เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 12: ครึ่งเดือน
ปี 1
บทที่ 12 – ครึ่งเดือน
“ว่าแต่เมื่อสักครู่นี้ฉันเห็นเธอจัดการเจ้าอสูรนั่นด้วยมือเปล่า.. ฉันเลยสงสัยว่านั่นมันคืออะไรเหรอ?”
เสียงของท่านเลทิเซียดังขึ้นดึงเอาฉันกลับมามีสติอีกครั้ง ฉันถึงกับตกใจกับคำถามของเธอ
อันที่จริงเมื่อครู่นี้เป็นแค่เวทมนตร์เสริมพละกำลังธรรมดาเท่านั้น แต่ถึงจะบอกว่าธรรมดาแต่บนโลกนี้คงมีคนทำได้น้อยมาก
แต่จะแพร่หลายหลังจากนี้ต่างหาก นั่นเป็นเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่แหละ ใช่แล้ว ท่านเลทิเซียเป็นคนเผยแพร่แนวคิดเวทมนตร์ใหม่นี้ให้กับโรงเรียน
ถึงแม้ฉันจะไม่สนใจเนื้อหายิบย่อยอะไรในเกมจีบหนุ่มนี่ แต่เพราะตัวเอกของเกมเคยได้รับคำแนะนำจากท่านเลทิเซีย
ฉันจึงตั้งใจจำคำพูดของเธอนั่นแหละ.. แต่ตอนนี้เวทมนตร์นี้มันยังไม่ถูกเผยแพร่สินะ.. หรือว่าเธอกำลังสงสัยฉัน?!
เดี๋ยวก่อนสิ หากเธอเข้าใจผิดว่าฉันเป็นศัตรูเธอจะไม่ฆ่าฉันใช่ไหมเนี่ย อีกอย่างตัวฉันหรืออนาสตาเซียล้วนมีชะตากรรมในรูทหนึ่งที่ต้องถูกฆ่าโดยเธอด้วย
ไม่ใช่ว่าเธอจะชิงลงมือฆ่าฉันก่อนหน้านั้น เพราะฉันแสดงความเป็นภัยอันตรายออกมาหรอกนะ
สาเหตุที่ฉันมาโรงเรียนนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อพบกับท่านเลทิเซีย.. เอ่อ.. นั่นอาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งก็ได้แหละ..
แต่ที่ฉันมาเพราะว่าฉันต้องการหาทางหนีทีไล่ไว้เตรียมตัวออกจากตระกูลขุนนางนี่น่า ฉันถูกจับหมั้นกับเจ้าองค์ชายนั่นมันช่วยฉันเรื่องหนึ่งคือ ไม่มีผู้ชายไหนเข้ามายุ่งกับฉัน.. เพราะฉันไม่ค่อยถูกกับผู้ชายล่ะนะ
เพราะงั้นฉันเลยต้องมาที่โรงเรียน เพราะโรงเรียนนี่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเหมือนโรงเรียนฝึกนักผจญภัยนั่นแหละ
แน่นอนที่ฉันมาเรียนที่นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าคู่หมั้นนั่นอย่างแน่นอน…
นับตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็ผ่านมาสิบสามปีแล้ว.. ไอ้การเกิดใหม่ในโลกเกมจีบหนุ่มสำหรับฉันมันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก
แต่เพราะในยุคที่ฉันอยู่ สื่อบันเทิงแนวนั้นมีค่อนข้างหลากหลายพอสมควรพอได้เจอกับตัวแทนที่จะเป็นความหวาดกลัวแต่กลับเป็นความตื่นเต้นซะมากกว่า
ฉันอนาสตาเซียถูกจับหมั้นหมายกับองค์ชายตั้งแต่ที่พวกเราสองคนยังไม่รู้จัก เพราะท่านปู่ฉันรู้จักกับกษัตริย์องค์ก่อน
ทำให้พวกเขาสองคนตกลงว่าหากหลานพวกเขาเกิดมาจะมีการหมั้นหมายเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าฉันปฏิเสธไม่ได้
เพราะแบบนั้นตั้งแต่เด็กๆ ฉันจึงถูกอบรมอย่างหนักโดยคนสอนมารยาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงควรจะทำในยามที่ผู้ชายทำงาน
และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งสารภาพตามตรงฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ นี่ถ้าฉันไม่เคยเล่นเกมมาก่อนคือฉันถูกจับหมั้น ฝึกเรียนมารยาทอยู่สิบกว่าปี
เพื่อคนที่ไม่รู้จักหน้าหรือเคยเจอกันสักครั้งมาก่อน เป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมอย่างมาก แต่ในเกมไม่ได้เล่าตรงส่วนนี้ของอนาสตาเซียผู้เล่นเลยไม่รู้กัน
แต่พอฉันมาเจอกับตัวเองฉันถึงได้เข้าใจว่า.. อนาสตาเซียเธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารขนาดไหน ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังรักองค์ชายนั่นแบบจริงๆ จังๆ ขึ้นมา
แถมตอนท้ายเกมยังไปทำสัญญากับ.. เฮ้อ
ไอ้คนแบบฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกว่าทำไมถึงลงทุนทำขนาดนั้นไปได้ แต่เอาเป็นว่าฉันจะขอเคารพความคิดของเธอแล้วกันนะ
ไม่ได้สิ.. เราจะหลุดไปในโลกแห่งความคิดตัวเองอีกแล้ว ฉันหันกลับไปตอบท่านเลทิเซีย..
“มันคือเวทมนตร์—”
แต่ก่อนที่ฉันจะพูดท่านเลทิเซียก็พูดเหมือนรู้ว่าฉันจะพูดอะไร
“อ้อ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงปริมาณพลังเวทของเธอต่างหาก.. อ๊ะ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ ฉันแค่สงสัยเฉยๆ ”
เธอพูดกับฉันแบบนั้น ก่อนที่จะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ท่าทีที่ค่อนข้างจริงจังเมื่อสักครู่หายไปแต่กลับมาเป็นมิตรดังเดิม..
ปริมาณพลังเวท? หมายถึงปริมาณพลังเวทของฉันงั้นสินะ ก็นะตามแนวคิดของโลกใบนี้ฉันที่เป็นมนุษย์ก็ควรจะมีพลังเวทน้อยสิ
อะไรแบบนั้น แต่ก็นะในฐานะที่เป็นผู้เกิดใหม่ และเข้าใจเซตติ้งของโลกใบนี้ ฉันก็ต้องมีการโกงเกมกันเกิดขึ้นบ้างแหละน่า
แบบว่าฉันต้องการจะผจญภัยไปหาสาวโลลิหูสัตว์นี่น่า ถ้าไม่มีกำลังวังชาอะไรเลยละก็ จะกลายเป็นกระสอบทรายให้เข้ากระทืบซะมากกว่า
“คือว่า.. พอดีฉันฝึกมาน่ะค่ะ..”
“ฝึก? ทำได้ด้วยเหรอแบบนั้นน่ะ”
“แน่นอนค่ะ”
ฉันตอบออกไปอย่างมั่นใจ.. ก็นะฉันคิดว่าการเพิ่มพลังเวทมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างโกงมากเพราะงั้นจะบอกซี้ซั้วไม่ได้หรอก
แถมฉันคิดว่าคงไม่จำเป็นสำหรับท่านเลทิเซียเท่าไหร่น่ะนะ ก็แหม โลกนี้มันมีแนวคิดเปรียบว่าพลังเวทคือน้ำในแก้ว
สำหรับมนุษย์นั้นค่อนข้างมีน้ำในแก้วน้อย.. แต่ว่าแก้วนั้นก็ไม่ได้เล็กใช่ไหมล่ะ ว่าง่ายๆ มนุษย์มีร่างกายที่เป็นภาชนะซึ่งสามารถเพิ่มพลังเวทได้อีก
เพียงแต่ว่าการเพิ่มพลังเวทล่ะ จะทำยังไง.. พวกเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้ตอนฝึกรินน้ำชา
ในอากาศเรานั้นมีไอน้ำบางๆ ลอยอยู่เสมอ แต่ถ้าเราเอาแก้วไปตั้งไว้ไม่มีทางที่ไอน้ำจะมาเติมเต็มกลายเป็นน้ำในแก้ว
นั่นหมายความว่าฉันน่ะไม่สามารถเพิ่มพลังเวทโดยการดูดเอาพลังเวทรอบตัวมาใช้ได้ เพราะมันเบาบางจนเกินไปหากไม่มีเครื่องช่วยน่ะ
แต่แล้วเราจะเอาไอน้ำจากอากาศทำไมในเมื่อเราก็มีน้ำจากที่อื่นรอบตัวเช่น.. พลังเวทในตัวของคนอื่นนั่นเอง
ใช่แล้วเราก็แค่เอาน้ำในแก้วจากแก้วคนอื่นมาเติมใส่ในแก้วเราก็พอ.. แถมเวทมนตร์นั้นจะฟื้นกลับมาเองเสมอ
นั่นหมายความว่าไม่เป็นผลร้ายต่อร่างกายตัวเอง และด้วยแบบนั้นฉันก็เลยแอบไปดูดพลังเวทจากตัวของเจ้าองค์ชายที่เป็นคู่หมั้นฉัน
ก็นะ เพราะหมอนั่นฉันเลยต้องฝึกมารยาทนี่น่า ก็ต้องมีเอาคืนซะบ้างฉันแอบเข้าไหในห้องเขาตอนกลางคืนแล้วก็ดูดพลังเวทมาซะเลย
ถามว่าลอบเข้าไปได้ไง.. นี่คือโลกแฟนตาซีเวทมนตร์นะเฮ้ย แถมฉันเป็นผู้หญิงโสดอายุสามสิบเลยนะ!
แถมเวทมนตร์มนุษย์ในโลกนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งถ้ามีความรู้.. ซึ่งไอ้ฉันก็เป็นคนจากอีกโลกที่วิทยาการก้าวหน้า
การใช้เวทมนตร์หักเหแสงออกไปให้ตัวเองไม่มีแสงสะท้อนใส่ร่าง และปิดกั้นคลื่นความถี่ทุกอย่างรอบตัวแค่นี้ก็แอบเข้าได้สบายอยู่แล้ว
และก็ถึงจะไม่เป็นพิษต่อร่างกายเขา แต่ตื่นมาก็มีความรู้สึกเหนื่อยๆ กันบ้างล่ะ แค่นี้ก็สะใจแล้วล่ะนะ
“งั้นสินะ ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ”
ท่านเลทิเซียว่าแบบนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงโรงเรียนลิเบอร์แล้ว แถมพวกเรายังเดินทางกลับมาถึงพร้อมกับอีกกลุ่มหนึ่งด้วย
ซึ่งดูจากหน้าตาพวกเด็กผู้หญิงในห้องฉันก็รู้แทบจะทันทีว่าเป็นห้อง B บอกไปแล้วว่าเกมจีบหนุ่มเกมนี้มันลงรายละเอียดเยอะ
แม้แต่ตัวประกอบมีซีนเดียวก็มีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์น่าจดจำ.. ส่วนฉันจำแค่ตัวละครที่เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักเท่านั้นแหละ
พอห้อง B ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพวกเราก็มีห้อง C ตามมาติดๆ ก่อนจะมีห้อง D และห้อง E ตามมาไม่ห่าง
ราวกับเป็นการพบปะกันของศัตรูคู่เก่า ทั้งห้าห้องนั้นแม้จะอยู่ในโรงเรียนแต่ก็มีการชิงดีชิงเด่นตามประสาเด็ก
มีแค่ห้องพิเศษที่ถูกยุบไปทีหลังนั่นแหละที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่น เพราะกิจกรรมของห้องพิเศษนั้นค่อนข้างเยอะกว่าห้องอื่นๆ
แต่ถึงแบบนั้นอีกห้าห้องที่เหลือก็ยังมีการแข่งขันไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเกรดเฉลี่ยของห้อง หรือคะแนนรวมต่อบุคคลว่าอยู่ห้องไหน
“ห้อง A นี่มาช้าจังเลยน้า.. สงสัยคงใช้เวลาในการปราบอสูรนานล่ะสินะ?”
ชายคนหนึ่งกล่าวติดตลกขึ้น เป็นคนจากห้อง B ล่ะ.. ซึ่งหน้าตาก็เป็นเหมือนตัวประกอบมาก เอาเข้าจริงสำหรับฉันผู้ชายก็เหมือนตัวประกอบทุกคนนั่นแหละนะ
“อย่ามาตลกนะ พวกเจ้านั่นแหละที่มาช้ากว่าน่ะ”
ห้อง A เองก็ตอบโต้เช่นกัน.. และก็เริ่มมีปากเสียงตามภาษาเด็ก ก็มีอาจารย์คนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับทุกคนพร้อมกับกล่าวเสียงดังลั่น
“เงียบ!”
สิ้นเสียงของเขานักเรียนทุกคนก็เงียบลงแทบจะทันที อาจารย์ที่นำห้องแต่ละห้องไปปราบอสูรก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์คนนั้น
อาจารย์คนนี้ถ้าจำไม่ผิดเขาคือศาสตราจารย์ผู้ที่ผสานวิชาเวทมนตร์เต๋าและการต่อสู้ระยะประชิดเข้าด้วยกัน
ศาสตราจารย์นอร์แมน เขาดันแว่นตัวเองขึ้นพร้อมกับกล่าว..
“นับจากนี้อีกครึ่งเดือน.. พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัว แม้จะไม่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนแต่นักเรียนทุกคนในชั้นปีหนึ่งล้วนจำต้องไปกันทุกคน”
“และอย่าลืมว่าพวกเจ้าคือหน้า คือตาของโรงเรียนอย่าได้แสดงท่าทางเหมือนหมาในกรงแบบนั้นออกมาให้โรงเรียนอื่นได้ดูถูก!”
“คนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนนั้นจะมี ศึกนอกสังเวียน ให้เข้าร่วมเป็นการเฟ้นหาผู้มีความสามารถที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ตอนที่ล่าอสูร!”
“ดังนั้น.. พวกเจ้าทุกคนล้วนมีส่วนร่วมกับงานในครั้งนี้!”
“เตรียมตัวให้พร้อม!”
เขากล่าวพลางดันแว่นของตัวเองขึ้น…
อืม.. ก็เหมือนในเกมเลยอะนะ
Comments
เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 12: ครึ่งเดือน
ปี 1
บทที่ 12 – ครึ่งเดือน
“ว่าแต่เมื่อสักครู่นี้ฉันเห็นเธอจัดการเจ้าอสูรนั่นด้วยมือเปล่า.. ฉันเลยสงสัยว่านั่นมันคืออะไรเหรอ?”
เสียงของท่านเลทิเซียดังขึ้นดึงเอาฉันกลับมามีสติอีกครั้ง ฉันถึงกับตกใจกับคำถามของเธอ
อันที่จริงเมื่อครู่นี้เป็นแค่เวทมนตร์เสริมพละกำลังธรรมดาเท่านั้น แต่ถึงจะบอกว่าธรรมดาแต่บนโลกนี้คงมีคนทำได้น้อยมาก
แต่จะแพร่หลายหลังจากนี้ต่างหาก นั่นเป็นเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่แหละ ใช่แล้ว ท่านเลทิเซียเป็นคนเผยแพร่แนวคิดเวทมนตร์ใหม่นี้ให้กับโรงเรียน
ถึงแม้ฉันจะไม่สนใจเนื้อหายิบย่อยอะไรในเกมจีบหนุ่มนี่ แต่เพราะตัวเอกของเกมเคยได้รับคำแนะนำจากท่านเลทิเซีย
ฉันจึงตั้งใจจำคำพูดของเธอนั่นแหละ.. แต่ตอนนี้เวทมนตร์นี้มันยังไม่ถูกเผยแพร่สินะ.. หรือว่าเธอกำลังสงสัยฉัน?!
เดี๋ยวก่อนสิ หากเธอเข้าใจผิดว่าฉันเป็นศัตรูเธอจะไม่ฆ่าฉันใช่ไหมเนี่ย อีกอย่างตัวฉันหรืออนาสตาเซียล้วนมีชะตากรรมในรูทหนึ่งที่ต้องถูกฆ่าโดยเธอด้วย
ไม่ใช่ว่าเธอจะชิงลงมือฆ่าฉันก่อนหน้านั้น เพราะฉันแสดงความเป็นภัยอันตรายออกมาหรอกนะ
สาเหตุที่ฉันมาโรงเรียนนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อพบกับท่านเลทิเซีย.. เอ่อ.. นั่นอาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งก็ได้แหละ..
แต่ที่ฉันมาเพราะว่าฉันต้องการหาทางหนีทีไล่ไว้เตรียมตัวออกจากตระกูลขุนนางนี่น่า ฉันถูกจับหมั้นกับเจ้าองค์ชายนั่นมันช่วยฉันเรื่องหนึ่งคือ ไม่มีผู้ชายไหนเข้ามายุ่งกับฉัน.. เพราะฉันไม่ค่อยถูกกับผู้ชายล่ะนะ
เพราะงั้นฉันเลยต้องมาที่โรงเรียน เพราะโรงเรียนนี่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเหมือนโรงเรียนฝึกนักผจญภัยนั่นแหละ
แน่นอนที่ฉันมาเรียนที่นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าคู่หมั้นนั่นอย่างแน่นอน…
นับตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็ผ่านมาสิบสามปีแล้ว.. ไอ้การเกิดใหม่ในโลกเกมจีบหนุ่มสำหรับฉันมันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก
แต่เพราะในยุคที่ฉันอยู่ สื่อบันเทิงแนวนั้นมีค่อนข้างหลากหลายพอสมควรพอได้เจอกับตัวแทนที่จะเป็นความหวาดกลัวแต่กลับเป็นความตื่นเต้นซะมากกว่า
ฉันอนาสตาเซียถูกจับหมั้นหมายกับองค์ชายตั้งแต่ที่พวกเราสองคนยังไม่รู้จัก เพราะท่านปู่ฉันรู้จักกับกษัตริย์องค์ก่อน
ทำให้พวกเขาสองคนตกลงว่าหากหลานพวกเขาเกิดมาจะมีการหมั้นหมายเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าฉันปฏิเสธไม่ได้
เพราะแบบนั้นตั้งแต่เด็กๆ ฉันจึงถูกอบรมอย่างหนักโดยคนสอนมารยาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงควรจะทำในยามที่ผู้ชายทำงาน
และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งสารภาพตามตรงฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ นี่ถ้าฉันไม่เคยเล่นเกมมาก่อนคือฉันถูกจับหมั้น ฝึกเรียนมารยาทอยู่สิบกว่าปี
เพื่อคนที่ไม่รู้จักหน้าหรือเคยเจอกันสักครั้งมาก่อน เป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมอย่างมาก แต่ในเกมไม่ได้เล่าตรงส่วนนี้ของอนาสตาเซียผู้เล่นเลยไม่รู้กัน
แต่พอฉันมาเจอกับตัวเองฉันถึงได้เข้าใจว่า.. อนาสตาเซียเธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารขนาดไหน ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังรักองค์ชายนั่นแบบจริงๆ จังๆ ขึ้นมา
แถมตอนท้ายเกมยังไปทำสัญญากับ.. เฮ้อ
ไอ้คนแบบฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกว่าทำไมถึงลงทุนทำขนาดนั้นไปได้ แต่เอาเป็นว่าฉันจะขอเคารพความคิดของเธอแล้วกันนะ
ไม่ได้สิ.. เราจะหลุดไปในโลกแห่งความคิดตัวเองอีกแล้ว ฉันหันกลับไปตอบท่านเลทิเซีย..
“มันคือเวทมนตร์—”
แต่ก่อนที่ฉันจะพูดท่านเลทิเซียก็พูดเหมือนรู้ว่าฉันจะพูดอะไร
“อ้อ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงปริมาณพลังเวทของเธอต่างหาก.. อ๊ะ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ ฉันแค่สงสัยเฉยๆ ”
เธอพูดกับฉันแบบนั้น ก่อนที่จะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ท่าทีที่ค่อนข้างจริงจังเมื่อสักครู่หายไปแต่กลับมาเป็นมิตรดังเดิม..
ปริมาณพลังเวท? หมายถึงปริมาณพลังเวทของฉันงั้นสินะ ก็นะตามแนวคิดของโลกใบนี้ฉันที่เป็นมนุษย์ก็ควรจะมีพลังเวทน้อยสิ
อะไรแบบนั้น แต่ก็นะในฐานะที่เป็นผู้เกิดใหม่ และเข้าใจเซตติ้งของโลกใบนี้ ฉันก็ต้องมีการโกงเกมกันเกิดขึ้นบ้างแหละน่า
แบบว่าฉันต้องการจะผจญภัยไปหาสาวโลลิหูสัตว์นี่น่า ถ้าไม่มีกำลังวังชาอะไรเลยละก็ จะกลายเป็นกระสอบทรายให้เข้ากระทืบซะมากกว่า
“คือว่า.. พอดีฉันฝึกมาน่ะค่ะ..”
“ฝึก? ทำได้ด้วยเหรอแบบนั้นน่ะ”
“แน่นอนค่ะ”
ฉันตอบออกไปอย่างมั่นใจ.. ก็นะฉันคิดว่าการเพิ่มพลังเวทมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างโกงมากเพราะงั้นจะบอกซี้ซั้วไม่ได้หรอก
แถมฉันคิดว่าคงไม่จำเป็นสำหรับท่านเลทิเซียเท่าไหร่น่ะนะ ก็แหม โลกนี้มันมีแนวคิดเปรียบว่าพลังเวทคือน้ำในแก้ว
สำหรับมนุษย์นั้นค่อนข้างมีน้ำในแก้วน้อย.. แต่ว่าแก้วนั้นก็ไม่ได้เล็กใช่ไหมล่ะ ว่าง่ายๆ มนุษย์มีร่างกายที่เป็นภาชนะซึ่งสามารถเพิ่มพลังเวทได้อีก
เพียงแต่ว่าการเพิ่มพลังเวทล่ะ จะทำยังไง.. พวกเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้ตอนฝึกรินน้ำชา
ในอากาศเรานั้นมีไอน้ำบางๆ ลอยอยู่เสมอ แต่ถ้าเราเอาแก้วไปตั้งไว้ไม่มีทางที่ไอน้ำจะมาเติมเต็มกลายเป็นน้ำในแก้ว
นั่นหมายความว่าฉันน่ะไม่สามารถเพิ่มพลังเวทโดยการดูดเอาพลังเวทรอบตัวมาใช้ได้ เพราะมันเบาบางจนเกินไปหากไม่มีเครื่องช่วยน่ะ
แต่แล้วเราจะเอาไอน้ำจากอากาศทำไมในเมื่อเราก็มีน้ำจากที่อื่นรอบตัวเช่น.. พลังเวทในตัวของคนอื่นนั่นเอง
ใช่แล้วเราก็แค่เอาน้ำในแก้วจากแก้วคนอื่นมาเติมใส่ในแก้วเราก็พอ.. แถมเวทมนตร์นั้นจะฟื้นกลับมาเองเสมอ
นั่นหมายความว่าไม่เป็นผลร้ายต่อร่างกายตัวเอง และด้วยแบบนั้นฉันก็เลยแอบไปดูดพลังเวทจากตัวของเจ้าองค์ชายที่เป็นคู่หมั้นฉัน
ก็นะ เพราะหมอนั่นฉันเลยต้องฝึกมารยาทนี่น่า ก็ต้องมีเอาคืนซะบ้างฉันแอบเข้าไหในห้องเขาตอนกลางคืนแล้วก็ดูดพลังเวทมาซะเลย
ถามว่าลอบเข้าไปได้ไง.. นี่คือโลกแฟนตาซีเวทมนตร์นะเฮ้ย แถมฉันเป็นผู้หญิงโสดอายุสามสิบเลยนะ!
แถมเวทมนตร์มนุษย์ในโลกนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งถ้ามีความรู้.. ซึ่งไอ้ฉันก็เป็นคนจากอีกโลกที่วิทยาการก้าวหน้า
การใช้เวทมนตร์หักเหแสงออกไปให้ตัวเองไม่มีแสงสะท้อนใส่ร่าง และปิดกั้นคลื่นความถี่ทุกอย่างรอบตัวแค่นี้ก็แอบเข้าได้สบายอยู่แล้ว
และก็ถึงจะไม่เป็นพิษต่อร่างกายเขา แต่ตื่นมาก็มีความรู้สึกเหนื่อยๆ กันบ้างล่ะ แค่นี้ก็สะใจแล้วล่ะนะ
“งั้นสินะ ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ”
ท่านเลทิเซียว่าแบบนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงโรงเรียนลิเบอร์แล้ว แถมพวกเรายังเดินทางกลับมาถึงพร้อมกับอีกกลุ่มหนึ่งด้วย
ซึ่งดูจากหน้าตาพวกเด็กผู้หญิงในห้องฉันก็รู้แทบจะทันทีว่าเป็นห้อง B บอกไปแล้วว่าเกมจีบหนุ่มเกมนี้มันลงรายละเอียดเยอะ
แม้แต่ตัวประกอบมีซีนเดียวก็มีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์น่าจดจำ.. ส่วนฉันจำแค่ตัวละครที่เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักเท่านั้นแหละ
พอห้อง B ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพวกเราก็มีห้อง C ตามมาติดๆ ก่อนจะมีห้อง D และห้อง E ตามมาไม่ห่าง
ราวกับเป็นการพบปะกันของศัตรูคู่เก่า ทั้งห้าห้องนั้นแม้จะอยู่ในโรงเรียนแต่ก็มีการชิงดีชิงเด่นตามประสาเด็ก
มีแค่ห้องพิเศษที่ถูกยุบไปทีหลังนั่นแหละที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่น เพราะกิจกรรมของห้องพิเศษนั้นค่อนข้างเยอะกว่าห้องอื่นๆ
แต่ถึงแบบนั้นอีกห้าห้องที่เหลือก็ยังมีการแข่งขันไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเกรดเฉลี่ยของห้อง หรือคะแนนรวมต่อบุคคลว่าอยู่ห้องไหน
“ห้อง A นี่มาช้าจังเลยน้า.. สงสัยคงใช้เวลาในการปราบอสูรนานล่ะสินะ?”
ชายคนหนึ่งกล่าวติดตลกขึ้น เป็นคนจากห้อง B ล่ะ.. ซึ่งหน้าตาก็เป็นเหมือนตัวประกอบมาก เอาเข้าจริงสำหรับฉันผู้ชายก็เหมือนตัวประกอบทุกคนนั่นแหละนะ
“อย่ามาตลกนะ พวกเจ้านั่นแหละที่มาช้ากว่าน่ะ”
ห้อง A เองก็ตอบโต้เช่นกัน.. และก็เริ่มมีปากเสียงตามภาษาเด็ก ก็มีอาจารย์คนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับทุกคนพร้อมกับกล่าวเสียงดังลั่น
“เงียบ!”
สิ้นเสียงของเขานักเรียนทุกคนก็เงียบลงแทบจะทันที อาจารย์ที่นำห้องแต่ละห้องไปปราบอสูรก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์คนนั้น
อาจารย์คนนี้ถ้าจำไม่ผิดเขาคือศาสตราจารย์ผู้ที่ผสานวิชาเวทมนตร์เต๋าและการต่อสู้ระยะประชิดเข้าด้วยกัน
ศาสตราจารย์นอร์แมน เขาดันแว่นตัวเองขึ้นพร้อมกับกล่าว..
“นับจากนี้อีกครึ่งเดือน.. พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัว แม้จะไม่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนแต่นักเรียนทุกคนในชั้นปีหนึ่งล้วนจำต้องไปกันทุกคน”
“และอย่าลืมว่าพวกเจ้าคือหน้า คือตาของโรงเรียนอย่าได้แสดงท่าทางเหมือนหมาในกรงแบบนั้นออกมาให้โรงเรียนอื่นได้ดูถูก!”
“คนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนนั้นจะมี ศึกนอกสังเวียน ให้เข้าร่วมเป็นการเฟ้นหาผู้มีความสามารถที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ตอนที่ล่าอสูร!”
“ดังนั้น.. พวกเจ้าทุกคนล้วนมีส่วนร่วมกับงานในครั้งนี้!”
“เตรียมตัวให้พร้อม!”
เขากล่าวพลางดันแว่นของตัวเองขึ้น…
อืม.. ก็เหมือนในเกมเลยอะนะ
Comments