แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 612 คาบเกี่ยวกันกับจริงหรือหลอก
“คนโรคจิตนั่นเป็นหัวหน้าแผนกของหน่วยงานหนึ่ง พวกเราเคยเจอเขามาก่อน มีบ้านมีครอบครัวการงานมั่นคง แต่กลับทำเรื่องที่ทำลายอนาคตตัวเอง เขาเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้แต่จะจัดการกับโจรกระจอก นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเล่นเซ็กส์โฟน”
ท่าทางขี้ขลาดเมื่อคราวก่อนของผู้ชายคนนี้ทำให้อวี๋หมิงหลางจำได้อย่างแม่นยำ ชุดชั้นในของภรรยาตัวเองถูกโจรขโมยไป ตัวเองเห็นแล้วแต่กลับอยู่ในบ้านไม่ส่งเสียงร้องอะไร แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องจิตๆได้คล่อง
อวี๋หมิงหลางบอกชื่อหน่วยงาน เสี่ยวเชี่ยนก็นึกได้ทันทีว่าดูเหมือนช่วงนี้มีข่าวว่าหน่วยงานนั้นกำลังจะปรับโครงสร้าง หลายคนจะต้องเผชิญกับภาวะตกงาน
“อาการอย่างเขาถือเป็นโรคจิตเวชชนิดหนึ่ง ความเครียดทำให้จิตใจของเขาผิดเพี้ยน เขาเลยต้องหาทางปลดปล่อยความเครียด และในความคิดของเขาการเล่นเซ็กส์โฟนไม่ใช่เรื่องใหญ่ โทษไม่ร้ายแรง ถูกจับก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเขาถึงได้ใช้วิธีนี้คลายเครียด จริงๆแล้วคนแบบนี้มีเยอะมาก”
เสี่ยวเชี่ยนอธิบายตามหลักการ
ผู้ชายคนนี้ใช้ความฉลาดในทางที่ผิด โทรไปก่อกวนสถานีวิทยุด้วยเรื่องอนาจารแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ดังนั้นเรื่องไม่จบง่ายๆแน่นอน ย่อมต้องชดใช้ในการกระทำ
ในสังคมมีคนแบบนี้เป็นจำนวนมาก ในใจต้องแบกรับความกดดันมากเกินไป ตัวบุคคลเองก็มีความผิดเพี้ยนอยู่แล้วไม่กล้าเผชิญกับแรงกดดันโดยตรง ครั้นแล้วจึงคิดหาวิธีแปลกๆเพื่อปลดปล่อยแรงกดดัน อย่างเช่นพวกนักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย ตอนเจอเรื่องต่างๆไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว แต่กลับด่าได้เป็นเรื่องเป็นราวในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่มีเรื่องไหนไม่กล้าด่า จิตใจบิดเบี้ยวขั้นรุนแรง
คนประเภทนี้ไร้อนาคต เป็นพวกวิปริตเหมือนกับชายโรคจิตที่โทรหาเสี่ยวเชี่ยน แต่อาการอย่างหวางจือหมิงที่กรีดหน้าคนอื่นนั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง
“หมอเฉินครับ ถ้าผู้ชายในคราบคนสุภาพที่เล่นเซ็กส์โฟนทำเรื่องแบบนี้ไปเพราะความเครียด ถ้าอย่างนั้นช่วยอธิบายเรื่องคดีคนร้ายกรีดหน้าเหยื่อหน่อยสิครับ โรคประสาทแบบไหนกันที่ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองทำลงไป?”
หวางย่าเฟยถามคำถามแทนคนอื่นเป็นครั้งที่สอง
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อน
หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ไปที่หวางจือหมิง แต่ตัวเขาเองกลับมีอาการตกใจกลัวทำหน้าไม่รู้เรื่องราว สอบสวนยังไงก็ไม่ได้ความ
“จือหมิงเหรอ?!” เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง จากนั้นจึงหันไปมองอวี๋หมิงหลาง
เด็กหนุ่มเลี้ยงงูคนนั้นที่เธอเคยเจอบนเขานั่นน่ะเหรอ?
ได้รู้ว่าคนร้ายเป็นคนเดียวกับที่ตัวเองเคยเจอ เป็นใครก็ย่อมตกใจเป็นอันดับแรก เสี่ยวเชี่ยนเองก็เช่นกัน
อวี๋หมิงหลางพยักหน้านิ่งๆ
ถึงเขาเองก็ไม่อยากให้เป็นเด็กหนุ่มที่เคยได้เจอกันคนนั้น แต่ก็เป็นเขาจริงๆ ผลตรวจยืนยันออกมาอย่างแน่ชัด
“เทียบกับผลตรวจจากห้องแล็ปแล้ว รอยนิ้วมือที่พบบนมีดที่เจอในพงหญ้าห่างออกไปไม่ไกลเหมือนกับรอยนิ้วมือเขา รอยเลือดก็ด้วย บนมือเขาก็มีรอยมีดบาด”
กรีดใบหน้าอย่างเดียวไม่ได้ต้องการเรื่องลามก กรีดเสร็จก็ไม่ได้หยิบมือถือหรือเงิน เอาแค่ผ้าขนหนูนำเข้าที่เหยื่อขโมยออกมาจากห้างไป แรงจูงใจในการก่อเหตุล้วนเป็นปริศนา
เสี่ยวเชี่ยนรีบปะติดปะต่อเรื่องราว เธอหลับตานึกถึงตอนที่ได้เจอกับจือหมิง รวมถึงสิ่งที่ได้ยินมาตอนอยู่บนเขา จากนั้นก็ประมวลข้อมูลว่าตรงกับโรคไหน แล้วสุดท้ายก็ได้คำตอบ
เธอลืมตาขึ้น “เรียกฟู่กุ้ยมาวินิจฉัยเถอะ นี่น่าจะอยู่ในขอบเขตงานของเขา มันเกินขอบเขตที่ฉันจะรักษาแล้ว”
“หมอเฉินก็ไม่รู้เหรอครับว่าตกลงมันเพราะอะไร?” หวางย่าเฟยเคยได้รับการรักษาจากเสี่ยวเชี่ยน ในสายตาของเขาเสี่ยวเชี่ยนเป็นจิตแพทย์ที่เก่งที่สุด
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าและก็ส่ายหน้า
“ฉันก็พอจะวิเคราะห์ออกมาได้ แต่ผลสรุปจะเป็นอย่างไรต้องรอทีมพี่ชายฉันมาตรวจดูอีกที”
ศูนย์นิติจิตวิทยาที่เก่งๆของมณฑลก็คือหน่วยงานของฟู่กุ้ย
เลี่ยวฟู่กุ้ยไม่รับคดีส่วนตัว เขารับแค่งานผ่านองค์กร และคดีนี้เขาย่อมส่งทีมมาแน่นอน
พอเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาด้วยความสงสัยเสี่ยวเชี่ยนจึงอธิบาย
“จากการวิเคราะห์ของฉัน หวางจือหมิงอาจเป็นโรคหลายบุคลิกที่เกิดจากโรคจิตเภท คนที่เป็นโรคประสาทขั้นรุนแรงอย่างเช่นโรคจิตเภทนี้มีอยู่เกือบ1%ของประชากรทั้งหมด และในบรรดาผู้ป่วยโรคประสาทร้ายแรงนี้ มี10%ที่อาจก่อเหตุร้ายแรง แต่อย่างที่รู้ๆกันว่าโรคประสาทไม่ใช่เกราะคุ้มกันคนทำผิด ใช่ว่าคนป่วยโรคประสาททุกคนจะได้รับการยกเว้นลงโทษตามกฎหมาย ต้องได้รับการยืนยันจากหน่วยงานของพี่ชายฉันก่อนว่าคนร้ายก่อเหตุในช่วงที่อาการกำเริบหรือเปล่า ถ้าฉันเดาไม่ผิด ถ้าหวางจือหมิงเป็นแบบที่ฉันคิด เขาอาจไม่ต้องรับโทษ แต่ทางการอาจต้องทำการรักษาเขา”
“โรคจิตเภทเหรอ?”
“พูดให้ถูกก็คือโรคหลายบุคลิก โรคจิตเภทมีสาเหตุมาจากสมองเกิดอาการรวน ผลสรุปอย่างละเอียดต้องให้ทีมของพี่ชายฉันมาจัดการอีกที”
“คุณก็เคยรักษาโรคหลายบุคลิกไม่ใช่เหรอ?” อวี๋หมิงหลางนึกถึงหูเหม่ยจิ้ง
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า
“ลักษณะไม่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เป็นโรคบุคลิกสลับขั้วเนื่องจากได้รับการสะเทือนใจอย่างรุนแรง แต่ไม่เหมือนกับครั้งนี้ที่เกี่ยวพันไปถึงความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์กับหมอโรคประสาท หลายคนคิดว่าจิตแพทย์กับหมอประสาทแตกต่างกันแค่เรื่องสั่งยากับไม่สั่งยา ทั้งที่จริงๆแล้วจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่มันก็แค่ผิวเผิน”
“พี่สะใภ้ช่วยใช้ภาษาที่พวกเราเข้าใจอธิบายหน่อยได้ไหมคะ? เรื่องมันซับซ้อนเกินไปฉันไม่เข้าใจ!” อวี๋หลิวเหมยที่อยู่ข้างๆทั้งสงสัยทั้งงง
“ก็ได้ งั้นพี่จะใช้วิธีง่ายๆมาอธิบายนะ” เสี่ยวเชี่ยนชี้ที่ตัวเอง “ฉันเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ซึ่งตัวฉันก็รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ฉันร้อนใจมากแต่ก็ไม่มีวิธีเอาชนะมันได้ หากมันจำเป็นฉันก็ยินดีที่จะรับการรักษาจากจิตแพทย์—คนไข้ของฉันล้วนเป็นแบบนี้”
พูดจบก็หันไปถามอวี๋หมิงหลาง
“นายป่วยเหรอ?”
“ผมไม่ได้ป่วย!” อวี๋หมิงหลางแทบไม่อยากตอบ
“งั้นถ้าอยู่ๆมีคนบอกนายว่านายเป็นโรคประสาทนายจะทำไง?”
“พูดกับไปว่าเขาน่ะสิเป็นโรคประสาท เป็นมันทั้งบ้านนั่นแหละ!”
“แล้วถ้าเขายืนยันว่านายป่วยแล้วลากนายไปรักษาล่ะ?”
“อัดมัน!”
เสี่ยวเชี่ยนผายมือออก “เห็นหรือยัง ผู้ป่วยของหมอประสาทจะเป็นแบบนี้ ตอนที่อาการทางประสาทกำเริบผู้ป่วยจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรค ในทางกลับกัน ในสายตาของพวกเขากลับคิดว่าคนปกติสิบ้า พี่ชายฉันเจอแต่คนป่วยแบบนี้นี่แหละ แต่ผู้ป่วยจิตเวชที่เป็นหนักไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมก็จะกลายเป็นโรคประสาท ในทางกลับกัน ผู้ป่วยโรคประสาทถ้าควบคุมอาการได้ดีก็ต้องให้จิตแพทย์อย่างฉันเข้าไปช่วยในการปรับสภาพจิตใจ ดังนั้นงานของจิตแพทย์กับหมอประสาทจึงมีส่วนคาบเกี่ยวกัน”
อวี๋หมิงหลางกลายเป็นเหยื่อ ทุกคนพากันหัวเราะใส่ เสี่ยวเชี่ยนอธิบายได้เห็นภาพมาก ทุกคนพากันคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนแค่ล้อเล่นเรื่องที่ตัวเองเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน เพราะเธอยังยกตัวอย่างให้อวี๋หมิงหลางเป็นโรคประสาทด้วย
แต่หวางย่าเฟยกลับนิ่งเงียบ มองอวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนพลางครุ่นคิด
เขานึกถึงสายตาของอวี๋หมิงหลางตอนที่พูดเรื่องขอแต่งงานไม่สำเร็จ คำอธิบายของหมอเฉินที่ดูกึ่งเล่นกึ่งจริง จะเป็นไปได้ไหมว่าเป็นเรื่องจริง?
Comments