เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 511 เก่งกล้าไม่เบา
บทที่ 511 เก่งกล้าไม่เบา
บทที่ 511 เก่งกล้าไม่เบา
เมื่อเรื่องราวของไซอิ๋วดำเนินมาใกล้จะถึงตอนจบ บาดแผลของหนานกงสือเยวียนก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ด้วยความร่วมมือของเสี่ยวเป่าและห้องเครื่อง ขนาดที่ว่าน้ำหนักของเขาเพิ่มขึ้นมากทีเดียวในช่วงที่พักรักษาตัว
หนานกงสือเยวียนมีสีหน้าเย็นชาขณะลูบกล้ามหน้าท้องของตัวเองที่ค่อย ๆ หายไปทีละน้อย
ฮ่องเต้ผู้รายล้อมไปด้วยบุตรชายและบุตรสาว ทว่ายังคงให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา สิ่งแรกที่ทำหลังจากหายดีคือการออกกำลังกายเพื่อรักษารูปร่างของตน
อย่างไรเสียบุตรสาวของเขาก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก
เมื่อภัยซ่อนเร้นที่อยู่ภายในกายหนานกงสือเยวียนถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว ทุกคนทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจ
ในช่วงที่หนานกงสือเยวียนกำลังพักรักษาตัว เสี่ยวเป่าก็ไม่ลืมที่จะทายาบนใบหน้าให้ท่านอาสี่
ยาลบรอยแผลเป็นนั้นให้ผลดีมาก ระยะเวลาเพียงแค่สามเดือนก็สามารถทำให้รอยแผลเป็นอันน่าสยดสยองที่พาดผ่านใบหน้าของเขาหายไปจนหมด
เสี่ยวเป่าพบว่าท่านอาสี่รูปหล่อไม่เบาเมื่อไร้รอยแผลเป็นน่ากลัวนั่น!
ด้วยเครื่องหน้าที่เด่นชัด รวมทั้งนิสัยเด็ดเดี่ยวตรงไปตรงมา สายเลือดของตระกูลหนานกงช่างไร้ที่ติจริง ๆ!
พริบตาเดียวเวลาก็ดำเนินมาถึงสิ้นปี หนานกงสือเยวียนยังคงมอบอำนาจบริหารบ้านเมืองส่วนหนึ่งให้องค์รัชทายาทเป็นผู้ดูแลหลังจากที่ตนหายดี
สิ่งนี้ทำให้บรรดาผู้คนที่คาดเดาว่าฝ่าบาทจะเคลือบแคลงในตัวองค์รัชทายาทต้องประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรตอนนี้ฝ่าบาทก็ยังหนุ่มแน่น ผู้มีฐานะสูงส่งล้วนแต่กระหายอำนาจ และอาจถึงขั้นมีใจคิดหวาดระแวง
สิ่งเหล่านี้แทบจะเป็นจุดอ่อนในตัวของฮ่องเต้ทุกพระองค์
ทว่าวิธีของหนานกงสือเยวียนทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจและรู้สึกนับถือไปพร้อม ๆ กัน
พวกเขาใช้ความคิดอันคับแคบของตนไปคาดเดาจิตใจอันสูงส่งของผู้อื่น อีกทั้งความอดกลั้นของฝ่าบาทก็เกินกว่าที่พวกเขาจะเทียบเคียงได้
ในงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ เสี่ยวเป่าที่ใกล้จะอายุครบสิบสองอยู่ในชุดกงจวง*[1] สีแดงสด
นางสืบทอดจุดเด่นของตระกูลหนานกง นั่นคือความสูง
เจ้าตัวน้อยขาสั้นอายุสามขวบในตอนนั้น บัดนี้กลับสูงกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกันเล็กน้อย
และที่สำคัญที่สุดคือนางมีใบหน้างดงามมาก
เหล่าขุนนางและพระสนมที่ไม่ได้พบองค์หญิงมาเป็นเวลานาน ต่างก็อดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้เมื่อได้พบกับนางอีกครั้ง
สาวน้อยอายุไม่ครบสิบสองปีดี แม้ว่าใบหน้าจะมีแก้มยุ้ย ทว่าเครื่องหน้ากลับค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นเผยให้เห็นความงดงาม
มิหนำซ้ำวันนี้ยังแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างประณีตทีเดียว
นางในอาภรณ์สีแดงดูสะดุดตาเป็นพิเศษเสียจนบรรดาคุณชายที่ติดตามผู้อาวุโสในตระกูลมาร่วมงานต่างต้องเหลียวมอง บางคนถึงกับตะลึงในความงามจนใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดง
การปรากฏตัวของฝ่าบาทเรียกความสนใจของพวกเขาให้กลับมา ทุกคนคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพ
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
หนานกงสือเยวียนนั่งในตำแหน่งสูงสุด ซึ่งสามารถมองเห็นทุกคนได้อย่างชัดเจน
รวมถึงเหล่าบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง
ตอนนี้เสี่ยวเป่ามีอายุครบสิบสองหากนับแบบซวีซุ่ย*[2] นางจึงมิอาจนั่งกับพี่ชายเหมือนเมื่อตอนสี่ห้าขวบได้อีก
นางนั่งประจำที่ของตนด้วยท่วงท่าที่งามสง่าดูตั้งใจเป็นอย่างมาก
หนานกงสือเยวียนอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นท่วงท่าอันงดงามของบุตรสาว ทว่าก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวเมื่อเห็นว่าคุณชายวัยหนุ่มไม่น้อยให้ความสนใจในตัวบุตรสาวของตน
เสี่ยวเป่าของเขาโตขึ้นมาก ทำให้เขานึกถึงวันเวลาที่สามารถโอบอุ้มเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนได้ทุกเมื่อ
“องค์หญิงเจาเสวี่ยฝ่าฟันความยากลำบากเพื่อออกค้นหาสมุนไพรมารักษาข้า มีใจกตัญญูเป็นที่น่ายกย่อง ข้าขออวยยศองค์หญิงเจาเสวี่ย หนานกงจิ่นซี ขึ้นเป็นองค์หญิงใหญ่กู้หลุน*[3]”
องค์หญิงใหญ่กู้หลุนถือเป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดขององค์หญิง
โดยปกติแล้วองค์หญิงจะมีบรรดาศักดิ์ก็ต่อเมื่ออายุถึงวัยออกเรือน ทว่าเสี่ยวเป่านั้นเป็นกรณีพิเศษ
ประการแรก เนื่องจากนางเป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกคน ฮ่องเต้รวมถึงองค์ชายต่างรักใคร่นางเป็นอย่างยิ่ง
ประกอบกับพืชผลที่นางปลูกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อย ทำให้นางได้รับบรรดาศักดิ์องค์หญิงเจาเสวี่ยในเวลาอันรวดเร็ว
และตอนนี้ยังได้อวยยศขึ้นเป็นองค์หญิงใหญ่กู้หลุน ซึ่งนับเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับองค์หญิง
โดยหารู้ไม่ว่าเหล่าคุณหนูจากตระกูลใหญ่กำลังจ้องมองนางด้วยสายตาอิจฉา
เสี่ยวเป่าก้าวออกมาข้างหน้า สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องทุกอิริยาบถที่สง่างามจนหาที่ติมิได้
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
หนานกงสือเยวียนมองบุตรสาวด้วยแววตาอบอุ่น
“นอกจากนี้ขอมอบจวนจางกงจู่ ที่ดินสามผืน ทองคำหมื่นตำลึง ไข่มุกตงจู…”
ทุกคนลอบสูดหายใจเบา ๆ เมื่อได้ฟังรางวัลยาวเป็นหางว่าว บรรดาพระสนมล้วนจ้องเสี่ยวเป่าตาเป็นประกาย
ได้เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ ตระกูลนี้ช่างร่ำรวยมหาศาล ต่อไปชายใดได้อภิเษกกับองค์หญิงผู้นี้คงจะสบายไปทั้งชาติ
และที่สำคัญก็คือพื้นฐานนิสัยขององค์หญิงมิใช่คนที่เข้าหาได้ยากนัก
ที่พวกเขาพาตัวบุตรชายมาด้วยก็ใช่ว่ามีแผนอะไรในใจ หวังเพียงว่าเวลาที่องค์หญิงเลือกตัวราชบุตรเขย ตระกูลตนเองจะมีโชคได้รับโอกาสนั้น
เมื่อถึงเวลากินดื่มและพูดคุย ใครหลายคนก็ลอบมองไปที่เสี่ยวเป่า
และพบว่านางกินเก่งทีเดียว มีเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราวดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่ามิได้แสดงความเจ้าอารมณ์หรือเย่อหยิ่ง
ด้วยเหตุนี้บรรดาขุนนางจึงเริ่มเกิดความคิดว่าจะพาลูกชายที่โดดเด่นของตนมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้และองค์ชายให้บ่อยขึ้น
หากว่าเป็นที่จดจำ ก็อาจจะโชคดีได้รับเลือกจากองค์หญิงให้เป็นราชบุตรเขยก็เป็นได้!
หลังจากที่งานเลี้ยงฉลองจบลง เสี่ยวเป่าที่สำรวมกิริยามาทั้งวันก็ถอดเครื่องประดับอันหนังอึ้งบนหัวออกตลอดทาง
“หนักชะมัด ข้าจะไม่ใส่มันอีกแล้ว”
ซ้ำยังปวดหลังอีกต่างหาก
ชุนสี่ที่เดินตามอยู่ข้างหลังรีบถลาเข้าไปรับไว้
“องค์หญิง ยามปกติท่านจะใส่ชุดเรียบ ๆ ก็ย่อมได้ แต่หากว่าเป็นงานเลี้ยงและโอกาสสำคัญ ท่านก็ยังต้องแต่งตัวให้สมฐานะ อดทนนิดเดียวก็ผ่านไปแล้วเพคะ”
เมื่อกลับมาถึงตำหนักของตน เสี่ยวเป่าก็ถึงกับสะบัดรองเท้าออก
“เช่นนั้นก็หวังว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสสำคัญมาบ่อย ๆ นะ”
นางตัวแค่นี้แต่ต้องสวมใส่เครื่องหัวตั้งมากมาย ไม่กลัวว่านางจะตัวหดเล็กลงหรืออย่างไร
“องค์หญิงรีบสวมรองเท้าเถอะเพคะ”
“รู้แล้วน่า ข้าอยากใส่รองเท้าแตะ”
ตำหนักตัวเองน่ะสบายที่สุดแล้ว ไม่ต้องใส่เครื่องประดับอะไรมากมาย
ตอนนี้นางชักจะเห็นใจเซี่ยหวงกุ้ยเฟยกับพระสนมคนอื่น ๆ เสียแล้ว
ตนเองแค่ใส่เครื่องประดับพวกนี้เป็นครั้งคราวยังรู้สึกหนักจะแย่ แต่บรรดาพระสนมต้องแต่งตัวเช่นนี้ทุกวัน
เสื้อผ้ากับเครื่องประดับพวกนี้ก็สวยงามอยู่หรอก แต่หากเทียบกันแล้วนางชอบแบบที่สวยและใส่สบายมากกว่า!
“ของพวกนี้แขวนไว้ให้ข้าชื่นชมก็พอแล้ว เรื่องใส่น่ะลืมไปได้เลย”
“เพคะ”
“ไปบอกให้เหล่าอู๋ทำซาลาเปากับเนื้อย่างมาทีสิ ข้าอยากกิน อากาศหนาวจนอาหารในงานเลี้ยงเย็นชืดไปหมด มันหมูก็จับตัวเป็นก้อนจนกินไม่ได้ ข้าเลยได้แต่กินขนมอบ”
“อันที่จริงขนมอบพวกนั้นก็อร่อยอยู่หรอก แต่ว่าข้าอยากกินเนื้อ แล้วก็อยากกินอะไรเผ็ด ๆ ด้วย”
เนื้อย่างทาซอสพริกห่อด้วยใบผักกาดหอมอร่อยที่สุดแล้ว
“แล้วข้าก็อยากกินซี่โครงแกะ…”
ภายในตำหนักฉินเจิ้ง เมื่อได้ยินบรรดานางกำนัลพูดคุยกันว่าองค์หญิงเรียกหาของกินทันทีที่กลับถึงตำหนัก หนานกงสือเยวียนก็อดยิ้มไม่ได้
แล้วพอได้ยินว่านางถอดเครื่องประดับออกจากหัวตลอดทั้งทาง
หนานกงฉีซิวก็ยิ้มเช่นกัน
“ลำพังแค่นางได้กินแต่ขนมอบก็แย่แล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ต้องใส่เสื้อผ้ากับเครื่องประดับเทอะทะเช่นนั้น นางคงยังไม่ชิน”
หนานกงสือเยวียนแสร้งทำเป็นตำหนิ “คนอื่นอยากได้ยังไม่ได้รับเกียรตินั้นเลยนะ”
ทว่าน้ำเสียงแฝงความเอ็นดูอยู่มาก
ในพระราชวังแห่งนี้ หากบอกว่าใครตามใจเสี่ยวเป่าที่สุด ฝ่าบาทของพวกเขาย่อมไม่เป็นสองรองใคร
การเก็บเกี่ยวในช่วงหลายปีมานี้เป็นไปได้ด้วยดี อีกทั้งพระเจ้ายังเมตตาไม่ก่อให้เกิดภัยพิบัติใด ๆ ด้วยเหตุนี้ตราบใดที่พวกเขาขยัน ต้าเซี่ยก็ไม่มีวันที่จะอดตาย
บรรยากาศทุกครอบครัวต่างเต็มไปด้วยความสุขในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ กระทั่งตอนจุดธูปไหว้เทพเจ้า ก็ยังมิวายถวายป้ายอายุยืนให้แก่ฮ่องเต้ องค์หญิง และองค์รัชทายาท
พวกเขาหวังเพียงให้ฝ่าบาทผู้ทรงอุตสาหะ องค์หญิงผู้ประทานอาหารกับเสื้อผ้าที่อบอุ่น และองค์รัชทายาทผู้ช่วยเหลือราษฎรได้มีอายุยืนยาวตราบนานเท่านาน!
เมื่อผ่านพ้นปีใหม่ไปแล้ว ในไม่ช้าวันเกิดของเสี่ยวเป่าก็มาถึง พร้อมกับการฉลองวันเกิดอายุครบสิบสองอย่างมีความสุขโดยมีท่านพ่อและเหล่าพี่ชายล้อมวงอวยพร
เสี่ยวเป่าได้รับของขวัญมากมายจนถือไม่ไหว ความสุขที่ล้นเหลือทำเอานางยิ้มแก้มปริจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เผยให้เห็นฟันซี่ขาวเรียงสวย
หลังจากวันเกิดเสี่ยวเป่า ก็ต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ และเริ่มไถเตรียมหน้าดินอีกครั้ง
เข้าปีที่สามสิบสองของรัชศกจิ่งยวน…
และเป็นปีที่สามสิบสองในรัชสมัยของหนานกงสือเยวียน ตัวเขาที่อายุใกล้จะห้าสิบ ทว่ายังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์
ทุ่งหญ้าถูกต้าเซี่ยยึดครองโดยสมบูรณ์ ระยะเวลาสามปี มิเพียงจัดให้มีคาราวานพ่อค้าเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับฉางเซิงเทียน แต่ยังเปิดใช้เส้นทางสายไหมเป็นทางสัญจร
ช่วงเวลาที่ต้าเซี่ยมุ่งมั่นพัฒนาอาณาจักรให้มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกันอาณาจักรข้างเคียงทั้งสองก็เกิดจลาจลขึ้นภายในอยู่บ่อยครั้ง
การต่อสู้ระหว่างกษัตริย์เป่ยเยว่และอ๋องผู้ครองเมืองทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยแทบตลอดเวลา จนในท้ายที่สุดหลังการสังหารโดยไม่เลือกหน้าก็เหลือเชื้อพระวงศ์ตัวเล็ก ๆ เพียงไม่กี่คน
บรรดาตระกูลชั้นสูง เหล่าพระญาติรวมถึงขุนนางในราชสำนักเป่ยเยว่ต่างก็เปิดฉากต่อสู้ ทั่วทั้งเป่ยเยว่ตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย และกษัตริย์น้อยก็ถูกลดบทบาทเป็นเพียงหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์
บ้างก็ถูกเลี้ยงดูกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ บ้างก็หยิ่งผยองและโง่เขลาสิ้นดี
การต่อสู้อันไร้ที่สิ้นสุดของพวกคลั่งอำนาจที่ละโมบนำพาให้หมู่บ้านหลายแห่งต้องเข้าไปพัวพันกับการนองเลือด ประกอบกับภัยพิบัติธรรมชาติ สุดท้ายจึงนำไปสู่การก่อกบฏที่เกิดขึ้นในพื้นที่หลายแห่ง
จากนั้นก็ไม่รู้ว่า ‘ผู้ปราดเปรื่อง’ คนใดเสนอความคิดให้กษัตริย์น้อยส่งกำลังทหารไปบุกต้าเซี่ยในระหว่างที่พวกตนยังมีสงครามภายใน เพราะต้าเซี่ยมีเสบียงมากมาย ขอแค่กษัตริย์น้อยตอบตกลง พวกเขาก็จะมีอาหารแจกจ่ายให้พวกกบฏไม่รู้จักหมด จากนั้นเมื่อท้องอิ่มแล้ว พวกเขาก็จะแยกย้ายกันไปเอง
ความคิดเช่นนั้นไม่ผิดแต่อย่างใด ทว่า…
พวกเขาโง่เขลามากเสียจนมิได้ประเมินความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายเสียด้วยซ้ำ
กษัตริย์น้อยย่อมมิรู้ว่าต้าเซี่ยแข็งแกร่งเพียงใด เขาเพียงครุ่นคิดอย่างไร้เดียงสาถึงความสมเหตุสมผล เช่นนั้นก็บุกไปชิงเสบียงจากต้าเซี่ยให้รู้แล้วรู้รอด
หลังจากที่ต้าเซี่ยรู้ข่าว ทั่วทั้งราชสำนักก็ตกอยู่ในความเงียบ
ไม่เลวนี่ ไม่เลวเลยจริง ๆ!
กำลังคิดหาข้ออ้างไปตีเป่ยเยว่กับต้าหาน พวกเขาก็ยื่นโอกาสมาให้ถึงหน้าประตู
“ฝ่าบาท เป่ยเยว่รังแกกันเช่นนี้ ต้าเซี่ยยอมมิได้เด็ดขาด!”
“ฝ่าบาท โปรดส่งกองทัพโต้กลับด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ต้าเซี่ยของเรามิใช่จะหยามกันได้ง่าย ๆ!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีที่จะ…”
นับตั้งแต่ข่าวนี้มาถึง เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ในราชสำนักต่างก็กระตือรือร้นที่จะทำศึก ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงแทบจะตะโกนใส่พระพักตร์ของฝ่าบาทอยู่แล้ว
ฝ่าบาท คนเขามาประเคนให้ถึงที่แล้ว คนโง่เช่นนี้เหลือไม่มาก พวกเรารีบไปจัดการจะดีกว่า มิเช่นนั้นหากพลาดโอกาสนี้ไป ก็หาไม่ได้ง่าย ๆ แล้วนะ!
[1] ชุดกงจวง ชุดกึ่งทางการสำหรับสตรีในวัง
[2] การนับอายุแบบซวีซุ่ย เป็นการนับอายุตามแนวคิดที่มีมาแต่โบราณของชาวจีน ที่เชื่อว่าการที่สตรีตั้งครรภ์นั้นหมายถึงว่าชีวิตน้อยๆ ในครรภ์นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นระยะเวลาตั้งครรภ์ร่วมสิบเดือนพอเด็กคลอดออกมาจึงเริ่มนับอายุเป็นหนึ่งขวบ
[3] กู้หลุนจ่างกงจู่
………………………………………
Comments