แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 950 อย่าพูดจาให้ร้ายผู้มีพระคุณ
ชื่อที่เป็นมิตรรักท้องถิ่นแบบนี้ ยากที่จะเชื่อมโยงให้เข้ากับกลุ่มสาขาประสาทที่ลึกลับได้
ความคิดแรกของเสี่ยวเชี่ยนตอนเห็นชื่อนี้ก็คือ มีคนเล่นพิเรนทร์ หรือเจ้าของร้านหนังสือเห็นเธอซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตเยอะแยะก็เลยอยากจะแกล้งเธอ?
แต่พออ่านต่อเสี่ยวเชี่ยนก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เธออินกับเนื้อหาในหนังสือมากขึ้น
ประวัติของฟาร์มเจ็ดหมู่ เป็นการรวมตัวของหัวกะทิที่มาจากแต่ละแวดวง พวกเขามีคนที่ถนัดรักษาโรคประสาท มีคนถนัดสะกดจิต มีคนก็ถนัดทำยาและคนที่ถนัดเรื่องเหนือธรรมชาติ—จริงสิ มันคือศาสตร์ที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะคำนี้เมื่อแรกเริ่มใช้คำว่าmetaphysics พอแปลมาก็คืออภิปรัชญา หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ รวมถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะอยากใช้ภาษาจีนที่เข้าถึงความหมายได้ตรงยิ่งกว่าก็เลยเขียนพิอินว่า xuan[1]
งั้นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ไม่น่าใช่คนต่างชาติหรือเปล่า
เสี่ยวเชี่ยนอ่านต่อ ในนั้นบอกว่าคนพวกนี้ก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่า ฟาร์มเจ็ดหมู่ พวกเขาทั้งสี่เคยสั่งสอนลูกศิษย์มามากมาย หนึ่งในนั้นมีอยู่คนที่ถนัดสะกดจิต ต่อไปเป็นการอธิบายวิธีสะกดจิตอย่างละเอียด
เสี่ยวเชี่ยนพอได้อ่านก็วางไม่ลง
เธอสืบค้นข้อมูลมาตั้งมากมาย เมื่อเอามารวมกันยังไม่มีประโยชน์เท่าเล่มนี้เล่มเดียว
ถึงหนังสือเล่มนี้จะมีแค่สิบกว่าหน้า แต่พออ่านหมดก็เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ มีหลายจุดที่เป็นความรู้เฉพาะทาง พอเสี่ยวเชี่ยนอ่านแล้วก็รู้สึกกระจ่าง ที่แท้ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย!
ตอนอวี๋หมิงหลางกลับมาก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงที่นั่งเล่นริมหน้าต่าง เธอถือหนังสือที่ดูเก่ามากกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดเขาเข้าบ้านมาตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่รู้
“อ่านอะไรอยู่เหรอ?”
“ว้าย!” เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังอินกับเนื้อหาในหนังสือตกใจเสียงอวี๋หมิงหลางจนหนังสือในมือเกือบร่วง
“เล่นอะไรแบบนี้เล่า!” หลังจากที่เห็นว่าเป็นเขา เสี่ยวเชี่ยนก็โมโหพร้อมทุบอวี๋หมิงหลาง
“ผมยืนอยู่ตรงนี้จะหนึ่งนาทีแล้วนะ!” เสี่ยวเฉียงทำหน้าน้อยใจ
“เมียจ๋า อ่านอะไรอยู่เหรอ? ไอ๊หยา ภาษายึกยือเห็นแล้วปวดหัว!”
ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนจะเขียนลากยาวต่อเนื่องกัน คนทั่วไปอ่านยาก อวี๋หมิงหลางเห็นบนโต๊ะไม้มีพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มหนาวางอยู่ ก็แสดงว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังอ่านหนังสือที่มีระดับความยากค่อนข้างมาก มีบางคำศัพท์ที่เธอต้องเปิดหาคำแปล นี่ขนาดเมียเขาสอบภาษาอังกฤษระดับหกได้เกือบเต็มนะเนี่ย
“พวกตำราเฉพาะทางของฉันน่ะ” เสี่ยวเชี่ยนปิดหนังสือทั้งที่อารมณ์ยังค้างอยู่
พออ่านเล่มนี้แล้วเธอถึงได้รู้ว่าการสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ดูเหมือนซับซ้อน แท้จริงแล้ววิธีทำไม่ได้ยาก แต่ถ้าไม่มีตำราเล่มนี้สุ่มเดาให้ตายเธอก็เดาไม่ออก
“อ่านตำราเฉพาะทางยังอินได้ขนาดนี้ นี่ถ้าคุณไม่บอกผมนึกว่าอ่านเดชคัมภีร์เทวดาอยู่ซะอีกนะเนี่ย” เสี่ยวเฉียงแซว
เสี่ยวเชี่ยน หึ ใส่ “นายก็พูดถูกจริงนะ หนังสือเล่มนี้สำหรับคนในแวดวงแบบฉันแล้วมันเหมือนเป็นคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งเลยล่ะ!”
วิธีไม่ยาก ที่ยากคือไม่มีใครนึกถึง
“ใครให้คุณมาเหรอ?”
เสี่ยวเฉียงถามเสร็จ ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังยิ้มก็หยุดนิ่งไป
อันที่จริงตอนเธออ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นของใครเธอก็พอจะเข้าใจทีละนิด แต่ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่าไร
หนังสือเล่มนี้ใช้เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเป็นตำราลับที่สืบทอดภายใน นอกจากลูกศิษย์ของตัวเองแล้วก็ไม่มีการเผยแพร่สู่ภายนอก แมวหลีฮวาใช้สิ่งนี้หาเงินไปได้มากเท่าไรแล้วกันนะ?
บอกว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองก็ยังได้
คนที่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้จะต้องเป็นหัวกะทิในหัวกะทิอีกที อีกทั้งยังเป็นชาวจีนที่มีพื้นเพจากเมืองนอก…
ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเสียงชวนขนลุกของชีอวี่เซวียนดังลอยมา ‘เบบี๋เชี่ยน~มาสิจ๊ะ มาฝากตัวเป็นศิษย์เร็ว~’
เสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าเขาก็แค่ถามว่าใครให้หนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เธอหมกมุ่นได้ขนาดนี้มา แต่ทำไมเมียเขาถึงได้ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาสิบวัน?
เสี่ยวเชี่ยนนอกจากจะนึกถึงชีอวี่เซวียนแล้ว ยังนึกถึงคำพูดหนึ่ง
อย่าพูดจาให้ร้ายกับคนที่มีบุญคุณ
“ฉันไม่รู้ว่าของใคร มันเป็นของแถมจากเจ้าของร้านหนังสือ!”
ใช่ ไม่ผิด ประธานเชี่ยนขอแถแบบนี้นี่แหละ
อย่างไรเสียตาชีอวี่เซวียนนั่นก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ แถมยังแอบใส่รวมกับหนังสือที่เธอซื้อมาอีก
เสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นอาข่าที่เอาเรื่องของเธอไปบอก เส้นสายของชีอวี่เซวียนเยอะจนน่าตกใจมาแต่ไหนแต่ไร ดูท่าทางความสามารถในการวิเคราะห์ก็ไม่เบา
เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าแมวหลีฮวาก็น่าจะเป็นคนของชีอวี่เซวียน ไม่อย่างนั้นชีอวี่เซวียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเคยประมือกับแมวหลีฮวามาก่อนแล้วถึงได้ให้หนังสือเล่มนี้มา?
ไม่แน่ตาแมวหลีฮวาอาจเป็นลูกศิษย์ของชีอวี่เซวียน ชีอวี่เซวียนอยากใช้โอกาสนี้ล่อหลอกเธอก็เลยให้หนังสือเล่มนี้มา ถุย!
ประธานเชี่ยนไม่อยากรับน้ำใจ แบบนี้มันเหมือนกับปล่อยหมาออกมากัดแล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าใจดี เดี๋ยวทำแผลให้นะ เธอไม่ยอมรับน้ำใจหรอก
ดังนั้นประธานเชี่ยนจึงขอแถแบบเนียนๆ เธอจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของชีอวี่เซวียน
“ร้านนี้บริการใช้ได้เลยนะ งั้นต่อไปก็จะซื้อหนังสือจากร้านนี้บ่อยๆ” ความฉลาดของเสี่ยวเฉียงอยู่ที่ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากแฉเมียตัวเอง
เธอไม่อยากพูด เขาก็จะไม่ถาม
เสี่ยวเชี่ยนวางหนังสือลงข้างๆ “ฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วเราออกไปกินข้าวกัน”
“วันนี้พี่ใหญ่จะมาพอดี เห็นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่พวกเรา”
เสี่ยวเฉียงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เขาไม่ได้อยากอ่านเนื้อหาในนั้น ก็แค่สนใจรูปลักษณ์หนังสือที่ออกแนวโบราณดี
เสี่ยวเชี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมากำลังจะเรียกเขาก็เห็นอวี๋หมิงหลางกำลังเปิดดูหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ
“ทำอะไรน่ะ?”
“ในเข็มทิศตรงหน้าปกมีของอยู่”
เขาใช้เส้นลวดบางๆเขี่ยก็มีกระดาษตกลงมาแผ่นหนึ่ง
เข็มทิศนี้ดูผิวเผินเหมือนถูกสลักลงบนปกหนัง เสี่ยวเชี่ยนถืออ่านตั้งนานไม่ได้สังเกตเลยว่าแท้จริงแล้วมันถูกเย็บติดเข้าไป
เสี่ยวเฉียงเป็นคนเซ้นส์แรงกว่าคนปกติ พอเขาหยิบหนังสือขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ พลิกไปพลิกมาถึงได้พบว่าในปกหนังมีกระดาษซ่อนอยู่
“ทำอย่างกับมีแผนที่สมบัติซ่อนอยู่?” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ
“อยู่กับพี่มีเหรอจะธรรมดา? นี่ถ้าเกิดเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติ พวกเรารวยเละเลยนะ ไหนดูซิ—เอ๊ะ เป็นแผนที่จริงเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางคลี่กระดาษออก เป็นกระดาษแผ่นบางที่ในนั้นมีภาพวาด
แต่ไม่ใช่แผนที่สมบัติ มันคือ—
“ใครมันปัญญาอ่อนยัดของแบบนี้ไว้ตรงนี้นะ แล้วนี่วาดอะไร? มนุษย์ต่างดาวถูกทับตายหรือกบถูกรองเท้าส้นเข็มเหยียบไส้ทะลัก?”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบกระดาษมาพลิกไปพลิกมาดู เธอเห็นเป็นรูปวัตถุสองอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เรื่องนี้ต้องพึ่งอวี๋หมิงหลางที่อ่านการ์ตูนมาหลายปี เสี่ยวเฉียงจ้องดูจริงจัง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา
“นี่มันแมวหลีฮวา ส่วนนี่ก็หมา แมวหลีฮวากลัวหมา”
“นายดูออกได้ไงว่านี่เป็นแมวหลีฮวา?”
“คุณไม่เห็นลายที่อยู่บนตัวมันเหรอ? ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างๆ ผมมองตั้งนานว่ามันเป็นหมาธรรมดาหรือหมาป่า ถ้าดูจากหางผมว่ามันคือหมาธรรมดา แต่ก็นะมันอาจจะเป็นหมาสายพันธุ์อื่นก็ได้”
เสี่ยวเชี่ยนฟังเขาวิเคราะห์แล้วก็อยากพูดอยู่แค่อย่างเดียว อันที่จริงพ่านพ่านของพี่รองยังวาดเก่งกว่าเลยด้วยซ้ำ จริงๆนะ
ถึงพ่านพ่านจะยังเด็กมาก แต่ฝีมือวาดภาพของคนๆนี้ยังสู้เด็กไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เอาของแบบนี้มายัดซ่อนไว้ตรงนี้ก็แสดงว่าต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก เมียจ๋า คุณวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือได้ไม่ใช่เหรอ จากภาพนี้คุณมองอะไรออกไหม?”
อวี๋หมิงหลางรู้ว่าในบรรดาวิชาที่เสี่ยวเชี่ยนเรียน มีการวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือด้วย เขาเคยให้เธอดูลายมือของทหารบางคน เสี่ยวเชี่ยนก็วิเคราะห์ออกมาได้ตรงทีเดียว
“…วาดออกมาเป็นแบบนี้ นายคิดว่าจะวิเคราะห์อะไรได้เหรอ?” อย่ามาทำให้จิตแพทย์ลำบากใจ!
เสี่ยวเชี่ยนมองแล้วมองอีก “แมวหลีฮวา หมา หลีฮวา หมา — มู่ฮวาหลี?!”
ชีอวี่เซวียนต้องการจะบอกอะไรเธอกันแน่? มู่ฮวาหลีถูกหมากัดหมายความว่าไง?
[1] เสวียนเสวีย ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ
Comments
แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 950 อย่าพูดจาให้ร้ายผู้มีพระคุณ
ชื่อที่เป็นมิตรรักท้องถิ่นแบบนี้ ยากที่จะเชื่อมโยงให้เข้ากับกลุ่มสาขาประสาทที่ลึกลับได้
ความคิดแรกของเสี่ยวเชี่ยนตอนเห็นชื่อนี้ก็คือ มีคนเล่นพิเรนทร์ หรือเจ้าของร้านหนังสือเห็นเธอซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตเยอะแยะก็เลยอยากจะแกล้งเธอ?
แต่พออ่านต่อเสี่ยวเชี่ยนก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เธออินกับเนื้อหาในหนังสือมากขึ้น
ประวัติของฟาร์มเจ็ดหมู่ เป็นการรวมตัวของหัวกะทิที่มาจากแต่ละแวดวง พวกเขามีคนที่ถนัดรักษาโรคประสาท มีคนถนัดสะกดจิต มีคนก็ถนัดทำยาและคนที่ถนัดเรื่องเหนือธรรมชาติ—จริงสิ มันคือศาสตร์ที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะคำนี้เมื่อแรกเริ่มใช้คำว่าmetaphysics พอแปลมาก็คืออภิปรัชญา หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ รวมถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะอยากใช้ภาษาจีนที่เข้าถึงความหมายได้ตรงยิ่งกว่าก็เลยเขียนพิอินว่า xuan[1]
งั้นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ไม่น่าใช่คนต่างชาติหรือเปล่า
เสี่ยวเชี่ยนอ่านต่อ ในนั้นบอกว่าคนพวกนี้ก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่า ฟาร์มเจ็ดหมู่ พวกเขาทั้งสี่เคยสั่งสอนลูกศิษย์มามากมาย หนึ่งในนั้นมีอยู่คนที่ถนัดสะกดจิต ต่อไปเป็นการอธิบายวิธีสะกดจิตอย่างละเอียด
เสี่ยวเชี่ยนพอได้อ่านก็วางไม่ลง
เธอสืบค้นข้อมูลมาตั้งมากมาย เมื่อเอามารวมกันยังไม่มีประโยชน์เท่าเล่มนี้เล่มเดียว
ถึงหนังสือเล่มนี้จะมีแค่สิบกว่าหน้า แต่พออ่านหมดก็เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ มีหลายจุดที่เป็นความรู้เฉพาะทาง พอเสี่ยวเชี่ยนอ่านแล้วก็รู้สึกกระจ่าง ที่แท้ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย!
ตอนอวี๋หมิงหลางกลับมาก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงที่นั่งเล่นริมหน้าต่าง เธอถือหนังสือที่ดูเก่ามากกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดเขาเข้าบ้านมาตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่รู้
“อ่านอะไรอยู่เหรอ?”
“ว้าย!” เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังอินกับเนื้อหาในหนังสือตกใจเสียงอวี๋หมิงหลางจนหนังสือในมือเกือบร่วง
“เล่นอะไรแบบนี้เล่า!” หลังจากที่เห็นว่าเป็นเขา เสี่ยวเชี่ยนก็โมโหพร้อมทุบอวี๋หมิงหลาง
“ผมยืนอยู่ตรงนี้จะหนึ่งนาทีแล้วนะ!” เสี่ยวเฉียงทำหน้าน้อยใจ
“เมียจ๋า อ่านอะไรอยู่เหรอ? ไอ๊หยา ภาษายึกยือเห็นแล้วปวดหัว!”
ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนจะเขียนลากยาวต่อเนื่องกัน คนทั่วไปอ่านยาก อวี๋หมิงหลางเห็นบนโต๊ะไม้มีพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มหนาวางอยู่ ก็แสดงว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังอ่านหนังสือที่มีระดับความยากค่อนข้างมาก มีบางคำศัพท์ที่เธอต้องเปิดหาคำแปล นี่ขนาดเมียเขาสอบภาษาอังกฤษระดับหกได้เกือบเต็มนะเนี่ย
“พวกตำราเฉพาะทางของฉันน่ะ” เสี่ยวเชี่ยนปิดหนังสือทั้งที่อารมณ์ยังค้างอยู่
พออ่านเล่มนี้แล้วเธอถึงได้รู้ว่าการสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ดูเหมือนซับซ้อน แท้จริงแล้ววิธีทำไม่ได้ยาก แต่ถ้าไม่มีตำราเล่มนี้สุ่มเดาให้ตายเธอก็เดาไม่ออก
“อ่านตำราเฉพาะทางยังอินได้ขนาดนี้ นี่ถ้าคุณไม่บอกผมนึกว่าอ่านเดชคัมภีร์เทวดาอยู่ซะอีกนะเนี่ย” เสี่ยวเฉียงแซว
เสี่ยวเชี่ยน หึ ใส่ “นายก็พูดถูกจริงนะ หนังสือเล่มนี้สำหรับคนในแวดวงแบบฉันแล้วมันเหมือนเป็นคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งเลยล่ะ!”
วิธีไม่ยาก ที่ยากคือไม่มีใครนึกถึง
“ใครให้คุณมาเหรอ?”
เสี่ยวเฉียงถามเสร็จ ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังยิ้มก็หยุดนิ่งไป
อันที่จริงตอนเธออ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นของใครเธอก็พอจะเข้าใจทีละนิด แต่ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่าไร
หนังสือเล่มนี้ใช้เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเป็นตำราลับที่สืบทอดภายใน นอกจากลูกศิษย์ของตัวเองแล้วก็ไม่มีการเผยแพร่สู่ภายนอก แมวหลีฮวาใช้สิ่งนี้หาเงินไปได้มากเท่าไรแล้วกันนะ?
บอกว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองก็ยังได้
คนที่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้จะต้องเป็นหัวกะทิในหัวกะทิอีกที อีกทั้งยังเป็นชาวจีนที่มีพื้นเพจากเมืองนอก…
ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเสียงชวนขนลุกของชีอวี่เซวียนดังลอยมา ‘เบบี๋เชี่ยน~มาสิจ๊ะ มาฝากตัวเป็นศิษย์เร็ว~’
เสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าเขาก็แค่ถามว่าใครให้หนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เธอหมกมุ่นได้ขนาดนี้มา แต่ทำไมเมียเขาถึงได้ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาสิบวัน?
เสี่ยวเชี่ยนนอกจากจะนึกถึงชีอวี่เซวียนแล้ว ยังนึกถึงคำพูดหนึ่ง
อย่าพูดจาให้ร้ายกับคนที่มีบุญคุณ
“ฉันไม่รู้ว่าของใคร มันเป็นของแถมจากเจ้าของร้านหนังสือ!”
ใช่ ไม่ผิด ประธานเชี่ยนขอแถแบบนี้นี่แหละ
อย่างไรเสียตาชีอวี่เซวียนนั่นก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ แถมยังแอบใส่รวมกับหนังสือที่เธอซื้อมาอีก
เสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นอาข่าที่เอาเรื่องของเธอไปบอก เส้นสายของชีอวี่เซวียนเยอะจนน่าตกใจมาแต่ไหนแต่ไร ดูท่าทางความสามารถในการวิเคราะห์ก็ไม่เบา
เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าแมวหลีฮวาก็น่าจะเป็นคนของชีอวี่เซวียน ไม่อย่างนั้นชีอวี่เซวียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเคยประมือกับแมวหลีฮวามาก่อนแล้วถึงได้ให้หนังสือเล่มนี้มา?
ไม่แน่ตาแมวหลีฮวาอาจเป็นลูกศิษย์ของชีอวี่เซวียน ชีอวี่เซวียนอยากใช้โอกาสนี้ล่อหลอกเธอก็เลยให้หนังสือเล่มนี้มา ถุย!
ประธานเชี่ยนไม่อยากรับน้ำใจ แบบนี้มันเหมือนกับปล่อยหมาออกมากัดแล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าใจดี เดี๋ยวทำแผลให้นะ เธอไม่ยอมรับน้ำใจหรอก
ดังนั้นประธานเชี่ยนจึงขอแถแบบเนียนๆ เธอจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของชีอวี่เซวียน
“ร้านนี้บริการใช้ได้เลยนะ งั้นต่อไปก็จะซื้อหนังสือจากร้านนี้บ่อยๆ” ความฉลาดของเสี่ยวเฉียงอยู่ที่ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากแฉเมียตัวเอง
เธอไม่อยากพูด เขาก็จะไม่ถาม
เสี่ยวเชี่ยนวางหนังสือลงข้างๆ “ฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วเราออกไปกินข้าวกัน”
“วันนี้พี่ใหญ่จะมาพอดี เห็นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่พวกเรา”
เสี่ยวเฉียงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เขาไม่ได้อยากอ่านเนื้อหาในนั้น ก็แค่สนใจรูปลักษณ์หนังสือที่ออกแนวโบราณดี
เสี่ยวเชี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมากำลังจะเรียกเขาก็เห็นอวี๋หมิงหลางกำลังเปิดดูหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ
“ทำอะไรน่ะ?”
“ในเข็มทิศตรงหน้าปกมีของอยู่”
เขาใช้เส้นลวดบางๆเขี่ยก็มีกระดาษตกลงมาแผ่นหนึ่ง
เข็มทิศนี้ดูผิวเผินเหมือนถูกสลักลงบนปกหนัง เสี่ยวเชี่ยนถืออ่านตั้งนานไม่ได้สังเกตเลยว่าแท้จริงแล้วมันถูกเย็บติดเข้าไป
เสี่ยวเฉียงเป็นคนเซ้นส์แรงกว่าคนปกติ พอเขาหยิบหนังสือขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ พลิกไปพลิกมาถึงได้พบว่าในปกหนังมีกระดาษซ่อนอยู่
“ทำอย่างกับมีแผนที่สมบัติซ่อนอยู่?” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ
“อยู่กับพี่มีเหรอจะธรรมดา? นี่ถ้าเกิดเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติ พวกเรารวยเละเลยนะ ไหนดูซิ—เอ๊ะ เป็นแผนที่จริงเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางคลี่กระดาษออก เป็นกระดาษแผ่นบางที่ในนั้นมีภาพวาด
แต่ไม่ใช่แผนที่สมบัติ มันคือ—
“ใครมันปัญญาอ่อนยัดของแบบนี้ไว้ตรงนี้นะ แล้วนี่วาดอะไร? มนุษย์ต่างดาวถูกทับตายหรือกบถูกรองเท้าส้นเข็มเหยียบไส้ทะลัก?”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบกระดาษมาพลิกไปพลิกมาดู เธอเห็นเป็นรูปวัตถุสองอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เรื่องนี้ต้องพึ่งอวี๋หมิงหลางที่อ่านการ์ตูนมาหลายปี เสี่ยวเฉียงจ้องดูจริงจัง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา
“นี่มันแมวหลีฮวา ส่วนนี่ก็หมา แมวหลีฮวากลัวหมา”
“นายดูออกได้ไงว่านี่เป็นแมวหลีฮวา?”
“คุณไม่เห็นลายที่อยู่บนตัวมันเหรอ? ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างๆ ผมมองตั้งนานว่ามันเป็นหมาธรรมดาหรือหมาป่า ถ้าดูจากหางผมว่ามันคือหมาธรรมดา แต่ก็นะมันอาจจะเป็นหมาสายพันธุ์อื่นก็ได้”
เสี่ยวเชี่ยนฟังเขาวิเคราะห์แล้วก็อยากพูดอยู่แค่อย่างเดียว อันที่จริงพ่านพ่านของพี่รองยังวาดเก่งกว่าเลยด้วยซ้ำ จริงๆนะ
ถึงพ่านพ่านจะยังเด็กมาก แต่ฝีมือวาดภาพของคนๆนี้ยังสู้เด็กไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เอาของแบบนี้มายัดซ่อนไว้ตรงนี้ก็แสดงว่าต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก เมียจ๋า คุณวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือได้ไม่ใช่เหรอ จากภาพนี้คุณมองอะไรออกไหม?”
อวี๋หมิงหลางรู้ว่าในบรรดาวิชาที่เสี่ยวเชี่ยนเรียน มีการวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือด้วย เขาเคยให้เธอดูลายมือของทหารบางคน เสี่ยวเชี่ยนก็วิเคราะห์ออกมาได้ตรงทีเดียว
“…วาดออกมาเป็นแบบนี้ นายคิดว่าจะวิเคราะห์อะไรได้เหรอ?” อย่ามาทำให้จิตแพทย์ลำบากใจ!
เสี่ยวเชี่ยนมองแล้วมองอีก “แมวหลีฮวา หมา หลีฮวา หมา — มู่ฮวาหลี?!”
ชีอวี่เซวียนต้องการจะบอกอะไรเธอกันแน่? มู่ฮวาหลีถูกหมากัดหมายความว่าไง?
[1] เสวียนเสวีย ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ
Comments
แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 950 อย่าพูดจาให้ร้ายผู้มีพระคุณ
ชื่อที่เป็นมิตรรักท้องถิ่นแบบนี้ ยากที่จะเชื่อมโยงให้เข้ากับกลุ่มสาขาประสาทที่ลึกลับได้
ความคิดแรกของเสี่ยวเชี่ยนตอนเห็นชื่อนี้ก็คือ มีคนเล่นพิเรนทร์ หรือเจ้าของร้านหนังสือเห็นเธอซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตเยอะแยะก็เลยอยากจะแกล้งเธอ?
แต่พออ่านต่อเสี่ยวเชี่ยนก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เธออินกับเนื้อหาในหนังสือมากขึ้น
ประวัติของฟาร์มเจ็ดหมู่ เป็นการรวมตัวของหัวกะทิที่มาจากแต่ละแวดวง พวกเขามีคนที่ถนัดรักษาโรคประสาท มีคนถนัดสะกดจิต มีคนก็ถนัดทำยาและคนที่ถนัดเรื่องเหนือธรรมชาติ—จริงสิ มันคือศาสตร์ที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะคำนี้เมื่อแรกเริ่มใช้คำว่าmetaphysics พอแปลมาก็คืออภิปรัชญา หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ รวมถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะอยากใช้ภาษาจีนที่เข้าถึงความหมายได้ตรงยิ่งกว่าก็เลยเขียนพิอินว่า xuan[1]
งั้นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ไม่น่าใช่คนต่างชาติหรือเปล่า
เสี่ยวเชี่ยนอ่านต่อ ในนั้นบอกว่าคนพวกนี้ก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่า ฟาร์มเจ็ดหมู่ พวกเขาทั้งสี่เคยสั่งสอนลูกศิษย์มามากมาย หนึ่งในนั้นมีอยู่คนที่ถนัดสะกดจิต ต่อไปเป็นการอธิบายวิธีสะกดจิตอย่างละเอียด
เสี่ยวเชี่ยนพอได้อ่านก็วางไม่ลง
เธอสืบค้นข้อมูลมาตั้งมากมาย เมื่อเอามารวมกันยังไม่มีประโยชน์เท่าเล่มนี้เล่มเดียว
ถึงหนังสือเล่มนี้จะมีแค่สิบกว่าหน้า แต่พออ่านหมดก็เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ มีหลายจุดที่เป็นความรู้เฉพาะทาง พอเสี่ยวเชี่ยนอ่านแล้วก็รู้สึกกระจ่าง ที่แท้ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย!
ตอนอวี๋หมิงหลางกลับมาก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงที่นั่งเล่นริมหน้าต่าง เธอถือหนังสือที่ดูเก่ามากกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดเขาเข้าบ้านมาตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่รู้
“อ่านอะไรอยู่เหรอ?”
“ว้าย!” เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังอินกับเนื้อหาในหนังสือตกใจเสียงอวี๋หมิงหลางจนหนังสือในมือเกือบร่วง
“เล่นอะไรแบบนี้เล่า!” หลังจากที่เห็นว่าเป็นเขา เสี่ยวเชี่ยนก็โมโหพร้อมทุบอวี๋หมิงหลาง
“ผมยืนอยู่ตรงนี้จะหนึ่งนาทีแล้วนะ!” เสี่ยวเฉียงทำหน้าน้อยใจ
“เมียจ๋า อ่านอะไรอยู่เหรอ? ไอ๊หยา ภาษายึกยือเห็นแล้วปวดหัว!”
ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนจะเขียนลากยาวต่อเนื่องกัน คนทั่วไปอ่านยาก อวี๋หมิงหลางเห็นบนโต๊ะไม้มีพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มหนาวางอยู่ ก็แสดงว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังอ่านหนังสือที่มีระดับความยากค่อนข้างมาก มีบางคำศัพท์ที่เธอต้องเปิดหาคำแปล นี่ขนาดเมียเขาสอบภาษาอังกฤษระดับหกได้เกือบเต็มนะเนี่ย
“พวกตำราเฉพาะทางของฉันน่ะ” เสี่ยวเชี่ยนปิดหนังสือทั้งที่อารมณ์ยังค้างอยู่
พออ่านเล่มนี้แล้วเธอถึงได้รู้ว่าการสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ดูเหมือนซับซ้อน แท้จริงแล้ววิธีทำไม่ได้ยาก แต่ถ้าไม่มีตำราเล่มนี้สุ่มเดาให้ตายเธอก็เดาไม่ออก
“อ่านตำราเฉพาะทางยังอินได้ขนาดนี้ นี่ถ้าคุณไม่บอกผมนึกว่าอ่านเดชคัมภีร์เทวดาอยู่ซะอีกนะเนี่ย” เสี่ยวเฉียงแซว
เสี่ยวเชี่ยน หึ ใส่ “นายก็พูดถูกจริงนะ หนังสือเล่มนี้สำหรับคนในแวดวงแบบฉันแล้วมันเหมือนเป็นคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งเลยล่ะ!”
วิธีไม่ยาก ที่ยากคือไม่มีใครนึกถึง
“ใครให้คุณมาเหรอ?”
เสี่ยวเฉียงถามเสร็จ ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังยิ้มก็หยุดนิ่งไป
อันที่จริงตอนเธออ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นของใครเธอก็พอจะเข้าใจทีละนิด แต่ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่าไร
หนังสือเล่มนี้ใช้เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเป็นตำราลับที่สืบทอดภายใน นอกจากลูกศิษย์ของตัวเองแล้วก็ไม่มีการเผยแพร่สู่ภายนอก แมวหลีฮวาใช้สิ่งนี้หาเงินไปได้มากเท่าไรแล้วกันนะ?
บอกว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองก็ยังได้
คนที่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้จะต้องเป็นหัวกะทิในหัวกะทิอีกที อีกทั้งยังเป็นชาวจีนที่มีพื้นเพจากเมืองนอก…
ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเสียงชวนขนลุกของชีอวี่เซวียนดังลอยมา ‘เบบี๋เชี่ยน~มาสิจ๊ะ มาฝากตัวเป็นศิษย์เร็ว~’
เสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าเขาก็แค่ถามว่าใครให้หนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เธอหมกมุ่นได้ขนาดนี้มา แต่ทำไมเมียเขาถึงได้ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาสิบวัน?
เสี่ยวเชี่ยนนอกจากจะนึกถึงชีอวี่เซวียนแล้ว ยังนึกถึงคำพูดหนึ่ง
อย่าพูดจาให้ร้ายกับคนที่มีบุญคุณ
“ฉันไม่รู้ว่าของใคร มันเป็นของแถมจากเจ้าของร้านหนังสือ!”
ใช่ ไม่ผิด ประธานเชี่ยนขอแถแบบนี้นี่แหละ
อย่างไรเสียตาชีอวี่เซวียนนั่นก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ แถมยังแอบใส่รวมกับหนังสือที่เธอซื้อมาอีก
เสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นอาข่าที่เอาเรื่องของเธอไปบอก เส้นสายของชีอวี่เซวียนเยอะจนน่าตกใจมาแต่ไหนแต่ไร ดูท่าทางความสามารถในการวิเคราะห์ก็ไม่เบา
เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าแมวหลีฮวาก็น่าจะเป็นคนของชีอวี่เซวียน ไม่อย่างนั้นชีอวี่เซวียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเคยประมือกับแมวหลีฮวามาก่อนแล้วถึงได้ให้หนังสือเล่มนี้มา?
ไม่แน่ตาแมวหลีฮวาอาจเป็นลูกศิษย์ของชีอวี่เซวียน ชีอวี่เซวียนอยากใช้โอกาสนี้ล่อหลอกเธอก็เลยให้หนังสือเล่มนี้มา ถุย!
ประธานเชี่ยนไม่อยากรับน้ำใจ แบบนี้มันเหมือนกับปล่อยหมาออกมากัดแล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าใจดี เดี๋ยวทำแผลให้นะ เธอไม่ยอมรับน้ำใจหรอก
ดังนั้นประธานเชี่ยนจึงขอแถแบบเนียนๆ เธอจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของชีอวี่เซวียน
“ร้านนี้บริการใช้ได้เลยนะ งั้นต่อไปก็จะซื้อหนังสือจากร้านนี้บ่อยๆ” ความฉลาดของเสี่ยวเฉียงอยู่ที่ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากแฉเมียตัวเอง
เธอไม่อยากพูด เขาก็จะไม่ถาม
เสี่ยวเชี่ยนวางหนังสือลงข้างๆ “ฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วเราออกไปกินข้าวกัน”
“วันนี้พี่ใหญ่จะมาพอดี เห็นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่พวกเรา”
เสี่ยวเฉียงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เขาไม่ได้อยากอ่านเนื้อหาในนั้น ก็แค่สนใจรูปลักษณ์หนังสือที่ออกแนวโบราณดี
เสี่ยวเชี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมากำลังจะเรียกเขาก็เห็นอวี๋หมิงหลางกำลังเปิดดูหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ
“ทำอะไรน่ะ?”
“ในเข็มทิศตรงหน้าปกมีของอยู่”
เขาใช้เส้นลวดบางๆเขี่ยก็มีกระดาษตกลงมาแผ่นหนึ่ง
เข็มทิศนี้ดูผิวเผินเหมือนถูกสลักลงบนปกหนัง เสี่ยวเชี่ยนถืออ่านตั้งนานไม่ได้สังเกตเลยว่าแท้จริงแล้วมันถูกเย็บติดเข้าไป
เสี่ยวเฉียงเป็นคนเซ้นส์แรงกว่าคนปกติ พอเขาหยิบหนังสือขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ พลิกไปพลิกมาถึงได้พบว่าในปกหนังมีกระดาษซ่อนอยู่
“ทำอย่างกับมีแผนที่สมบัติซ่อนอยู่?” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ
“อยู่กับพี่มีเหรอจะธรรมดา? นี่ถ้าเกิดเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติ พวกเรารวยเละเลยนะ ไหนดูซิ—เอ๊ะ เป็นแผนที่จริงเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางคลี่กระดาษออก เป็นกระดาษแผ่นบางที่ในนั้นมีภาพวาด
แต่ไม่ใช่แผนที่สมบัติ มันคือ—
“ใครมันปัญญาอ่อนยัดของแบบนี้ไว้ตรงนี้นะ แล้วนี่วาดอะไร? มนุษย์ต่างดาวถูกทับตายหรือกบถูกรองเท้าส้นเข็มเหยียบไส้ทะลัก?”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบกระดาษมาพลิกไปพลิกมาดู เธอเห็นเป็นรูปวัตถุสองอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เรื่องนี้ต้องพึ่งอวี๋หมิงหลางที่อ่านการ์ตูนมาหลายปี เสี่ยวเฉียงจ้องดูจริงจัง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา
“นี่มันแมวหลีฮวา ส่วนนี่ก็หมา แมวหลีฮวากลัวหมา”
“นายดูออกได้ไงว่านี่เป็นแมวหลีฮวา?”
“คุณไม่เห็นลายที่อยู่บนตัวมันเหรอ? ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างๆ ผมมองตั้งนานว่ามันเป็นหมาธรรมดาหรือหมาป่า ถ้าดูจากหางผมว่ามันคือหมาธรรมดา แต่ก็นะมันอาจจะเป็นหมาสายพันธุ์อื่นก็ได้”
เสี่ยวเชี่ยนฟังเขาวิเคราะห์แล้วก็อยากพูดอยู่แค่อย่างเดียว อันที่จริงพ่านพ่านของพี่รองยังวาดเก่งกว่าเลยด้วยซ้ำ จริงๆนะ
ถึงพ่านพ่านจะยังเด็กมาก แต่ฝีมือวาดภาพของคนๆนี้ยังสู้เด็กไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เอาของแบบนี้มายัดซ่อนไว้ตรงนี้ก็แสดงว่าต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก เมียจ๋า คุณวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือได้ไม่ใช่เหรอ จากภาพนี้คุณมองอะไรออกไหม?”
อวี๋หมิงหลางรู้ว่าในบรรดาวิชาที่เสี่ยวเชี่ยนเรียน มีการวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือด้วย เขาเคยให้เธอดูลายมือของทหารบางคน เสี่ยวเชี่ยนก็วิเคราะห์ออกมาได้ตรงทีเดียว
“…วาดออกมาเป็นแบบนี้ นายคิดว่าจะวิเคราะห์อะไรได้เหรอ?” อย่ามาทำให้จิตแพทย์ลำบากใจ!
เสี่ยวเชี่ยนมองแล้วมองอีก “แมวหลีฮวา หมา หลีฮวา หมา — มู่ฮวาหลี?!”
ชีอวี่เซวียนต้องการจะบอกอะไรเธอกันแน่? มู่ฮวาหลีถูกหมากัดหมายความว่าไง?
[1] เสวียนเสวีย ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ
Comments
แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 950 อย่าพูดจาให้ร้ายผู้มีพระคุณ
ชื่อที่เป็นมิตรรักท้องถิ่นแบบนี้ ยากที่จะเชื่อมโยงให้เข้ากับกลุ่มสาขาประสาทที่ลึกลับได้
ความคิดแรกของเสี่ยวเชี่ยนตอนเห็นชื่อนี้ก็คือ มีคนเล่นพิเรนทร์ หรือเจ้าของร้านหนังสือเห็นเธอซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตเยอะแยะก็เลยอยากจะแกล้งเธอ?
แต่พออ่านต่อเสี่ยวเชี่ยนก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เธออินกับเนื้อหาในหนังสือมากขึ้น
ประวัติของฟาร์มเจ็ดหมู่ เป็นการรวมตัวของหัวกะทิที่มาจากแต่ละแวดวง พวกเขามีคนที่ถนัดรักษาโรคประสาท มีคนถนัดสะกดจิต มีคนก็ถนัดทำยาและคนที่ถนัดเรื่องเหนือธรรมชาติ—จริงสิ มันคือศาสตร์ที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะคำนี้เมื่อแรกเริ่มใช้คำว่าmetaphysics พอแปลมาก็คืออภิปรัชญา หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ รวมถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะอยากใช้ภาษาจีนที่เข้าถึงความหมายได้ตรงยิ่งกว่าก็เลยเขียนพิอินว่า xuan[1]
งั้นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ไม่น่าใช่คนต่างชาติหรือเปล่า
เสี่ยวเชี่ยนอ่านต่อ ในนั้นบอกว่าคนพวกนี้ก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่า ฟาร์มเจ็ดหมู่ พวกเขาทั้งสี่เคยสั่งสอนลูกศิษย์มามากมาย หนึ่งในนั้นมีอยู่คนที่ถนัดสะกดจิต ต่อไปเป็นการอธิบายวิธีสะกดจิตอย่างละเอียด
เสี่ยวเชี่ยนพอได้อ่านก็วางไม่ลง
เธอสืบค้นข้อมูลมาตั้งมากมาย เมื่อเอามารวมกันยังไม่มีประโยชน์เท่าเล่มนี้เล่มเดียว
ถึงหนังสือเล่มนี้จะมีแค่สิบกว่าหน้า แต่พออ่านหมดก็เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ มีหลายจุดที่เป็นความรู้เฉพาะทาง พอเสี่ยวเชี่ยนอ่านแล้วก็รู้สึกกระจ่าง ที่แท้ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย!
ตอนอวี๋หมิงหลางกลับมาก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงที่นั่งเล่นริมหน้าต่าง เธอถือหนังสือที่ดูเก่ามากกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดเขาเข้าบ้านมาตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่รู้
“อ่านอะไรอยู่เหรอ?”
“ว้าย!” เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังอินกับเนื้อหาในหนังสือตกใจเสียงอวี๋หมิงหลางจนหนังสือในมือเกือบร่วง
“เล่นอะไรแบบนี้เล่า!” หลังจากที่เห็นว่าเป็นเขา เสี่ยวเชี่ยนก็โมโหพร้อมทุบอวี๋หมิงหลาง
“ผมยืนอยู่ตรงนี้จะหนึ่งนาทีแล้วนะ!” เสี่ยวเฉียงทำหน้าน้อยใจ
“เมียจ๋า อ่านอะไรอยู่เหรอ? ไอ๊หยา ภาษายึกยือเห็นแล้วปวดหัว!”
ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนจะเขียนลากยาวต่อเนื่องกัน คนทั่วไปอ่านยาก อวี๋หมิงหลางเห็นบนโต๊ะไม้มีพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มหนาวางอยู่ ก็แสดงว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังอ่านหนังสือที่มีระดับความยากค่อนข้างมาก มีบางคำศัพท์ที่เธอต้องเปิดหาคำแปล นี่ขนาดเมียเขาสอบภาษาอังกฤษระดับหกได้เกือบเต็มนะเนี่ย
“พวกตำราเฉพาะทางของฉันน่ะ” เสี่ยวเชี่ยนปิดหนังสือทั้งที่อารมณ์ยังค้างอยู่
พออ่านเล่มนี้แล้วเธอถึงได้รู้ว่าการสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ดูเหมือนซับซ้อน แท้จริงแล้ววิธีทำไม่ได้ยาก แต่ถ้าไม่มีตำราเล่มนี้สุ่มเดาให้ตายเธอก็เดาไม่ออก
“อ่านตำราเฉพาะทางยังอินได้ขนาดนี้ นี่ถ้าคุณไม่บอกผมนึกว่าอ่านเดชคัมภีร์เทวดาอยู่ซะอีกนะเนี่ย” เสี่ยวเฉียงแซว
เสี่ยวเชี่ยน หึ ใส่ “นายก็พูดถูกจริงนะ หนังสือเล่มนี้สำหรับคนในแวดวงแบบฉันแล้วมันเหมือนเป็นคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งเลยล่ะ!”
วิธีไม่ยาก ที่ยากคือไม่มีใครนึกถึง
“ใครให้คุณมาเหรอ?”
เสี่ยวเฉียงถามเสร็จ ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังยิ้มก็หยุดนิ่งไป
อันที่จริงตอนเธออ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นของใครเธอก็พอจะเข้าใจทีละนิด แต่ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่าไร
หนังสือเล่มนี้ใช้เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเป็นตำราลับที่สืบทอดภายใน นอกจากลูกศิษย์ของตัวเองแล้วก็ไม่มีการเผยแพร่สู่ภายนอก แมวหลีฮวาใช้สิ่งนี้หาเงินไปได้มากเท่าไรแล้วกันนะ?
บอกว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองก็ยังได้
คนที่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้จะต้องเป็นหัวกะทิในหัวกะทิอีกที อีกทั้งยังเป็นชาวจีนที่มีพื้นเพจากเมืองนอก…
ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเสียงชวนขนลุกของชีอวี่เซวียนดังลอยมา ‘เบบี๋เชี่ยน~มาสิจ๊ะ มาฝากตัวเป็นศิษย์เร็ว~’
เสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าเขาก็แค่ถามว่าใครให้หนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เธอหมกมุ่นได้ขนาดนี้มา แต่ทำไมเมียเขาถึงได้ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาสิบวัน?
เสี่ยวเชี่ยนนอกจากจะนึกถึงชีอวี่เซวียนแล้ว ยังนึกถึงคำพูดหนึ่ง
อย่าพูดจาให้ร้ายกับคนที่มีบุญคุณ
“ฉันไม่รู้ว่าของใคร มันเป็นของแถมจากเจ้าของร้านหนังสือ!”
ใช่ ไม่ผิด ประธานเชี่ยนขอแถแบบนี้นี่แหละ
อย่างไรเสียตาชีอวี่เซวียนนั่นก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ แถมยังแอบใส่รวมกับหนังสือที่เธอซื้อมาอีก
เสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นอาข่าที่เอาเรื่องของเธอไปบอก เส้นสายของชีอวี่เซวียนเยอะจนน่าตกใจมาแต่ไหนแต่ไร ดูท่าทางความสามารถในการวิเคราะห์ก็ไม่เบา
เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าแมวหลีฮวาก็น่าจะเป็นคนของชีอวี่เซวียน ไม่อย่างนั้นชีอวี่เซวียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเคยประมือกับแมวหลีฮวามาก่อนแล้วถึงได้ให้หนังสือเล่มนี้มา?
ไม่แน่ตาแมวหลีฮวาอาจเป็นลูกศิษย์ของชีอวี่เซวียน ชีอวี่เซวียนอยากใช้โอกาสนี้ล่อหลอกเธอก็เลยให้หนังสือเล่มนี้มา ถุย!
ประธานเชี่ยนไม่อยากรับน้ำใจ แบบนี้มันเหมือนกับปล่อยหมาออกมากัดแล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าใจดี เดี๋ยวทำแผลให้นะ เธอไม่ยอมรับน้ำใจหรอก
ดังนั้นประธานเชี่ยนจึงขอแถแบบเนียนๆ เธอจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของชีอวี่เซวียน
“ร้านนี้บริการใช้ได้เลยนะ งั้นต่อไปก็จะซื้อหนังสือจากร้านนี้บ่อยๆ” ความฉลาดของเสี่ยวเฉียงอยู่ที่ เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากแฉเมียตัวเอง
เธอไม่อยากพูด เขาก็จะไม่ถาม
เสี่ยวเชี่ยนวางหนังสือลงข้างๆ “ฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วเราออกไปกินข้าวกัน”
“วันนี้พี่ใหญ่จะมาพอดี เห็นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่พวกเรา”
เสี่ยวเฉียงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เขาไม่ได้อยากอ่านเนื้อหาในนั้น ก็แค่สนใจรูปลักษณ์หนังสือที่ออกแนวโบราณดี
เสี่ยวเชี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมากำลังจะเรียกเขาก็เห็นอวี๋หมิงหลางกำลังเปิดดูหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ
“ทำอะไรน่ะ?”
“ในเข็มทิศตรงหน้าปกมีของอยู่”
เขาใช้เส้นลวดบางๆเขี่ยก็มีกระดาษตกลงมาแผ่นหนึ่ง
เข็มทิศนี้ดูผิวเผินเหมือนถูกสลักลงบนปกหนัง เสี่ยวเชี่ยนถืออ่านตั้งนานไม่ได้สังเกตเลยว่าแท้จริงแล้วมันถูกเย็บติดเข้าไป
เสี่ยวเฉียงเป็นคนเซ้นส์แรงกว่าคนปกติ พอเขาหยิบหนังสือขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ พลิกไปพลิกมาถึงได้พบว่าในปกหนังมีกระดาษซ่อนอยู่
“ทำอย่างกับมีแผนที่สมบัติซ่อนอยู่?” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ
“อยู่กับพี่มีเหรอจะธรรมดา? นี่ถ้าเกิดเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติ พวกเรารวยเละเลยนะ ไหนดูซิ—เอ๊ะ เป็นแผนที่จริงเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางคลี่กระดาษออก เป็นกระดาษแผ่นบางที่ในนั้นมีภาพวาด
แต่ไม่ใช่แผนที่สมบัติ มันคือ—
“ใครมันปัญญาอ่อนยัดของแบบนี้ไว้ตรงนี้นะ แล้วนี่วาดอะไร? มนุษย์ต่างดาวถูกทับตายหรือกบถูกรองเท้าส้นเข็มเหยียบไส้ทะลัก?”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบกระดาษมาพลิกไปพลิกมาดู เธอเห็นเป็นรูปวัตถุสองอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เรื่องนี้ต้องพึ่งอวี๋หมิงหลางที่อ่านการ์ตูนมาหลายปี เสี่ยวเฉียงจ้องดูจริงจัง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา
“นี่มันแมวหลีฮวา ส่วนนี่ก็หมา แมวหลีฮวากลัวหมา”
“นายดูออกได้ไงว่านี่เป็นแมวหลีฮวา?”
“คุณไม่เห็นลายที่อยู่บนตัวมันเหรอ? ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างๆ ผมมองตั้งนานว่ามันเป็นหมาธรรมดาหรือหมาป่า ถ้าดูจากหางผมว่ามันคือหมาธรรมดา แต่ก็นะมันอาจจะเป็นหมาสายพันธุ์อื่นก็ได้”
เสี่ยวเชี่ยนฟังเขาวิเคราะห์แล้วก็อยากพูดอยู่แค่อย่างเดียว อันที่จริงพ่านพ่านของพี่รองยังวาดเก่งกว่าเลยด้วยซ้ำ จริงๆนะ
ถึงพ่านพ่านจะยังเด็กมาก แต่ฝีมือวาดภาพของคนๆนี้ยังสู้เด็กไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เอาของแบบนี้มายัดซ่อนไว้ตรงนี้ก็แสดงว่าต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก เมียจ๋า คุณวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือได้ไม่ใช่เหรอ จากภาพนี้คุณมองอะไรออกไหม?”
อวี๋หมิงหลางรู้ว่าในบรรดาวิชาที่เสี่ยวเชี่ยนเรียน มีการวิเคราะห์นิสัยคนจากลายมือด้วย เขาเคยให้เธอดูลายมือของทหารบางคน เสี่ยวเชี่ยนก็วิเคราะห์ออกมาได้ตรงทีเดียว
“…วาดออกมาเป็นแบบนี้ นายคิดว่าจะวิเคราะห์อะไรได้เหรอ?” อย่ามาทำให้จิตแพทย์ลำบากใจ!
เสี่ยวเชี่ยนมองแล้วมองอีก “แมวหลีฮวา หมา หลีฮวา หมา — มู่ฮวาหลี?!”
ชีอวี่เซวียนต้องการจะบอกอะไรเธอกันแน่? มู่ฮวาหลีถูกหมากัดหมายความว่าไง?
[1] เสวียนเสวีย ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :