาไม่ต้องการจะสนทนาด้วย
“พวกเขาเป็นใคร”
หัวหน้าเผ่าเห็นดังนั้นจึงไม่ถามเรื่องคู่ต๋าอีก แต่ชี้ไปทางคนด้านหน้าและเหล่าคนด้านหลังอานั่วซือ
ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาเพื่อเฝ้ารอคำตอบ
อานั่วซือชี้ไปทางคนด้านหน้า ช่วยเสี่ยวเป่าดึงหมวกที่ปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าน้อย ๆ งดงามขาวราวหิมะ
“น้องหญิงข้า มีพรสวรรค์ในการฝึกสัตว์เหมือนข้า”
เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นโบกให้พวกเขา “สวัสดีทุกท่าน”
นางเอ่ยด้วยภาษาเผ่าของพวกเขา ระหว่างทางมาที่นี่ อานั่วซือและคนเผ่าเทียนกู่น่าได้สอนภาษาของคนที่นี่ให้กับนางแล้ว
ตลอดเส้นทางพวกเขาล้วนสนทนากันด้วยภาษานี้ ทำให้นางต้องพยายามเรียนอย่างหนักด้วยใบหน้ายับย่น
ตอนนี้นางสามารถพูดคำศัพท์ได้จำนวนมาก ความสามารถในการฟังเข้าใจก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
อานั่วซือชี้ต่อไปทางเหล่าคนที่อยู่ด้านหลัง “พวกเขาล้วนเป็นผู้ติดตามของข้า!”
ชาวเผ่าเทียนกู่น่าที่นั่งอยู่บนสัตว์ร้ายยักษ์ทำความเคารพ
รูปร่างและภาษาของพวกเขานั้นคล้ายคลึงกับเผ่าฉางเซิงเทียนเป็นอย่างมาก
คนในเผ่าไม่ได้ให้ความสนใจเหล่าผู้ติดตามมากนัก สิ่งที่ทำให้พวกเขาสนใจจริง ๆ คือเสี่ยวเป่า
อานั่วซือบอกว่านี่คือน้องหญิงของเขา!
พวกเขาไม่เคยเห็นผู้ใดที่มีผิวขาวขนาดนี้มาก่อน
หัวหน้าเผ่ายังต้องการถามถึงตัวตนของพวกเขา ทว่าถูกผู้อาวุโสเผ่าขัดจังหวะเสียก่อน
“ในเมื่ออานั่วซือก็กลับมาพร้อมสัตว์ร้ายยักษ์แล้ว เช่นนั้นก็ไปหาหมอผีเถิด เจ้าสามารถเลือกเขาหนึ่งลูกไว้เลี้ยงสัตว์ของตนเองได้”
ไม่ว่าใครที่ครอบครองสัตว์ร้ายยักษ์ล้วนมีคุณสมบัติในการเลือกหนึ่งเขามาเป็นของตนเอง อย่างไรเสียสัตว์ร้ายยักษ์ก็จำเป็นต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอต่อการเคลื่อนไหวใช้ชีวิต อีกทั้งพวกมันยังกินค่อนข้างจะมาก
ฉางเซิงเทียนตั้งอยู่ในทุ่งหิมะกว้างใหญ่ไพศาล ทว่ากลับน่าประหลาดใจที่ด้านในไม่ใช่โลกที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ
มันเหมือนหน้าผาสูงชันและหุบเขาขนาดใหญ่
แม้ที่นี่จะอากาศหนาว แต่กลับมีป่าไม้รายล้อม ยอดเขาสูง และสิ่งแปลกตาอีกมากมาย
ยามเข้ามาในเผ่า ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็มองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นตลอดทาง
นางเห็นภูเขาประหนึ่งใบมีดจำนวนมากมาย ทั้งยังมีธารน้ำแข็งประณีตละลานตาไหลย้อยลงมาจากหน้าผาอีกด้วย
นางและคนเผ่าเทียนกู่น่าถูกจัดให้อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งชั่วคราว ส่วนอานั่วซือไปหาอดีตหัวหน้าเผ่า หรือก็คือท่านตาของเขานั่นเอง
Comments