เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 498 ฝ้ายปุยเมฆ

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 498 ฝ้ายปุยเมฆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 498 ฝ้ายปุยเมฆ

บทที่ 498 ฝ้ายปุยเมฆ

ทว่าหลังจากที่ได้กินอาหารมื้อนี้หมอผีก็เปลี่ยนใจ

ก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินว่าเด็กคนนี้สามารถติดต่อกับผู้คนจากนอกฉางเซิงเทียนเพื่อจัดตั้งกลุ่มคาราวานได้ เขารู้สึกว่าชีวิตของตนเองดีอยู่แล้วจึงไม่ได้อยากเปลี่ยนอะไร

แต่เมื่อได้เห็นเกลือขวดนี้แล้วหมอผีก็พบว่าคาราวานเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง!

หลังจากที่ออกจากกระโจมของเสี่ยวเป่า หมอผีก็เรียกหัวหน้าเผ่าและอดีตหัวหน้าเผ่าเข้าไปพบ และเริ่มหารือเกี่ยวกับการตั้งคาราวานที่เสี่ยวเป่าเคยเสนอ

หากเป็นเมื่อก่อนทุกคนคงคัดค้าน พวกเขาไม่ชอบคนต่างถิ่น และไม่ต้องการติดต่อกับพวกนั้น

แต่ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงัด

หมอผีมองด้วยความประหลาดใจ ที่อีกฝ่ายไม่ได้คัดค้านทันที

หมอผี “พวกเขามีอะไรหลายอย่างที่เราไม่มี เกลือชั้นดีที่ขาวราวกับหิมะ เครื่องลายครามวิจิตรงดงาม เครื่องเทศต่าง ๆ แม้แต่การใช้สมุนไพรมากมายที่เราไม่รู้ว่าใช้รักษาโรคได้”

แม้หัวหน้าเผ่าจะไม่รู้ว่าเครื่องเคลือบคือสิ่งใด แต่ทุกสิ่งที่หมอผีพูดออกมาช่างน่าสนใจทั้งสิ้น

เกลือ อาหาร และยารักษาโรค เป็นของสำคัญที่จะทำให้ชนเผ่ามีชีวิตที่ดีขึ้น

หัวหน้าเผ่ายังเอ่ยกับหมอผีอีกว่า “เหตุใดจึงต้องพึ่งพาคนพวกนั้น เราน่าจะลองทำของเราเอง”

หมอผีตอบอย่างช่วยไม่ได้ “แม้เราจะทำเช่นนั้นได้ แต่ก็มีคนเผ่าไม่กี่คนที่ยินดีจะเดินทางออกไป ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่รู้จักโลกภายนอกเท่าไร อาจพบเจออันตรายระหว่างทางได้”

“แล้วคนนอกพวกนั้นเชื่อถือได้อย่างนั้นหรือ”

ทั้งสามโต้เถียงกันไปมาระหว่างการหารือ ท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ข้อสรุปในเวลานี้

วันต่อมาเสี่ยวเป่าเป็นผู้นำทุกคนเริ่มปรุงยา

การเตรียมยาเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสในเผ่า ซึ่งบางคนก็เป็นคนพิการ

พวกเขาเหล่านี้เคยเป็นนักรบของเผ่าเมื่อยังเยาว์วัย

แต่พวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการออกล่าสัตว์ บางคนแขนขาหักไม่สามารถกลับไปล่าสัตว์ได้อีก

ไม่ว่าในอดีตจะเคยมีคืนวันที่รุ่งโรจน์อย่างไร เมื่อกลายเป็นคนชราหรือพิการแล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาถูกกันออกไปจากสังคม ไม่สามารถทำงานอะไรได้อีก ศักดิ์ศรีก็ลดลงด้วยเมื่อไม่สามารถหาอาหารได้ด้วยตัวเอง

ไม่ต่างจากสัตว์ป่า เมื่อหาอาหารไม่ได้ก็มีแต่จะต้องรอความตายเท่านั้น

ทว่าพวกเขายังดีกว่าเล็กน้อย แม้จะได้รับแบ่งปันอาหารเพียงน้อยนิด แต่ก็ยังพอประทังชีวิตได้

ปกติพวกเขาไม่มีงานอะไรในเผ่าให้ทำ เมื่อได้ยินว่าจะสามารถช่วยเหลือคนป่วยได้พวกเขาก็อาสาอย่างไม่ลังเล

เสี่ยวเป่ามองพวกเขาแล้วก็คิดถึงคนพิการในอาณาจักรต้าเซี่ย

ในฐานะแรงงานของครอบครัว พวกเขาออกจากกองทัพและไม่สามารถช่วยเหลืองานการเกษตรของครอบครัวได้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าคุณค่าของตนเองลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

ไม่ต่างอะไรกันมากนัก

ทุกคนช่วยกันก่อไฟต้มยาอย่างแข็งขัน เมื่อได้ช่วยเหลืองานพวกเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา

ทว่าผู้ที่อยู่ท่ามกลางความพ่ายแพ้มาเป็นเวลานาน ไม่อาจจะขจัดความรู้สึกผิดหวังไปได้ง่าย ๆ

เสี่ยวเป่าจึงสอนวิธีสานตะกร้าให้พวกเขา

เมื่ออานั่วซือพาพวกเขาไปเก็บเถาวัลย์ เสี่ยวเป่าและหมอผีจึงเอายาไปให้คนป่วย

เมื่อวานคนป่วยได้กินน้ำขิงร้อน ๆ และได้รับการดูแลสุขอนามัยเป็นอย่างดี วันนี้อาการจึงดีขึ้น ไม่มีใครเสียชีวิต

ก่อนหน้านี้คนแก่และเด็ก ๆ ที่ร่างกายอ่อนแอกว่ามักจะสิ้นใจเพราะอาการป่วยทุกคืน

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมา

“หลังจากกินยาเสร็จแล้ว คนที่ดีขึ้นโปรดช่วยดูแลคนที่ป่วยหนัก ห้ามขับถ่ายในถ้ำ ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะยิ่งแย่ลงไปอีก”

หลังจากที่กินยาแล้ว เสี่ยวเป่าก็เริ่มให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย

“อย่าดื่มน้ำที่ยังไม่ได้ต้มสุก มีเชื้อโรคอยู่ในน้ำ เมื่อดื่มแล้วมันจะไปเติบโตในร่างกาย ต้องต้มน้ำให้มันตายเสียก่อนจึงจะดื่มได้”

“เนื้อดิบก็มีเชื้อโรคเช่นกัน ดังนั้นต้องปรุงอาหารให้สุกก่อน”

“เชื้อโรคชอบอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สกปรก หากปล่อยให้บ้านเรือนที่อยู่อาศัยสกปรกเกินไป แสดงว่าทุกคนกำลังอาศัยอยู่กับแมลงตัวเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันคลานเข้าไปในจมูก ปาก หู ตาของเรา…”

‘เชื้อโรค’

มีเชื้อโรคอยู่ทุกที่

เพื่อให้พวกเขาเข้าใจเรื่องพวกนี้และใส่ใจยิ่งขึ้น นางจึงจงใจอธิบายเรื่องให้น่ากลัวขึ้นเล็กน้อย อย่างพยาธิในท้องจะกินเนื้อพวกเขาจากภายใน

แน่นอนว่าพวกเขาก็หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดและเริ่มตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องที่เคยผ่านมาก่อนหน้านี้

หนึ่งในนั้นเริ่มพูดขึ้นบ้าง “ข้าจำได้ว่า XXX เคยถูกหนอนกินจากข้างในท้องจนตายเช่นกัน”

“ยังมี XXX ที่เมื่อท้องเสีย สิ่งที่ออกมาด้วยก็คือพยาธิ”

เสี่ยวเป่า ‘อี๋!’

นางไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะเคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน และคนเหล่านี้ก็อธิบายภาพที่เห็นอย่างลึกซึ้งชัดเจนทุกรายละเอียด

ภาพน่ากลัวนั่นปรากฏขึ้นในจินตนาการของเด็กน้อย ใบหน้าของเสี่ยวเป่าเหยเกและซีดเซียว

แต่นางสวมหน้ากากอยู่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็น

“นี่เองที่เป็นที่มาของอาการน่ากลัวเช่นนั้น”

“จากนี้เราต้องต้มน้ำร้อนดื่มตลอดไปเลยหรือ”

“มันดูยากลำบากมาก เราไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือหม้อไหอะไรมากมายนัก”

“ต้องมีฟืนอีกมากด้วย”

เสี่ยวเป่าฟังการสนทนานั่นแล้วก็เข้าใจได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่นี่ยังล้าหลังอยู่มากเหลือเกิน

การพัฒนาไม่อาจเปลี่ยนแปลงเพียงความคิดอย่างเดียว แต่ยังต้องเปลี่ยนเรื่องสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วย

หลังออกมาจากถ้ำ หมอผี หัวหน้าเผ่า และอดีตหัวหน้าเผ่าก็มาพบเสี่ยวเป่าที่กระโจม

หัวหน้าเผ่ามองกระโจมของเสี่ยวเป่า แล้วเอ่ยอย่างชื่นชม “กระโจมนี้ดีมาก”

เสี่ยวเป่ามีพื้นฐานการสร้างกระโจมมาจากชนเผ่าทุ่งหญ้า

“พวกท่านน่าจะลองด้วยเช่นกัน การอยู่ในถ้ำไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ”

มีเสือสองตัวและหมาป่ายักษ์ช่วยล่าสัตว์ และยังมีหัวไชเท้าด้วย ทำให้อาหารที่นี่ไม่ขาดแคลน

น้ำแกงเนื้อใส่หัวไชเท้าโรยด้วยเกลือเพียงเล็กน้อย

เนื่องจากนางต้องช่วยดูแลคนป่วยในถ้ำ เสี่ยวเป่าจึงให้อาลู่ช่วยเตรียมอาหาร

โดยมอบรางวัลเป็นเนื้อตากแห้งและน้ำตาลอีกเล็กน้อย

“คาราวานที่เจ้าว่า มีของแลกเปลี่ยนจากข้างนอกใช่หรือไม่”

เสี่ยวเป่าเริ่มพบว่าพวกเขากำลังให้ความสนใจ

ในความจริงแล้ว เสี่ยวเป่าต้องการให้คนที่นี่และชาวต้าเซี่ยได้มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

ไม่เพียงแค่แลกเปลี่ยนอาหารเท่านั้น ยังมีสมุนไพรที่ใช้ทำยาอีกมากมาย ของหายาก สัตว์ป่า และของจำเป็นอื่น ๆ และนอกจากนี้ยังเป็นการเปิดหูเปิดตาให้คนที่นี่อีกด้วย

พวกเขามีกำลังมาก แม้จะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังนับว่าแข็งแกร่งกว่าคนภายนอกมากนัก

ชนเผ่าเหล่านี้และเผ่าอื่น ๆ ในต้าเซี่ยควรผูกมิตรต่อกันไว้ดีกว่าต่อสู้กันเอง

การสร้างความร่วมมือควรเริ่มต้นที่การค้าขายและผลประโยชน์จะง่ายดายและเหมาะสมที่สุด

นางเพียงวางรากฐานให้ชาวฉางเซิงเทียนในเรื่องแนวคิดเท่านั้น จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาและบิดาของนางทั้งสิ้น

“มีหลายอย่างที่น่าสนใจเจ้าค่ะ เกลือ อาหาร มีอาหารที่เก็บรักษาได้นาน กินแล้วอิ่มท้อง เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเคลือบลายคราม ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีน้อยมากเช่นกัน ท่านได้มันมาจากที่ไหนกัน”

หมอผี “เราแลกเปลี่ยนมันมาจากเผ่าอันดับหนึ่ง พวกเราสี่เผ่ามีการจัดลำดับกัน เราอยู่ในเผ่าลำดับสาม เราแลกเกลือจากเผ่าลำดับสอง ส่วนเครื่องปั้นดินเผาแลกได้ที่เผ่าอันดับหนึ่งเท่านั้น”

เสี่ยวเป่าอยากรู้อยากเห็น “แล้วเผ่าของท่านมีอะไรเป็นของขึ้นชื่อหรือ”

“ของขึ้นชื่อคืออะไร”

“ของที่ท่านใช้แลกเปลี่ยนกับเผ่าอื่นและพวกเขาหาได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น”

หมอผี “ก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีอะไรเลยนะ”

“เรามีพืชชนิดพิเศษมากมายที่นี่ เราสามารถทอและย้อมผ้าได้ เสื้อผ้าที่อานั่วซือสวม เขาก็นำเหยื่อมาแลกไป”

หมอผีพูดอย่างภูมิใจ “ผู้คนมากมายจากเผ่าอื่นชอบเสื้อผ้าของเรา และส่วนใหญ่ยังคงสวมหนังสัตว์กันอยู่”

เสี่ยวเป่าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะนางมองว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่เป็นของธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป

“ผ้าผืนนี้อุ่นมาก”

หมอผีส่งผ้าผืนหนึ่งที่สวมอยู่ให้เสี่ยวเป่า

เสี่ยวเป่าเอาขึ้นมาและลองสัมผัสมัน เป็นผ้าที่นุ่มมาก ทักษะการทอไม่ได้ละเอียดประณีตนัก

จะว่าตามตรงก็คือนี่ดูไม่เหมือนผ้าทอ แต่ดูเป็นผ้าถักมากกว่า

เสี่ยวเป่าคิดมาตลอดว่ามันคือด้ายที่ทำจากขนสัตว์

“นี่ทำมาจากอะไรหรือ”

ลักษณะของมันใกล้เคียงกับฝ้าย แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า คล้ายผ้าฝ้ายผสมไหม

เสี่ยวเป่าสนใจพืชชนิดนี้เอามาก ๆ

หมอผีจึงพานางไปดูต้นของมัน

พืชนี้ไม่มีอยู่ในความทรงจำของภูตน้อยด้วยซ้ำ

ความจริงแล้วยังมีต้นไม้อีกมากมายในโลกนี้ที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำจากชาติก่อนของนาง

ไม่น่าแปลกใจเพราะนางไม่ใช่ภูตจากโลกนี้ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่โลกใบเดียวกับโลกก่อน บางอย่างจึงแตกต่างกัน

“เราเรียกมันว่าฝ้ายปุยเมฆ เพราะมันนุ่มนิ่มเหมือนกับปุยเมฆ เติบโตอยู่บนต้นที่มีความสูงมาก จะนำมันมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อมันหล่นลงมาจากต้นเท่านั้น และต้องระมัดระวังในการเก็บเนื่องจากอาจเกิดอันตรายได้หากมันตกไปโดนใครเข้า”

ฝ้ายปุยเมฆมีเปลือกนอกแข็งและมีหนามคล้ายทุเรียน สีน้ำตาลเข้ม ขนาดประมาณสองกำปั้นมือผู้ใหญ่ เมื่อแก่จัดจะแตกออกมา ภายในมีปุยสีขาวนุ่มนิ่มราวกับหิมะ สามารถนำใยมาทำเป็นผ้าถักได้

หมอผียังอธิบายอีกว่าต้นไม้ชนิดนี้พบได้เพียงในเขตเผ่าของพวกเขาเท่านั้น เผ่าอื่น ๆ พยายามจะนำมันไปเพาะปลูกบ้างแต่ก็ล้มเหลว

ยิ่งไปกว่านั้น ต้นฝ้ายปุยเมฆยังเติบโตทุกปี เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่มีความสูงมาก และผลิตเส้นใยเพิ่มขึ้นจำนวนมากในแต่ละปี

คราแรกพวกเขาคิดว่ามันน่าจะกินได้ แต่กลายเป็นว่าผลของมันทำอาหารไม่ได้ บางคนพบว่าภายในของมันเมื่อนำมาซ้อนกันแล้วช่วยเพิ่มความอบอุ่น จึงคิดค้นการนำเส้นใยมาใช้ถักเป็นผ้า

นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ความอบอุ่นและนุ่มนิ่มเทียบได้กับผ้าฝ้าย และความเหนียวยังเทียบได้กับผ้าไหม เพียงผลเดียวให้เส้นใยจำนวนมาก มันยังเป็นไม้ยืนต้น ไม่จำเป็นต้องปลูกใหม่ทุกปี เพียงแค่ดูแลต้นแล้วรอเก็บเกี่ยวเท่านั้น

น่าสนใจอย่างยิ่ง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด