เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 5: เวทมนตร์และกลศาสตร์ควอนตัม
ปี 1
บทที่ 5 – เวทมนตร์และกลศาสตร์ควอนตัม
เลทิเซียเองก็คิดตามสิ่งที่ศาสตราจารย์พูดเหมือนกัน เพราะหัวข้อนี้ไม่ใช่การทบทวนการเรียนตลอดครึ่งเทอมที่ผ่านมา
เลวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซียก็ยกมือขึ้น พร้อมกับพูดขึ้น
“แต่ว่าศาสตราจารย์คะ เวทมนตร์ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากของกึ่งมนุษย์และปีศาจไม่ใช่เหรอคะ? เพราะว่าเวทมนตร์มนุษย์จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘หลักการ’ หรือ ‘สูตร’ เช่น.. หากข้าอยากจะสร้างไฟข้าต้องเข้าใจว่า ไฟเกิดจากอะไรบ้าง..”
“แต่ตามที่ศาสตราจารย์กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้เหมือนกำลังพยายามจะบอกว่า ‘เวทมนตร์น่ะอยู่นอกหลักความจริง ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบก็ใช้ได้’ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเวทมนตร์มนุษย์ในการจะแทรกแซงอะไรบางอย่างนั้นต้องใช้หลักการ ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักหรือไม่มีอยู่จริงมันก็ไม่สามารถสร้างได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
เลวี่กล่าวถามออกไปแบบนั้น ศาสตราจารย์คนนั้นแปลกใจเล็กน้อยแต่เขาก็รู้ดีว่าห้องเรียนพิเศษเป็นห้องแบบไหน
นอกจากนี้พอเลวี่ถามคำถามขึ้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกันเขารู้สึกชื่นชมเลวี่ด้วยซ้ำ เขาพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ
“เป็นคำถามที่ดี คุณเลวิเนีย”
ถึงแม้เลวิเนียจะเป็น ‘องค์หญิง’ แต่สำหรับที่นี่แล้วเธอเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์.. ศาสตราจารย์ใช้สรรพนาม ‘คุณ’ หาใช่ ‘ท่าน’
ซึ่งทุกคนล้วนทราบกันดีว่ามันควรเป็นแบบนั้น เพราะนี่คือโรงเรียนที่ตั้งอยู่นอกอาณาจักร.. ซึ่งตั้งอยู่เขตที่เรียกว่า ‘ดินแดนไร้อาณา’
เป็นดินแดนที่ไม่อยู่ภายใต้อาณาจักรใดเลย ซึ่งว่าง่ายๆ คือกฎหมายในอาณาจักรอื่นใช้ไม่ได้ที่นี่นั่นแหละ ซึ่งความจริงแล้วสถานที่แบบนี้ควรจะเต็มไปด้วยอาชญากรรม
แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่ดูแลดินแดนไร้อาณาแห่งนี้อยู่คือโรงเรียนเวทมนตร์นั่นแหละ ถ้าให้เปรียบเทียบโรงเรียนลิเบอร์เหมือนเชื้อพระวงศ์
ที่ปกครองดินแดนไร้อาณาอยู่.. แค่ว่าที่แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีการเสียภาษีอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่มีการรองรับความปลอดภัยเช่นกัน
แม้พวกโจรหรือคนชั่งจะหวาดเกรงต่อโรงเรียนลิเบอร์เลยลงมือแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ก็จริง แต่ว่าก็ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกโรงเรียนนี้มีบอร์ดภารกิจซึ่งช่วยฝึกนักเรียนอยู่ ซึ่งหากมีการปล้นกันเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้
นักเรียนจะสามารถรับภารกิจไปจัดการโจรเหล่านั้นได้นั่นแหละ ว่าง่ายๆ คือถึงโรงเรียนลิเบอร์จะไม่เก็บภาษีแต่ถ้าหากมีการปล้นกันเกิดขึ้นก็จะช่วยฝึกให้นักเรียนได้
นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันทั่วไปว่านักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ระดับทวีปเก่งขนาดไหน.. อาชญากรรมในแดนไร้อาณาเลยมีค่อนข้างน้อย
เพราะกลัวจะได้มีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนลิเบอร์.. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี มีคนชั่วมากมายที่ดูถูกเด็กน่ะนะ.. ถึงสุดท้ายก็โดนเก็บซะเรียบก็เถอะนะ
กลับมาเรื่องเดิมกันก่อน.. ศาสตราจารย์คนนั้นกล่าวชมเลวิเนียที่ตั้งคำถามได้ถูกประเด็นดี.. ศาสตราจารย์คนนี้มีชื่อว่า ‘โรเบิร์ด’
เขาเป็นผู้ศึกษาและเชี่ยวชาญในเรื่องจิตวิทยาเวท.. จิตวิทยาเวทคืออะไร ก็เหมือนกับจิตวิทยาทั่วไป แต่จิตวิทยาทั่วไปนั้นจะเป็นการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์
หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่จิตวิทยาเวทก็คือการศึกษาเจาะลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของรูปแบบเวทมนตร์
เช่นแบบที่กล่าวไปข้างต้น ทำไมการใช้เวทมนตร์ถึงไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นการสร้างของตัวมันเอง เพราะว่านั่นคือพฤติกรรมของเวทมนตร์อย่างหนึ่ง
เขากล่าวตอบเลวี่ด้วยรอยยิ้มว่า
“แน่นอนว่าสิ่งที่คุณเลวิเนียพูดมาคือความจริง.. ไม่ใช่เพียงแค่เวทมนุษย์หรอกแต่รวมถึงเวทปีศาจและเวทกึ่งมนุษย์ด้วย”
“พวกเขาไม่สามารถสร้างหรือหยิบยืมสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จักได้ เพราะการใช้เวทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดย ‘ผู้สังเกต’ หรือก็คือตัวเรา”
“และผู้สังเกตไม่มีทางที่จะสามารถสร้างสิ่งที่ตนเองไม่รู้จักออกมาได้ถูกหรือเปล่า?”
เขากล่าวแบบนั้น เลวี่ก็พยักหน้า..
แต่โรเบิร์ดยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม..
“คุณเลวิเนีย คุณรู้จักแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์หรือเปล่า?”
เลวี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็เอียงคอสงสัย ไม่ใช่แค่เลวี่ทุกคนเลยแหละที่อยู่ในห้องแห่งนี้ล้วนงุนงง มีเพียงคนเดียวที่เหมือนจะถูกปลุกออกมาจากทะเลความคิดจากคำพูดนี้
แน่นอนว่าคนคนนั้นคือเลทิเซีย.. เลทิเซียได้ยินคำพูดของศาสตราจารย์โรเบิร์ดเธอก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“อะไรนะ?!”
“คุณเลทิเซีย? คุณรู้จักทฤษฎีที่ผมกล่าวไปงั้นเหรอ?”
ศาสตราจารย์ที่เห็นเลทิเซียตอบสนองกับคำพูดของเขา เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย.. แต่ก็ถามอแกไผด้วยความฉงน
เลทิเซียเป็นเด็กที่ฉลาด เขารู้และอาจารย์หรือศาสตราจารย์ทุกคนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเรื่องเวทมนตร์เลทิเซียแทบนำหน้าอาจารย์อย่างพวกเขาด้วยซ้ำ
แต่ทฤษฎีนี้.. เป็นทฤษฎีที่ถูกค้นพบโดยตัวของเขาเองจากซากโบราณสถานที่คาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีก่อนเลยนะ
เลทิเซียจะรู้จักเรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ..
“เมื่อกี้ศาสตราจารย์บอกว่าเป็นแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์ ใช่ไหมคะ?”
“แน่นอนครับ คุณเลทิเซียรู้จักหรือ?”
เลทิเซียพยักหน้าเล็กน้อย.. ไม่รู้จักได้ไงล่ะ เธอน่ะรู้จักดีเลยด้วยซ้ำทฤษฎีดังโลกแตกแบบนั้นน่ะ ใช่.. ทฤษฎีในโลกเก่าของเธอ
เลทิเซียเป็นผู้กลับชาติมาเกิด และก่อนที่เธอจะกลับชาติมาเกิดเธอเป็นถึงผู้ช่วยในโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์
โปรเจกต์ ‘ไทม์มีชชีน’ ใช่ เธอเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ที่สร้างไทม์มีชชีนเครื่องแรกของโลก และก็ทำสำเร็จจริงๆ แล้วด้วย
และแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นคนในแวดวงนี้จะไม่รู้จักแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์ก็คงแปลกๆ … แต่ที่เธอตกใจทำไมทฤษฎีนั้นถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ?
อันที่จริงแนวคิดของแมวในกล่องโลกนี้อาจจะมีคนคิดแบบคุณชโรดิงเงอร์ก็ได้… แต่ชื่อทฤษฎีมันคือ แมวในกล่องของชโรดิงเงอร์!
หรือก็คือทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของคุณชโรดิงเงอร์จากโลกก่อนอย่างแน่นอน แล้วมันมาอยู่ในโลกนี้ได้ไงล่ะ?
เป็นคนเกิดใหม่แบบเลทิเซียแล้วเอามาเผยแพร่งั้นเหรอ? .. แต่ถ้าเป็นงั้นทำไมไม่เคลมว่าเป็นทฤษฎีของตัวเองโดยการใส่ชื่อตัวเองแทนซะละ
อีกอย่าง.. มีคนเกิดใหม่นอกจากเลทิเซียด้วยอย่างงั้นเหรอ? เธอได้แต่ขมวดคิ้วกับตัวเอง.. แต่ก็วางไว้ข้างๆ ฟังสิ่งที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ดพูด
“งั้นก็พอดีเลย ข้าลังเลว่าจะพูดดีไหมเพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าพึ่งค้นพบมาเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าคุณเลทิเซียรู้จักก็หมายความว่าคงจะมีการบันทึกไว้ที่อื่นด้วยงั้นสินะ”
เขาไม่คิดว่าเลทิเซียจะโกหก และไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่เลทิเซียจะต้องโกหกด้วย เขากล่าวสืบต่อไปว่า
“แมวของชโรดิงเงอร์คือ.. สมมุติว่าเอาแมวเข้าไปไว้ใจกล่องกล่องหนึ่ง และเราที่เป็นผู้สังเกตนั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่าแมวที่อยู่ในกล่องนั้นเป็นหรือตายตราบใดที่ยังไม่เปิดมันออกมาดูถูกหรือเปล่า?”
“ซึ่งนั่นหมายความว่า ความเป็นไปได้ที่แมวที่อยู่ในกล่องกล่องนี้จะตายหรือไม่ตายคือ 50/50”
“และนั่นก็หมายความว่าสถานะของแมวตัวนี้จะมีสถานะคือทั้งตายและไม่ตายในเวลาเดียวกัน หรือพูดอีกอย่างคือ แมวตัวนี้จะทั้งตายและไม่ตายในเวลาเดียวกันนั่นเอง”
เลวี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวขึ้น
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะความจริงเป็นสิ่งที่แน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นภายในกล่องแต่ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องจะไม่แน่นอน”
ศาสตราจารย์โรเบิร์ดยังคงยิ้มแล้วกล่าวตอบ
“ถูกต้องแค่ส่วนหนึ่งครับ.. แต่ว่าความจริงภายในกล่องตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนครับ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้สังเกตการณ์’ มองดูความจริงไง มันเลยจะสามารถเป็นอะไรก็ได้นั่นเองครับ”
“แบบเดียวกับเวทมนตร์นั่นแหละครับ เวทมนตร์คือการที่เราสามารถสร้างสิ่งที่เราสามารถระบุได้เท่านั้น แต่สิ่งที่ไม่สามารถระบุได้นั้นกลับทำไม่ได้เพราะเราในฐานะผู้สังเกตนั้นไม่รู้จัก”
“คุณไม่คิดว่าทฤษฎีนี้มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ในโลกของเราบ้างหรือครับ? เวทมนตร์จะแสดงผลลัพธ์ก็ต่อเมื่อมีผู้สังเกตรังสรรค์”
“แต่ถ้าผู้สังเกตไม่รู้จักหรือไม่สามารถระบุได้ เวทมนตร์จะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์หรือความเป็นจริงในรูปแบบไหนตามขึ้นมาได้.. ถึงขั้นเวทมนตร์อาจจะไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกด้วนซ้ำ”
เขากล่าวออกมาแบบนั้น
หากจะบอกว่า ‘นั่นมันก็แค่ไม่รู้จักเลยใช้ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง’ อันที่จริงมันก็ถูก แต่ทว่านี่เป็นแค่การตั้งคำถามกับพฤติกรรมของเวทมนตร์ว่า..
เวทมนตร์คืออะไรกันแน่ ทำไมเวทมนตร์ถึงทำให้ชีวิตสุขสบาย อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะสร้างอะไรก็ได้?
ใช่แล้ว.. นี่น่ะเป็นอีกก้าวหนึ่งของเวทมนตร์
ในขณะที่เลทิเซียฟังทุกอย่างมาเธอก็พึมพำกับตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า..
“จะบอกว่าไอ้เวทมนตร์แฟนตาซีคือกลศาสตร์ควอนตัมหรือไงกัน”
อันที่จริงเลทิเซียก็แอบคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วถึงขั้นลองใช้เวทมนตร์เพื่อทดสอบด้วย… ซึ่งผลลัพธ์ก็ค่อนข้างเป็นที่น่าพึงพอใจ
แต่ในตอนเองระฆังหมดคาบก็ดังขึ้น.. ถึงเวลาพักเที่ยงแล้วนั่นเอง
Comments
เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 5: เวทมนตร์และกลศาสตร์ควอนตัม
ปี 1
บทที่ 5 – เวทมนตร์และกลศาสตร์ควอนตัม
เลทิเซียเองก็คิดตามสิ่งที่ศาสตราจารย์พูดเหมือนกัน เพราะหัวข้อนี้ไม่ใช่การทบทวนการเรียนตลอดครึ่งเทอมที่ผ่านมา
เลวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซียก็ยกมือขึ้น พร้อมกับพูดขึ้น
“แต่ว่าศาสตราจารย์คะ เวทมนตร์ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากของกึ่งมนุษย์และปีศาจไม่ใช่เหรอคะ? เพราะว่าเวทมนตร์มนุษย์จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘หลักการ’ หรือ ‘สูตร’ เช่น.. หากข้าอยากจะสร้างไฟข้าต้องเข้าใจว่า ไฟเกิดจากอะไรบ้าง..”
“แต่ตามที่ศาสตราจารย์กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้เหมือนกำลังพยายามจะบอกว่า ‘เวทมนตร์น่ะอยู่นอกหลักความจริง ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบก็ใช้ได้’ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเวทมนตร์มนุษย์ในการจะแทรกแซงอะไรบางอย่างนั้นต้องใช้หลักการ ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักหรือไม่มีอยู่จริงมันก็ไม่สามารถสร้างได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
เลวี่กล่าวถามออกไปแบบนั้น ศาสตราจารย์คนนั้นแปลกใจเล็กน้อยแต่เขาก็รู้ดีว่าห้องเรียนพิเศษเป็นห้องแบบไหน
นอกจากนี้พอเลวี่ถามคำถามขึ้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกันเขารู้สึกชื่นชมเลวี่ด้วยซ้ำ เขาพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ
“เป็นคำถามที่ดี คุณเลวิเนีย”
ถึงแม้เลวิเนียจะเป็น ‘องค์หญิง’ แต่สำหรับที่นี่แล้วเธอเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์.. ศาสตราจารย์ใช้สรรพนาม ‘คุณ’ หาใช่ ‘ท่าน’
ซึ่งทุกคนล้วนทราบกันดีว่ามันควรเป็นแบบนั้น เพราะนี่คือโรงเรียนที่ตั้งอยู่นอกอาณาจักร.. ซึ่งตั้งอยู่เขตที่เรียกว่า ‘ดินแดนไร้อาณา’
เป็นดินแดนที่ไม่อยู่ภายใต้อาณาจักรใดเลย ซึ่งว่าง่ายๆ คือกฎหมายในอาณาจักรอื่นใช้ไม่ได้ที่นี่นั่นแหละ ซึ่งความจริงแล้วสถานที่แบบนี้ควรจะเต็มไปด้วยอาชญากรรม
แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่ดูแลดินแดนไร้อาณาแห่งนี้อยู่คือโรงเรียนเวทมนตร์นั่นแหละ ถ้าให้เปรียบเทียบโรงเรียนลิเบอร์เหมือนเชื้อพระวงศ์
ที่ปกครองดินแดนไร้อาณาอยู่.. แค่ว่าที่แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีการเสียภาษีอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่มีการรองรับความปลอดภัยเช่นกัน
แม้พวกโจรหรือคนชั่งจะหวาดเกรงต่อโรงเรียนลิเบอร์เลยลงมือแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ก็จริง แต่ว่าก็ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกโรงเรียนนี้มีบอร์ดภารกิจซึ่งช่วยฝึกนักเรียนอยู่ ซึ่งหากมีการปล้นกันเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้
นักเรียนจะสามารถรับภารกิจไปจัดการโจรเหล่านั้นได้นั่นแหละ ว่าง่ายๆ คือถึงโรงเรียนลิเบอร์จะไม่เก็บภาษีแต่ถ้าหากมีการปล้นกันเกิดขึ้นก็จะช่วยฝึกให้นักเรียนได้
นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันทั่วไปว่านักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ระดับทวีปเก่งขนาดไหน.. อาชญากรรมในแดนไร้อาณาเลยมีค่อนข้างน้อย
เพราะกลัวจะได้มีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนลิเบอร์.. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี มีคนชั่วมากมายที่ดูถูกเด็กน่ะนะ.. ถึงสุดท้ายก็โดนเก็บซะเรียบก็เถอะนะ
กลับมาเรื่องเดิมกันก่อน.. ศาสตราจารย์คนนั้นกล่าวชมเลวิเนียที่ตั้งคำถามได้ถูกประเด็นดี.. ศาสตราจารย์คนนี้มีชื่อว่า ‘โรเบิร์ด’
เขาเป็นผู้ศึกษาและเชี่ยวชาญในเรื่องจิตวิทยาเวท.. จิตวิทยาเวทคืออะไร ก็เหมือนกับจิตวิทยาทั่วไป แต่จิตวิทยาทั่วไปนั้นจะเป็นการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์
หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่จิตวิทยาเวทก็คือการศึกษาเจาะลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของรูปแบบเวทมนตร์
เช่นแบบที่กล่าวไปข้างต้น ทำไมการใช้เวทมนตร์ถึงไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นการสร้างของตัวมันเอง เพราะว่านั่นคือพฤติกรรมของเวทมนตร์อย่างหนึ่ง
เขากล่าวตอบเลวี่ด้วยรอยยิ้มว่า
“แน่นอนว่าสิ่งที่คุณเลวิเนียพูดมาคือความจริง.. ไม่ใช่เพียงแค่เวทมนุษย์หรอกแต่รวมถึงเวทปีศาจและเวทกึ่งมนุษย์ด้วย”
“พวกเขาไม่สามารถสร้างหรือหยิบยืมสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จักได้ เพราะการใช้เวทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดย ‘ผู้สังเกต’ หรือก็คือตัวเรา”
“และผู้สังเกตไม่มีทางที่จะสามารถสร้างสิ่งที่ตนเองไม่รู้จักออกมาได้ถูกหรือเปล่า?”
เขากล่าวแบบนั้น เลวี่ก็พยักหน้า..
แต่โรเบิร์ดยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม..
“คุณเลวิเนีย คุณรู้จักแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์หรือเปล่า?”
เลวี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็เอียงคอสงสัย ไม่ใช่แค่เลวี่ทุกคนเลยแหละที่อยู่ในห้องแห่งนี้ล้วนงุนงง มีเพียงคนเดียวที่เหมือนจะถูกปลุกออกมาจากทะเลความคิดจากคำพูดนี้
แน่นอนว่าคนคนนั้นคือเลทิเซีย.. เลทิเซียได้ยินคำพูดของศาสตราจารย์โรเบิร์ดเธอก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“อะไรนะ?!”
“คุณเลทิเซีย? คุณรู้จักทฤษฎีที่ผมกล่าวไปงั้นเหรอ?”
ศาสตราจารย์ที่เห็นเลทิเซียตอบสนองกับคำพูดของเขา เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย.. แต่ก็ถามอแกไผด้วยความฉงน
เลทิเซียเป็นเด็กที่ฉลาด เขารู้และอาจารย์หรือศาสตราจารย์ทุกคนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเรื่องเวทมนตร์เลทิเซียแทบนำหน้าอาจารย์อย่างพวกเขาด้วยซ้ำ
แต่ทฤษฎีนี้.. เป็นทฤษฎีที่ถูกค้นพบโดยตัวของเขาเองจากซากโบราณสถานที่คาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีก่อนเลยนะ
เลทิเซียจะรู้จักเรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ..
“เมื่อกี้ศาสตราจารย์บอกว่าเป็นแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์ ใช่ไหมคะ?”
“แน่นอนครับ คุณเลทิเซียรู้จักหรือ?”
เลทิเซียพยักหน้าเล็กน้อย.. ไม่รู้จักได้ไงล่ะ เธอน่ะรู้จักดีเลยด้วยซ้ำทฤษฎีดังโลกแตกแบบนั้นน่ะ ใช่.. ทฤษฎีในโลกเก่าของเธอ
เลทิเซียเป็นผู้กลับชาติมาเกิด และก่อนที่เธอจะกลับชาติมาเกิดเธอเป็นถึงผู้ช่วยในโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์
โปรเจกต์ ‘ไทม์มีชชีน’ ใช่ เธอเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ที่สร้างไทม์มีชชีนเครื่องแรกของโลก และก็ทำสำเร็จจริงๆ แล้วด้วย
และแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นคนในแวดวงนี้จะไม่รู้จักแมวในกล่องของชโรดิงเงอร์ก็คงแปลกๆ … แต่ที่เธอตกใจทำไมทฤษฎีนั้นถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ?
อันที่จริงแนวคิดของแมวในกล่องโลกนี้อาจจะมีคนคิดแบบคุณชโรดิงเงอร์ก็ได้… แต่ชื่อทฤษฎีมันคือ แมวในกล่องของชโรดิงเงอร์!
หรือก็คือทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของคุณชโรดิงเงอร์จากโลกก่อนอย่างแน่นอน แล้วมันมาอยู่ในโลกนี้ได้ไงล่ะ?
เป็นคนเกิดใหม่แบบเลทิเซียแล้วเอามาเผยแพร่งั้นเหรอ? .. แต่ถ้าเป็นงั้นทำไมไม่เคลมว่าเป็นทฤษฎีของตัวเองโดยการใส่ชื่อตัวเองแทนซะละ
อีกอย่าง.. มีคนเกิดใหม่นอกจากเลทิเซียด้วยอย่างงั้นเหรอ? เธอได้แต่ขมวดคิ้วกับตัวเอง.. แต่ก็วางไว้ข้างๆ ฟังสิ่งที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ดพูด
“งั้นก็พอดีเลย ข้าลังเลว่าจะพูดดีไหมเพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าพึ่งค้นพบมาเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าคุณเลทิเซียรู้จักก็หมายความว่าคงจะมีการบันทึกไว้ที่อื่นด้วยงั้นสินะ”
เขาไม่คิดว่าเลทิเซียจะโกหก และไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่เลทิเซียจะต้องโกหกด้วย เขากล่าวสืบต่อไปว่า
“แมวของชโรดิงเงอร์คือ.. สมมุติว่าเอาแมวเข้าไปไว้ใจกล่องกล่องหนึ่ง และเราที่เป็นผู้สังเกตนั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่าแมวที่อยู่ในกล่องนั้นเป็นหรือตายตราบใดที่ยังไม่เปิดมันออกมาดูถูกหรือเปล่า?”
“ซึ่งนั่นหมายความว่า ความเป็นไปได้ที่แมวที่อยู่ในกล่องกล่องนี้จะตายหรือไม่ตายคือ 50/50”
“และนั่นก็หมายความว่าสถานะของแมวตัวนี้จะมีสถานะคือทั้งตายและไม่ตายในเวลาเดียวกัน หรือพูดอีกอย่างคือ แมวตัวนี้จะทั้งตายและไม่ตายในเวลาเดียวกันนั่นเอง”
เลวี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวขึ้น
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะความจริงเป็นสิ่งที่แน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นภายในกล่องแต่ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องจะไม่แน่นอน”
ศาสตราจารย์โรเบิร์ดยังคงยิ้มแล้วกล่าวตอบ
“ถูกต้องแค่ส่วนหนึ่งครับ.. แต่ว่าความจริงภายในกล่องตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนครับ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้สังเกตการณ์’ มองดูความจริงไง มันเลยจะสามารถเป็นอะไรก็ได้นั่นเองครับ”
“แบบเดียวกับเวทมนตร์นั่นแหละครับ เวทมนตร์คือการที่เราสามารถสร้างสิ่งที่เราสามารถระบุได้เท่านั้น แต่สิ่งที่ไม่สามารถระบุได้นั้นกลับทำไม่ได้เพราะเราในฐานะผู้สังเกตนั้นไม่รู้จัก”
“คุณไม่คิดว่าทฤษฎีนี้มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ในโลกของเราบ้างหรือครับ? เวทมนตร์จะแสดงผลลัพธ์ก็ต่อเมื่อมีผู้สังเกตรังสรรค์”
“แต่ถ้าผู้สังเกตไม่รู้จักหรือไม่สามารถระบุได้ เวทมนตร์จะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์หรือความเป็นจริงในรูปแบบไหนตามขึ้นมาได้.. ถึงขั้นเวทมนตร์อาจจะไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกด้วนซ้ำ”
เขากล่าวออกมาแบบนั้น
หากจะบอกว่า ‘นั่นมันก็แค่ไม่รู้จักเลยใช้ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง’ อันที่จริงมันก็ถูก แต่ทว่านี่เป็นแค่การตั้งคำถามกับพฤติกรรมของเวทมนตร์ว่า..
เวทมนตร์คืออะไรกันแน่ ทำไมเวทมนตร์ถึงทำให้ชีวิตสุขสบาย อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะสร้างอะไรก็ได้?
ใช่แล้ว.. นี่น่ะเป็นอีกก้าวหนึ่งของเวทมนตร์
ในขณะที่เลทิเซียฟังทุกอย่างมาเธอก็พึมพำกับตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า..
“จะบอกว่าไอ้เวทมนตร์แฟนตาซีคือกลศาสตร์ควอนตัมหรือไงกัน”
อันที่จริงเลทิเซียก็แอบคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วถึงขั้นลองใช้เวทมนตร์เพื่อทดสอบด้วย… ซึ่งผลลัพธ์ก็ค่อนข้างเป็นที่น่าพึงพอใจ
แต่ในตอนเองระฆังหมดคาบก็ดังขึ้น.. ถึงเวลาพักเที่ยงแล้วนั่นเอง
Comments